PANTIP.COM : B7384070 สัมภาษณ์ตำแหน่งประชาสัมพันธ์ใครรู้ช่วยบอกทีนะค่ะ [งานและทรัพยากรบุคคล]

ความคิดเห็นที่ 2

ทำพีอาร์อยู่ค่ะ (พีอาร์เอเจนซี่) ไม่รู้พอจะช่วยตอบได้บ้างรึเปล่า แต่เอาตามความคิดของตัวเองนะคะคิดว่า
1. เรื่องชุดจริง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าไปสมัครเป็นพีอาร์ขององค์กรแบบไหน ถ้าเป็นพีอาร์เอเจนซี่อาจจะไม่ต้องทางการมาก เช่น เดรสที่แลดูเรียบร้อยหน่อยกับรองเท้าสู้นสูงหุ้มส้น ก็น่าจะพอไหวแล้ว แต่ถ้าเป็น PR officer แบบ In house ประจำองค์กรที่มีความเป็นแบบแผน เช่น แบงค์หรือหน่วยงานราชการคิดว่าสูทหรือ Jacket ที่ดูเป็นทางการน่าจะเวิร์คกว่าค่ะ

วันนี้ได้ลองเข้าไปดูกระทู้ของคุณนู๋นุ้ยบ้านนาจากห้องโต๊ะเครื่องแป้งที่แนะนำการแต่งตัวสำหรับสาว office คิดว่ามีเวิร์ค ๆ เข้าท่าหลายตัวเลย ลองเข้าไปดูเป็นไอเดียก็ได้ค่ะ http://www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q7380821/Q7380821.html

2. คำถามนี้ไม่รู้จะช่วยตอบอย่างไรเหมือนกันเพราะความอยากก็เป็นเหตุผลส่วนบุคคล แต่เอาเป็นว่าจะบอกประโยชน์จากการเป็นพีอาร์จากประสบการณ์ละกันนะคะ เผื่อจะดึงบางส่วนไปช่วยตอบได

การเป็นพีอาร์ทำให้เราได้พัฒนาทักษะในหลาย ๆ ด้าน เอาคร่าว ๆ นะคะ
1)ด้านแรกเลยคือ Management เนื่องจากงานประชาัสัมพันธ์เราต้องมีการวาง plan อย่างแม่นยำว่าอะไรจะต้องออกก่อนหลังและต้องกะเวลาให้พอดี ยกตัวอย่างเช่นการส่งข่าวไปตามสื่อแต่ละสื่อ อย่างหนังสือพิมพ์ส่งแล้วออกเลย แต่นิตยสารใช้เวลา lead time ก่อนปิดเ่ล่มล่วงหน้าเฉลี่ย 2 เดือน ดังนั้นหากสินค้าจะวางตลาดช่วงเดือนใดเราก็ต้องวางแผนล่วงหน้าก่อน เพราะเราก็ไม่ได้ทำงานตัวคนเดียว ยังต้องขอข้อมูลจากนักการตลาด ขอภาพ key visual จาก Advertising agency ประสานงานกับฝ่าย production ผลิตของที่ระลึก บางทีต้อง pitch สกู๊ปพิเศษกับสื่อมวลชนก็ต้องไปขายประเด็นล่วงหน้าอีก ฯลฯ
2)ด้านต่อมาคือทักษะในการคิดสร้างสรรค์และการใช้ภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเขียนข่าวยิ่งทำเอเจนซี่ยิ่งได้ฝึกการเขียนในหลายโทน แล้วแต่ image ของแต่ละลูกค้าอีกด้วย นอกจากนี้พีอาร์ยังมีส่วนร่วมในการช่วยคิดไอเดียและกิมมิคของกิจกรรมอีกหลายอย่างเช่น งานแถลงข่าว งานเปิดตัวสินค้า Sampling troop รวมถึง giftset และการ์ดเชิญด้วย ทำให้เราได้คิดตลอดเวลาค่ะ
3)อีกด้านหนึ่งคือได้พัฒนาทักษะในการติดต่อสื่อสาร เพราะพีอารต้องติดต่อกับ stakeholder (ผู้มีส่วนได้เสียกับองค์กร) อย่างถ้าเป็นพีอาร์องค์กรก็ต้องติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจกับทั้งพนักงาน ผู้ถือหุ้น ชุมชนสัมพันธ์ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ลูกค้า สื่อมวลชนฯลฯ ส่วนถ้าเป็นพีอาร์เอเจนซี่ก็จะเน้นหนักไปที่สื่อมวลชนและการ deal งานกับลูกค้า ซึ่งการเป็นพีอาร์จะทำให้เราได้ติดต่อและเจอผู้คนหลากหลาย ทำให้เรารู้ว่าคนประเภทไหนเราต้องใช้วิธีสื่อสารอย่างไรถึงจะเหมาะสมค่ะ
4)และสิ่งที่ีคิดว่าการเป็นพีอาร์่ช่วยเราได้มากคือทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า พีอาร์มีัปัญหามากมายที่จะมาให้เราแก้ไขตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างของกิี๊๊ฟเซ็ทมาไม่ทันเวลา จนถึงเรื่องใหญ่ ๆ อย่างลูกค้าเกิด crisis ซึ่งหากไม่เร่งแ้ก้ไขแล้วจะเสียความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรง ตรงนี้เราก็จะได้เรียนรู้จากการเป็นพีอาร์ค่ะ

นอกจากนี้เวลาสัมภาษณ์เราก็สามารถนำจุดเด่นของเราที่ match กับสิ่งที่นักประชาสัมพันธ์ควรจะมี เสริมเข้าไปได้เ่ช่น เป็นคนอัธยาศัยดี มีทักษะในการเขียนข่าว มี connection กับสื่อมวลชนและ celebrity ที่เหนียวแน่น ซึ่งคิดว่าทักษะเหล่านี้จะสามารถต่อยอดการทำงานในสายงานพีอาร์ได้ดีเลยสนใจที่จะทำงานประชาสัมพันธ์ค่ะ

ส่วนความมั่นคง จริง ๆ คิดว่าพีอาร์ก็ไม่ได้มั่นคงน้อยและไม่ถาวรนะคะ ลำดับขั้นของพีอาร์ก็มีให้ไต่ึ้ขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนสายงานอื่น ๆ ถ้าเป็น agency ก็เริ่มตั้งแต่ PR executive -> PR consultant -> senior consultant -> communication manager -> communication director -> executive director หรือนำประสบการณ์การเป็นพีอาร์ไปต่อยอดหากอยากเปลี่ยนงานไปทำพวก marketing communication หรือพวกการตลาดก็เป็นประโยชน์ค่ะ

อ้อ ถ้ามีเวลาก่อนไปสัมภาษณ์ก็ลองอ่านข่าวประชาสัมพันธ์จากเว็บไซต์ thaipr ดอท net ดูนะคะ จะได้รู้แนวว่าข่าวประชาสัมพันธ์มีรูปแบบยังไง ใช้ภาษาแนวไหน ทั้งไทยและอังกฤษ เพราะเห็นหลาย ๆ ที่เวลาสมัครเขาจะมีให้สอบเขียนข่าวค่ะ

ยังไงก็ขอให้โชคดีกันนะคะ ได้ผลอย่างไรมาบอกกันด้วย (n_n)

ป.ล.ฝากเนื้อฝากตัวกับห้องสีลมี้ด้วยนะคะ ตอนนี้กำลังรอพันทิพย์ approve สมาชิกอยู่ แต่ก็เป็นชื่อนี้เลยค่ะ

จากคุณ : Lady Barbie - [ 3 ม.ค. 52 23:35:24 A:124.120.223.70 X: ]