ความคิดเห็นที่ 75
คัดมาจากคอลัมน์ในมติชน วันที่ 25 ธ.ค.51 เผื่อเป็นประโยชน์ต่อไป
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act03251251§ionid=0130&day=2008-12-25 คนเดินดินช่วยแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไร
โดย วรากรณ์ สามโกเศศ
ข้อเสนอแนะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแก่รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีอยู่มากมายจนอาจเฝือแล้วสำหรับผู้อ่าน ข้อเขียนวันนี้จึงขอเสนอแนะหนทางร่วมแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประชาชนแต่ละคนดูบ้าง ซึ่งเมื่อประกอบกันแล้วหวังว่าอาจช่วยทำให้ความพยายามในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในประการแรก สมาชิกของเศรษฐกิจไทยทุกคนต้องยอมรับว่าวิกฤตครั้งนี้มีความรุนแรงและอาจใช้เวลายาวพอควรในการเยียวยา การแก้ไขต้องการความร่วมมือจากทุกสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอดทนรอผลที่จะเกิดขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจไม่อาจแก้ไขด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การใช้จ่ายของภาครัฐ อัตราดอกเบี้ย อัตราภาษีอากร อัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ อย่างเดียวเท่านั้น มาตรการอื่นๆ เช่น การสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิกฤต การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำรงชีวิต การเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ฯลฯ เป็นส่วนประกอบสำคัญเช่นเดียวกัน
ประการที่สอง "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" บอกเราว่าจะแก้ไขปัญหาได้ก็ต้องเอาความเจ็บปวดไปแลก การที่จะ "ได้" โดยไม่ "เสีย" อะไรเลยนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างเช่นการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตลดต่ำลงจนผู้ผลิตสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้ผู้ฝากเงินในธนาคารทั้งหลายได้รับผลตอบแทนต่ำลง ถ้าเราต้องการให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น บางคนก็ต้องเจ็บปวด และหากผู้เจ็บปวดเข้าใจว่าเป็นไปเพื่อผลดีของทั้งประเทศ และอานิสงส์ก็จะย้อนกลับมาสู่ตนในอีก ทางหนึ่ง เช่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวมีงานทำถึงแม้จะได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยลดลงก็ตาม
การยอมรับ "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" จะทำให้มีความอดทนสูงขึ้น และเข้าใจว่าในเบื้องต้นคนที่ "เสีย" นั้นเป็นเรา และคนที่ "ได้" นั้นเป็นคนอื่น แต่ในที่สุดแล้วเราก็จะ "ได้" เช่นกันแต่ต้องอดทนรอ
ประการที่สาม ต้องไม่เล็งผลเลิศว่าทุกอย่างจะเหมือนถูกเสกคาถา การจ้างงานของภาคธุรกิจของเราจะกลับมาคึกคักอย่างเดิม ธุรกิจของเราจะร้อนแรงให้ผลตอบแทนสูงเช่นเดิม รายได้ของเราจะสูงเหมือนที่เคยเป็นมา รัฐบาลจะช่วยให้ทุกคนได้ราคายางสูงในระดับ 80-90 บาทต่อกิโลกรัม ข้าวได้ราคาตันละ 15,000-18,000 บาท เหมือนที่เคยฝัน ธุรกิจ OTOP และ SME"s ของเราจะมีคนเข้าคิวมาแย่งซื้อสินค้าเหมือนของแจก
รัฐบาลนั้นไม่ว่าจะตั้งใจดีและมีประสิทธิภาพอย่างไรก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น และไม่สามารถช่วยได้ทุกคนอย่างทั่วถึงในทุกภาคเศรษฐกิจ ทุกอาชีพ ทุกพื้นที่ ทุกวัย ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ตาม เพราะกลไกราคานั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ยากที่จะฝืนหรือบิดเบือนให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ราคายางตกต่ำจากกิโลกรัมละเกือบ 100 บาท เมื่อตอนเกือบกลางปีนี้เหลือกิโลกรัมละ 20 กว่าบาท ในปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการยางธรรมชาติลดลงไปมาก ยางรถยนต์นั้นใช้ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ซึ่งสกัดมาจากน้ำมันดิบทดแทนกันได้เป็นอย่างดี เมื่อน้ำมันมีราคาแพงผู้ผลิตก็หันไปใช้สัดส่วนของยางธรรมชาติมากขึ้น ราคายางธรรมชาติจึงสูง เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำยางสังเคราะห์ก็เป็นพระเอก ดังนั้นจึงทำให้ความต้องการยางธรรมชาติลดลงมาก ราคายางธรรมชาติจึงตก
ไม่มีรัฐบาลใดในโลกที่สามารถแทรกแซงกลไกตลาดให้ราคายางสูงขึ้นจาก 20 กว่าบาทต่อกิโลกรัม เป็น 90-100 บาทได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเราซึ่งส่งออกปริมาณยางเป็นอันดับหนึ่งของโลก ปริมาณยางที่จะต้องแทรกแซงมีมหาศาล อีกทั้งราคาขาย 20 กว่าบาทเป็นราคาที่ตลาดโลก (ผู้ซื้อยางนำไปแปรรูปอีกครั้ง) เป็นผู้กำหนดคล้ายกับราคาข้าวซึ่งตลาดโลกเป็นผู้กำหนด ต่างจากกระเทียม หอม ผักชี ลำไย เงาะ ฯลฯ ซึ่งตลาดท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดราคา
ประการที่สี่ "ผู้รู้" ทั้งหลายไม่ว่าในซีกวิชาการหรือสื่อ หรือผู้มีอิทธิพลต่อความเห็นของประชาชน จำเป็นต้องหลีกจากการ "ติเรือทั้งโกลน" อย่างน้อยก็สักชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้โอกาสผู้เข้ามาแก้ไขปัญหาได้ใช้สติปัญญาและกำลังอย่างเต็มที่
เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าเมื่อเป็น "ผู้รู้" ก็จำเป็นต้องมีความเห็น วิพากษ์วิจารณ์และถ้าจะให้เป็นที่สังเกตก็จำต้องมีความเห็นในด้านลบเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเป็นธรรมดา ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนสำคัญของเศรษฐกิจไทย หากท่าน "ผู้รู้" ทั้งหลายให้ความร่วมมือด้วยความอดกลั้นสักหน่อยก็น่าจะเป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหา
เมื่อเวลาผ่านไปพอควรและปรากฏแน่ชัดว่าการเข้าแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องได้รับการท้วงติง แก้ไขคราวนี้การวิพากษ์วิจารณ์จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และรัฐบาลต้องรับฟังอย่างใจกว้าง หากต่างคนต่างทำหน้าที่เช่นนี้สิ่งที่ยากก็จะลดความยากลงไปมาก และคนที่จะได้รับประโยชน์ในที่สุดก็คือคนไทยทั้งชาติ
ประการที่ห้า ในฐานะผู้ผลิตในยามวิกฤต การรวมหัวใจมนุษย์จะช่วยบรรเทาปัญหาไปได้ในระดับหนึ่ง เมื่อความต้องการสินค้าจากต่างประเทศของบริษัทลดต่ำลง หากไม่แก้ไขปัญหาด้วยการลดการจ้างงานทันทีหรือใช้เป็นโอกาสอ้างในการเลิกจ้างพนักงานเงินเดือนสูงก็จะช่วยให้ปัญหาการว่างงานซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ลดความรุนแรงลงไป หากเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งและเห็นว่าไปไม่ได้จริงๆ การลดการจ้างงานโดยกระทำอย่างมีมนุษยธรรมและอย่างเป็นไปตามกฎหมายแรงงานก็จะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมราบรื่นและมีความสุข
ประการที่หก ในฐานะผู้ใช้แรงงาน ภาววิกฤตเช่นนี้จำเป็นต้องลดต้นทุนเพื่อความอยู่รอด การลดต้นทุนการผลิตโดยไม่ลดการจ้างงานลงก็หมายความว่าแรงงานแต่ละคนต้องทำงานอย่างมีผลิตภาพ (productivity) สูงขึ้น เมื่อผลผลิตของโรงงานสูงขึ้นโดยค่าใช้จ่ายแรงงานเท่าเดิม ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยก็จะลดลง พูดง่ายๆ ก็คือผู้ใช้แรงงานต้องขยันขันแข็งยิ่งขึ้นกว่าเดิม เห็นอะไรที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นก็ต้องช่วยกันแก้ไข ความร่วมมือเช่นนี้จะทำให้แรงกดดันในการปลดแรงงานของนายจ้างลดลงไป
สิ่งที่ประชาชนสามารถช่วยรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤตก็คือการยอมรับการเปลี่ยนแปลง ยอมเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคและในการผลิต ตลอดจนปรับเปลี่ยนวิธีคิดและการคาดหวัง
เมื่อ "การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์" การฝืนตนเองไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่ยอม "เสีย" จะเอาแต่ "ได้" ไม่อดทน และไม่สวมหัวใจมนุษย์ จึงเท่ากับเป็นการร่วมกันฆ่าตัวตายหมู่โดยแท้
หน้า 6
All site contents copyright © by Matichon Public Co.,Ltd. All Rights Reserved.
จากคุณ :
thai people
- [
25 ธ.ค. 51 21:54:20
A:58.9.63.20 X:
]
|
|
|