ความคิดเห็นที่ 1 พ่อรวย บอกว่าในโลกนี้มีคน 4 ประเภท ถ้าเราทำงานกินเงินเดือน เราก็เป็น ลูกจ้าง หรือ E- Employee ถ้าเรามีธุรกิจส่วนตัวแต่ต้องทำเองเกือบทั้งหมด เราก็อยูในกลุ่ม S-Self Employed ถ้ารายได้มาจากการลงทุน เราก็คือ "นักลงทุน" I-Investor และถ้ารายได้เกิดจากการเป็น เจ้าของกิจการ ก็คือกลุ่ม B-Business Owner "คนรวย ไม่ได้ ทำงานเพื่อเงิน แต่ใช้เงินทำงาน" จากไหนลืมเซฟเว้ปไว้อ่ะครับ รอฟังคนรู้จริงครับ... จากคุณ : bpcmarket - [ 22 ม.ค. 52 05:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จ้างคนอื่นดูแล ตัดสินใจ แทนเราไงครับ แต่ก็ตั้งมั่นใจว่าคุณจ้างคนเก่ง คนมีความสามารถมาทำงานนะ และอีกอย่างมันก็ไม่ได้เห็นผลใน ปีหรือสองปี โยนงานไปแล้วก้ต้องคอยดูแลใกล้ชิด และค่อยๆถอยห่างออกมา ผู้บริหารที่ดี ส่วนใหญ่ใช้เงิน และลูกน้องทำงาน ครับ แล้วก็ผันตัวเองมาทำแค่งานตรวจสอบ... และดูprojectสำคัญๆ ก็พอ ส่วนหนังสือ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการบริหารองค์กร การบริหารงานบุคคล การแบ่งอำนาจในองค์กร ประมาณนี้หล่ะ แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 52 09:21:49 จากคุณ : ตะวันรุ่งทุ่งรังสิต - [ 22 ม.ค. 52 09:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ระบบครับ มีบริษัทรับจ้างวางระบบครับ แต่ค่าจ้าง อาจจะอยากเข้ามาทำงานทุกวันเองครับ (^^,) จากคุณ : BMWTurboman - [ 22 ม.ค. 52 10:04:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 บริหารจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เร็ว ช้า หนัก เบา จากคุณ : 1900 - [ 22 ม.ค. 52 11:27:02 A:192.168.0.17 X:222.123.155.16 TicketID:039351 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ว่าด้วยระบบ กงสี ที่ผมรู้จัก กงสี มีความคิดเห็นว่า คนที่ไม่ทำงาน คือ คนที่ไม่มีค่า งานคิด แทบจะไม่มีความหมายสำหรับกงสี ผลงานสำหรับ กงสี คือ หยาดเหงื่อ ที่ไหลออกมา คนที่ลงแรงต่างหากคือคนสำคัญ ลูกหลาน คือทรัพยากร เพราะเป็นการเพิ่ม จำนวนพนักงานที่ไว้ใจได้ กงสี ส่วนใหญ่ จะระแวงคนนอก อย่างมาก กลัวว่าเขาจะมาแย่งธุรกิจของตนเอง จึงสงวนตำแหน่งและหน้าที่ไว้สำหรับลูกหลาน ไม่เว้นแม้แต่ตำแหน่งสำคัญอย่าง คนขับรถ พนักงานส่งของ พนักงานส่งเอกสาร  ช่างใหญ่ ฯลฯ กงสี เชื่อว่า การจะบริหาร องค์กรกงสีได้นั้น ลูกหลานต้องมีความเข้าใจลึกซึ้ง ต่อทุกกระบวนการที่เกิดขึ้นในกงสี ในกิจการ เพราะฉะนั้นจึงเห็น ผู้บริหารกงสี ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยตัวเองตลอดเวลา จขกทต้องการจะผันตัวจาก S-Self Employed >>B-Business Owner ความแตกต่างคือ S-Self Employed ถ้าเจ้าของไม่ทำงาน ธุรกิจจะหยุดทำเงิน B-Business Owner  ถ้าเจ้าของวางระบบดีแล้ว ธุรกิจจะทำเงินไปเรื่อยๆ(ถ้าเศรษฐกิจอยู่ในสภาพปกติ) คงต้องศึกษาเรื่อง reorganize กำหนดคุณค่า ของงานแต่ละงาน ความสำคัญความรับผิดชอบและผลตอบต่องานนั้นๆ  ใช้ราคาค่าแรงของตลาด ประเมิณ การเปลี่ยนแปลงอาจเริ่มที่ตำแหน่งเล็กๆ ก่อน  เช่น บัญชี  งานขาย ฯลฯ แต่ปัญหาที่แท้จริง ของ จขกท คือ การโน้มน้าวผู้มีอำนาจตัดสินใจ ให้เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง ต้องชี้ให้เห็นว่า เวลาและแรงงาน ของผู้บริหาร นั้น มีค่ามากกว่า เวลาและแรงงาน ของพนักงาน คำถามสำคัญที่ จขกทต้องตอบ คือ  ถ้าผู้บริหารปัจจุบันวางระบบไว้ดีแล้ว แล้ว เวลาที่เหลือ สำหรับผู้บริหารนั้นจะทำอะไร เพื่ออะไร จะมีผลประโยชน์อย่างไร ตีกอล์ฟ หรือ งานกุศล  ให้ประโยชน์กับ กงสี อย่างไร?? ถ้าต้องการแค่คำว่าเหนื่อยน้อยลง  แสดงว่า คุณยังไม่รู้จักกงสีดีพอ จากคุณ : Rhythm Investor - [ 22 ม.ค. 52 11:28:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณทุกท่านเลยครับ ตอนนี้น่าจะอยูในกลุ่ม S-Self Employed จริงๆด้วย อยากเป็น B-Business Owner ครับ อยากจ้างคนอื่นดูแลเหมือนกัน แต่ปัญหาคือไม่มีความรู้ว่าถ้าไม่คุมการเงินเอง จะต้องวางระบบแผนกการเงินยังไง ให้เงินไปเงินมามันเหมือนองค์กรใหญ่ๆ โกงยาก ให้ระบบดีจนผู้จัดการที่จ้างมาแอบทำอะไรไม่ได้ ส่วนการจะจ้างบริษัทวางระบบให้ ไม่มีความรู้เลยครับ พอแนะนำบริษัทได้มั้ยครับ เรื่องลำดับความสำคัญ คิดว่าที่โรงงานไม่เป็นปัญหามากครับ จะเป็นที่งานมันกระจุกตัวขั้นสุดท้ายต้องผ่านผู้จัดการทุกเรื่องมากกว่า บวกกับเรื่องที่ปล่อยเรื่องการเงินไม่ได้ คื่อไม่สามารถวางระบบการเงินให้สอบกันเองได้ในตัว เลยปล่อยให้พนักงานทำไม่ได้ โรงงานดั้งเดิมเป็นกงสีครับ รุ่นอากงทำมากับลูกหลายคนเลย แต่จริงๆตอนนี้ก็ไม่เชินกงสีแล้ว บริษัทปัจจุบันพ่อแม่ได้แยกออกมาตั้งกันเอง คือสืบเนื่องกันมาน่ะครับ อยากจะขอถามเพิ่มเติมอีกหน่อย พอจะแนะนำให้เห็นภาพชัดขึ้น เป็นรูปธรรมได้มั้ยครับ การจัดระบบ, การรีออแกไนซ์ เช่น format ของระบบองค์กร อย่างเช่นว่า บริษัทใหญ่ๆที่เป็นมืออาชีพ ข้างในบริษัทเหล่านั้นโครงสร้างภายในโดยพื้นฐานเค้าก็น่าจะเหมือนๆกัน มันพอจะมีเป็นเล่มๆขายเลยมั้ยครับ เพราะเห็นเจ้าสัวจะเปิดกี่บริษัทลูกก็ได้ ก็แค่เอาฟอแมตกึ่งสำเร็จรูปนั้นไปวาง เหมือนทีมฟุตบอลโครงคร่าวๆก็มีสูตร ห้า สาม สอง, สี่ สี่ สอง อะไรแบบนั้นน่ะครับ คือตอนนี้เล่นเองทุกตำแหน่งเลย อยากจะออกมาเป็นโค้ช จากคุณ : จ๊ะทิงจา - [ 22 ม.ค. 52 14:08:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จะบอกว่า จขกท. น่ารักจังค่ะ ^^ ห่วงหม่าม๊า ไม่อยากให้ม๊าเหนื่อย หม่าม๊า จขกท. ทราบ ต้องดีใจแน่เลยค่ะ จากคุณ : Sweetiiez - Kim Sam Su - [ 22 ม.ค. 52 14:27:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมทำธุรกิจอยู่ ผมทำลักษณะนี้นะครับ คือ เริ่มสร้างธุรกิจ จัดระบบทุกอย่าง ให้คนทำงาน เมื่อคนทำงานมีประสบการณ์ และผลการดำเนินกิจการนิ่ง  ผมจะปล่อย แล้วไปสร้างธุรกิจตัวใหม่ ผมมีหน้าที่ คือ คิดProjectใหม่ จัดการในช่วงแรก แล้วติดตามผลของแต่ละกิจการ  แล้วจะเข้าทำงานแก้ปัญหาเฉพาะธุรกิจที่อ่อนแอ เพราะธุรกิจไม่จำเป็นต้องนั่งดูแลทั้งวันทั้งคืน ดูตัวเลขก็เห็นแล้ว แต่ตอนนี้ มันอ่อนแอทุกธุรกิจเลยอะ T_T เรื่องโกง ที่ผ่านมาไม่มีเลยคับ เพราะเราใช้พนักงานที่เรามั่นใจดูแล ลองเอาตังค์ให้ถือ 3-4หมื่นกลับมาก็โอเคมีใบเสร็จมีหลักฐาน มีเงินทอนครบ บางทีให้ไปเป็นหลายแสน ก็ยังอยู่ดี ^^ คนพวกนี้ เราต้องเล็งและปั้นไว้ก่อนครับ ถ้าคุณไม่ปั้นเตรียมไว้เอาไว้ มันไว้ใจยากส่วนใหญ่ลูกค้าโกงมากกว่าคับ ไม่เคยเป็นกงสีนะครับ เริ่มธุรกิจมาเป็นแบบนี้เลย ผมเริ่มเอง จากคุณ : jenwit - [ 22 ม.ค. 52 17:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไปตอบในกระทู้นี้ครับ.. http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B7447464/B7447464.html จากคุณ : มือเก่า (คนอุบล) - [ 22 ม.ค. 52 17:36:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ชอบความเห็นคุณ Rhythm Investor คห. 5 มากครับเกี่ยวกับระบบกงสี พูดได้โดนใจ แต่จริง ๆ ก็คือความคิดของคนจีนหัวโบราณนั่นเอง จากคุณ : TLL01 - [ 22 ม.ค. 52 21:08:56 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อย่าเพิ่งไปคิดเลยครับ ว่าจะทำยังไงให้ไม่ต้องทำงานได้ มันไม่ยากอย่างที่คิด คิดก่อนว่า ถ้ามีเวลาว่างมากๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วจะเอาเวลาไปทำอะไร ผมผ่านจุดนั้นมาแล้วครับ โยนงานอื่นๆไปให้พนักงานแทบทั้งหมด ตัวเองเฉาแทบตาย ไม่มีอะไรจะทำ รีวิวงาน สัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ2-3ชม. งานหมดอีกแล้ว เพื่อนๆก็งานตรึม ไม่มีเวลาว่างกัน สิ่งที่จขกท.คิด เป็นสิ่งที่ดีนะครับ แต่มองลึกๆแล้ว อาจจะเป็นการทำร้าย ผู้ที่เราหวังดีด้วยก็เป็นได้ ลองปรึกษากันดูก่อนครับ จากคุณ : BonaPart - [ 23 ม.ค. 52 02:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 องค์กรใหญ่ ใช้มืออาชีพมาบริหาร ตัวองค์กรมีระบบควบคุม (ก็ใช้เงินทำงาน) ฟังดูง่าย ฟังดูดี แต่ทำให้ถึงจุดนั้นยาก  ยากมาก ถ้าทำได้ โพสต์บอกแนวทางให้ด้วยเน้อ  ขอบคุณล่วงหน้าเลย แหะ แหะ จากคุณ : พ่อจีน-แม่จีนแต่ผมไทยจีน - [ 23 ม.ค. 52 03:20:40 ]

ความคิดเห็นที่ 13 โดยส่วนตัวผมเห็นว่า เรื่องนี้ โดยหลักการแล้วไม่ยาก (แต่มันยากในราย ละเอียด) การมีกิจการแล้วไม่ต้องเหนื่อยเอง ไม่ต้องเข้าบริษัท มันก็แก้ได้ง่ายๆ ด้วย การหาคนมาทำงานแทนตัวเองนั่นแหละ ง่ายนิดเดียว  เพียงแต่ปัญหามันอยู่ ที่ว่า 1.เจ้าของกิจการมักไม่ค่อยวางใจใครง่ายๆ บางครั้งแม้มีคนเก่งมาช่วย ก็ชอบจะคิดว่า ตนเก่งอยู่คนเดียว ขาดตัวเองแล้วบริษัทจะแย่ 2.หาคนเก่งที่ว่านั้นได้ยาก โดยเฉพาะกิจการยิ่งขนาดเล็ก แรงดึงดูดก็จะไม่ มากเหมือนองค์กรขนาดใหญ่ที่สามารถดึงดูดมืออาชีพเก่งๆ มาได้ไม่ยาก ทั้งในเรื่องของชื่อเสียงองค์กรและในเรื่องของผลตอบแทน การหาคนที่ เหมาะสม (และแน่นอน คนเก่งย่อมหายาก) จึงเป็นงานที่ยากกว่าความคิด 3.การอ่านคน บางครั้งเจอคนเก่ง แต่โกง ตรงนี้ ถ้าเจ้าของกิจการอ่านคน ไม่เก่ง หรือขาดทักษะในการระวัง หรือมีระบบในช่วงเริ่มต้นที่ดีพอ การที่ เพียงแต่เอาคนเก่งเข้ามา ก็อาจมาทำให้เกิดหายนะได้ 4.ทั้งหมดนั้น ย่อมหมายถึงว่า องค์กรได้พัฒนามาถึงระดับหนึ่งแล้ว และผู้ประกอบการย่อมมีความเก่งกล้าสามารถที่จะรู้เรื่องในธุรกิจของตน ดีพอ จึงจะนำมาซึ่งทักษะในการประเมินคนที่จะนำเข้ามาได้ ถ้าผู้ประกอบ การขาดทักษะเบื้องต้น การสักแต่หาคนมา จะเกิดข้อผิดพลาดจากการ ประเมินได้มากๆ แต่สุดท้ายแล้ว ประเด็นของคุณจขกท.นั้น โดยส่วนตัว ผมคิดว่าไม่น่าจะไป ถึงจุด เพราะจากประสบการณ์ของผมที่ได้คลุกคลีกับผู้ประกอบการธุรกิจ มาพอสมควร (โดยเฉพาะ SMEs) การที่องค์กรธุรกิจที่ถูกสร้างขึ้นมาโดย ผู้ประกอบการรุ่นแรก ไม่สามารถเติบโตได้มากเท่าที่ควร ก็มักมาจาก วิสัยทัศน์และทัศนคติของตัวผู้ประกอบการเอง คนรุ่นแรก แม้จะมีแรงผลักดันในการสร้างกิจการขึ้นมาด้วยตัวเองได้ แต่มักขาดวิสัยทัศน์ที่จะนำไปสู่การเติบโตในระดับสอง สาม สี่ หรือห้า และคนที่ทำได้ในรุ่นเดียว มักมีน้อยลงไปตามลำดับ ซึ่งนั่นมาจากวิธีคิด เป็นหลัก (ซึ่งตรงนี้เปลี่ยนได้ยากมาก) เราจึงพบว่า กิจการที่สร้างมาได้อย่างดีแล้ว มักจะเปลี่ยนแปลงแบบก้าว กระโดดได้เมื่อผู้ประกอบการรุ่นที่สองเข้ามารับช่วง เพราะเป็นรุ่นที่แม้ อาจด้อยในทักษะการสร้าง แต่ถนัดในทักษะการพัฒนาแบบต่อยอด อย่างคุณแม่คุณจขกท. ก็อายุมาถึงระดับนี้แล้ว ต่อให้เปลี่ยนระบบได้ ท่านก็ยากที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ (นอกจากออกไปมองดู อยู่เฉยๆ) การให้ท่านไปบริหารด้วยระบบใหม่ โดยส่วนตัวผมจึงเชื่อว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ปัญหาทุกอย่างมันอยู่ที่คนครับ และคนเป็นปัญหา ที่แก้ได้ยากที่สุด ถ้าเป็นพนักงาน เขาจะใช้การเลือกคนที่ "ถูกต้องเหมาะสม" แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัว เราคงเลือกไม่ได้ ต้องใช้วิธีอื่นครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 23 ม.ค. 52 06:35:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เคยช่วยงานบริษัทคนไทย เข้าไปเพื่อช่วยสร้างระบบอย่างที่เคยตกลงกันก่อนเข้าร่วมงานด้วย แต่ปรากฏว่า พอเข้าไปร่วมงานจริงแล้ว กลับเข้าไปร่วมแก้ไขไม่ได้เลย เพราะว่า 1. เจ้าของกิจการยึดติด ยึดติดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ 2. เวลามีปัญหาอะไรสักอย่าง จะไม่มองระบบ แต่จะมองว่า ใครผิด แล้วลงโทษคนทำผิด 3. ไม่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนแน่นอน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา 4. มุ่งเน้นหาแต่รายได้ ละเลยการดูแลรักษาคน เครื่องจักร สิ่งของ 5. บริษัทกงสี มักจะมีพี่น้องเป็นผู้บริหาร ใหญ่เท่ากัน สั่งงานเรื่องเดียวกันแต่คนละทิศทาง ทำให้ลูกน้องสับสน 6. ขี้ระแวง สงสัยเกินเหตุ กลัวใครใหญ่กว่าตัวเอง จากคุณ : เตร็ดเตร่ - [ 23 ม.ค. 52 11:01:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทั้ง 2 ความเห็นคือ 13-14..... เพราะเจ้าของ... 1. "ทำใจ"ไม่ได้นั่นเอง.... 2. ยังมีความเป็นเจ้าของอยู่มาก... จากคุณ : มือเก่า (คนอุบล) - [ 23 ม.ค. 52 13:45:26 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จากประสบการณ์นะคะ ปัญหาที่ทำไม่สำเร็จมาจาก 1.ไม่มีการสอนงานที่ีดี-ทำให้คนที่ทำแทน ทำได้ดีเท่าทำเองไม่ได้้ หรือกว่าจะดีเท่าก็ช้าหน่อย อันนี้เป็นธรรมดาค่ะ 2. ผู้บริหาร ไม่มีทักษะในการตรวจสอบผลงาน ทำให้ พบความผิดพดลาดเมื่อเป็นปัญหาใหญ่ บางทีเสียหายมาก แก้ไขไม่ทัน ซึ่งรวมไปถึงการโดนโกงด้วย  พอทำแล้วเจอปัญหา 1+2 ก็ท้อ หรือเข็ดค่ะ แล้วไม่เอาด้วยอีก ข้อแรกๆ ของการทำระบบเลยคือ ต้อง จัดให้คนทำงาน มากกว่า 1 คน มีฟังชั่นของงานสอบทานคนอื่นไปในตัว กำหนดไปเรื่อย ๆ ให้กลายเป็นร่างแหไปทั้งองค์กรเลยค่ะ พอคนหนึ่ง(ซึ่งในช่วงแรกที่เริ่มกระจายงานก็จะคือคนที่ไม่ชำนาญงานนั่นเอง) ทำผิด/ทำพลาด อีกคนก็จะพบหรือทำต่อไม่ได้ ก็จะต้องบอกให้แก้ไข หรือบอกให้ระวัง ซึ่งถือเป็น on the job training แบบหนึ่งค่ะ ข้อต่อไป คือ ผู้บริหารต้องให้คนทำงานรายงานผลการทำงานของตัวเองตามรอบที่กำหนด ถ้าสำคัญมาก ผิดพลาดส่งผลรุนแรงก็รอบสั้น ๆ เช่นทุกวัน เป็นต้น การให้รายงานผลงานตัวเอง จะทำให้เกิดการสอบทาน-เรียนรู้ความผิดพลาดได้ด้วยตัวเอง ต่อไปก็จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง ผู้อ่านรายงาน ซึ่งคือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าจะสอบหาความผิดปกติได้จากประสบการณ์ และจะเป็นเรื่องที่คนทำเองบางทีไม่พบค่ะ อีกอย่างผู้บริหารจะได้อ่านรายงานจากคนทำงานหลาย ๆ คน จะสามารถเห็นความผิดปกติจากรายงานที่ขัดแย้งกันได้อีกด้วยค่ะ คร่าว ๆตามนี้ก่อนนะคะ .... เป็นกำลังใจให้ค่ะ มีคนที่ไม่ยอมรับระบบตั้งแต่แรกสุดท้ายพอสบายขึ้นก็ติดใจ เยอะค่ะ ระบบทำแล้วต้องสอบทาน ถ้าไม่ ก็ไม่เป็นระบบ ค่ะ จากคุณ : Eastcoat - [ 24 ม.ค. 52 14:31:59 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เพิ่มอีกหน่อยค่ะ วงจรการทำระบบแบบง่าย ๆ คือ 1.สำรวจ(เหมือนที่ จขกท. ให้มาม้าเขยนว่าวัน ๆ ทำอะไรมั่ง แต่ เพิ่มเรื่องวิธีทำ+เอกสารที่ใช้ในการทำ) 2.ออกแบบระบบใหม่ ให้ใครทำอะไรบ้าง กำหนดผลลัพธ์ที่แต่ละคนต้องทำ หรือ outcome หรือ objective ค่ะ แล้วส่งต่องานให้ใครต่อ ในเวลาเท่าใด 3.ทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง โดยการบอกกล่าวเนื้อหา 1 กับ 2 และกำหนดวันเริ่มใช้ระบบใหม่ อย่าลืม ขอความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยนะ เพื่อ ให้เขามีส่วนร่วม ลดการต่อต้านค่ะ 4.ลงมือปฏิบัติ 5.ตรวจสอบผล 6.ปรับปรุงให้เหมาะสมขึ้น ทั้ง 6 ขั้นตอนสำคัญหมด ต้องทำห้ามข้ามนะคะ เป็นระบบสากลที่เรียกว่า PDCA ค่ะ ข้อ 6 นั้นแสดงว่า ไม่มีระบบที่สมบูีรณ์แบบตั้งแต่ต้นค่ะ และ ก็ไม่มีระบบที่สมบูรณ์แบบในทุกสถาณการณ์และทุกกาลเวลาค่ะ องค์กรที่ทำมานานก็ยังต้องคอยปรับระบบอยู่เรื่อย ๆ   องค์กรยิ่งเล็กยิ่งต้องทำระบบดีเพราะจะช่วยให้ประหยัด ใช้คนน้อย และยิ่งคนน้อย คนหนึ่งคนก็ยิ่งรับผิดชอบงานหลายอย่าง หรือ scope งานกว้างกว่าองค์กรใหญ่ จะช่วยให้งานเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ผิดพลาด อย่าลัดขั้นตอนเพราะคิดว่าเล็ก ๆ ก็ ง่าย ๆ จากคุณ : Eastcoat - [ 24 ม.ค. 52 14:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณทุกท่านอย่างสูงเลยครับ ช่วยเจียดเวลามาแนะนำแง่คิดมุมมองดีๆให้ ขอบคุณคุณ Eastcoat ด้วยครับ เป็นรูปธรรมมากเลย  ผมจะลองจดรายการงานของแม่ขึ้มมาใหม่ จะลงรายละเอียดไปในเรื่องวิธีทำ+เอกสารที่ใช้ จะแจงให้ละเอียดขึ้นว่างานเข้างานออกแต่ละหน้าที่ไปมายังไง และจะลองจัดใหม่ กระจายหน้าที่ให้พนักงานแบบ"จัดให้คนทำงาน มากกว่า 1 คน" ดูครับ แต่ต้องปรึกษาแม่อีกทีในรายละเอียดว่าจะทำส่วนไหนของงานให้มันทับคาบเกี่ยวกันระหว่างเจ้าหน้าที่สองคน ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปอยากให้คุณ Eastcoat เขียนเล่าต่ออีก จะเป็นประโยชน์มากเลยครับ เพราะเข้าใจง่ายและเป็นขั้นตอนมากเลย เขียนในส่วนไหนก็ได้ที่พอจะแนะนำได้ เพราะผมลองหาอ่านเอง เสิร์ชพวกคำว่า organization diagram, management formation, ฯลฯ แต่ยังเจอเท่าที่ควร คำที่ใช้น่าจะยังไม่ตรง ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ จากคุณ : จ๊ะทิงจา - [ 25 ม.ค. 52 09:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แก้ไขหน่อยค่ะ กำหนดให้ function งานของแต่ละคนให้คานกันและใช้ข้อมูลของคนอื่น เป็น ตัวสอบทานหรือเป็นต้นเรื่อง ค่ะ (ขอโทษนะคะ เขียนเรื่องวิธีทำระบบงานเนี่ย เขียนให้สั้น ๆ ยากจริง ๆเลย) ยกตัวอย่างเช่น คนสั่งของ กับคนรับของให้แยกเป็นคนละคน, คนรับของต้องสอบทานเอกสารของคนสั่งของก่อนรับของ ถ้าไม่มีหรือไม่ตรงก็รับไม่ได้ ต้องเช็คกลับมาที่ผู้สั่งของ (ตรงนี้คือ-ทำต่อไม่ได้ แต่ไม่ใช่ไม่ทำต่อนะคะ เคยเจอคนต่อต้านเล็ก ๆ ด้วยการแกล้งไม่รับของซะงั้น...ปล่อยให้ไม่มีของใช้ซะเลย) คนทำเอกสารจ่ายก็ไม่ใช่คนสั่งของ และต้องตรวจสอบเอกสารทั้งจากคนรับของและคนสั่งของ ถ้าทั้งสองจุดไม่เหมือนกันก็ต้องตรวจสอบทั้งสองจุด ทำให้พบว่าคนรับไม่ตรวจสอบก่อนรับจึงไม่ตรงกัน ต่อไปคนรับก็ไม่กล้ารับโดยไม่ตรวจ เพราะจะถูกพบจากคนทำเอกสารเพื่อจ่ายเงินประมาณนี้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 52 22:48:47 แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 52 22:35:07 จากคุณ : Eastcoat - [ 25 ม.ค. 52 22:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณอย่างสูงครับ รบกวนเพิ่มเติม คุณ Eastcoat ต้องเป็นคนวางระบบเหล่านี้เองรึเปล่าครับ หรือว่าระบบในองค์กรมีกันมาอยู่แล้ว คือเกิดความสงสัยว่า เมื่อมีหลายแผนกหลายฝ่ายมาก การเงิน บัญชี เซลล์ ขนส่ง โรงงาน ผู้บริหารต้องจัดหน้าที่ให้คานกันลองผิดลองถูกไปเองทีละหน้าที่จนครบทั้งองค์กรหรือครับ คิดว่าคงจะใช้เวลามาก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนพนักงานงง และกลัวจะวางระบบได้ไม่เป็นสากล คุณ Eastcoat พอจะแนะนำได้มั้ยครับ ว่ามีฟอแมตหรือแบบแผนที่เป็นมาตรฐาน หรือเป็นลักษณะกึ่งสำเร็จรูปอยู่มั้ยครับ หรือทุกบริษัทก็ต้องเริ่มวาดโครงสร้างองค์กร ออกแบบจากศูนย์เหมือนกันหมด จากคุณ : จ๊ะทิงจา - [ 27 ม.ค. 52 07:59:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แนะนำให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ ตัวอย่าง แบบ-1 เลือกจุดที่มีความสำคัญมากก่อนแล้วขยายขอบเขตออกไป การทำงานในรูปแบบองค์กรนั้น โดยธรรมชาติคนทำงานจะต้องทำงานสัมพันธ์กันเป็นร่างแหอยู่แล้ว เวลาปรับระบบที่จุดหนึ่งหรือหน่วยงานหนึ่งก็จะหนีไม่พ้นที่จะต้องกระทบจุดงานอื่นหรือหน่วยงานอื่นค่ะ ทำให้เขาต้องปรับตามแต่จะแค่ปรับตามในจุดที่ต้องสัมพันธ์กับคนอื่น ในระดับปฎิบัติงานของตัวเองจะเหมือนเดิม จุดสำคัญอันดับต้น ๆ ก็คืองานที่มีช่องทางให้ทุจริตได้ง่าย เช่นงานจัดซื้อ ถ้าเจ้าของไม่รัดกุมเป็นงานที่บางทีทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำค่ะ แค่ไม่เลือกซื้อจากผู้ขายที่ดีที่สุด (คำว่าดีที่สุดนี่ หมายถึงทั้งราคา,คุณภาพและความตรงต่อเวลาหรือทันการ)  ปีหนึ่ง ๆ ก็สูญเสียหลายสตางค์ค่ะ มีเพื่อนโทรมาหารือเรื่อยว่าจะจ่ายเงินยังไง แบบว่า รับจากลูกค้ามา 100 แล้วต้องจ่ายออกไปให้ จนท.จัดซื้อ ส่วนหนึ่ง คนขายเจอแบบนี้ก็ลำบาก ทั้งต้องแสดงรายได้สูง ทั้งมีค่าใช้จ่ายที่ไม่มีหลักฐาน ข้างผู้ซื้อก็ไม่รู้เพราะไม่ได้เสียเงินขององค์กรแต่ที่เสียไปคือ "ดีที่สุด" ตามความหมายข้างต้น แล้วที่มาปรึกษาน่ะส่วนใหญ่ขายให้องค์กรใหญ่ ๆ ค่ะ องค์กรเล็ก ๆ เจ้าของคุมเองกลับไม่เห็น (อาจจะมีแต่-ไม่มีมาให้เห็นก็ได้) ความเห็นส่วนตัวเลยรู้สึกว่าองค์กรเล็กมีข้อดีหลายอย่าง คนทำหน้าที่ซื้อของ-สั่งของบางทีนั่งหันหน้าตรงกับเจ้านายได้สบตากันทุกวัน ของขึ้นราคาก็ปรึกษากันง่าย ๆ พูดคุยกันทุกวันอย่างนี้ถ้ายังทุจริตได้ลงคอก็โหดเหี้ยมไปหน่อยแล้ว แบบ-2 ถ้าของคุณคุณแม่ทำเองเยอะ ก็ลองเลือกว่างานไหนถ่ายออกไปได้ง่ายกว่า เช่นมีคนมีศักยภาพที่จะฝึกรองรับอยู่ตรงไหนก็เลือกถ่ายงานนั้นออกไปก่อน เพราะจะทำได้เร็ว ไม่เป็นภาระมาก วงจร 1-6 ก็จะสั้น งานที่เหลืออาจจะสำคัญกว่าก็ทำเองไปก่อน พอถ่ายงานออกไปบ้าง มีเวลามากขึ้นก็วางแผนเรื่องงานสำคัญที่ทำเอง ตรงนี้จะถ่ายงานไปให้ใครอาจต้องเลือกคน,ต้องสอนมากหน่อย,ต้องรอนานกว่าจะเก่งจนวางใจ วงจร 1-6 ก็ต้องนานกว่า จะเลือกตรงไหนก่อนหลังก็ขึ้นอยู่กับแต่ละที่ค่ะ วิธีกำหนดว่าให้ใครทำอะไร ตรง"อะไร" นี่ต้องมีscopกำหนดไว้เพื่อให้มั่นใจเรื่องความครบถ้วน-ป้องกัน grey area ด้วย อาจจะดูจุกจิกและยุ่งมากไปหน่อย แต่จะมีประโยชน์มากเวลาคนออกต้องรับคนใหม่ ตอนสอนงานคนใหม่น่ะง่ายขึ้นเยอะและครบถ้วนแน่นอน เมื่อกำหนด "ทำอะไร" แล้ว ก็ ต่อด้วย "ทำอย่างไร" เช่นต้องสอบทานปริมาณของที่รับกับปริมาณการสั่งซื้อในใบสั่งซื้อฯ ทำอะไร+ทำอย่างไร แล้วก็ +"ในเวลาเท่าไร" อันนี้อาจกำหนดอ้อม ๆ ว่า ให้เสร็จหมดทุกวัน คือไม่มีงานค้าง หรือ ภายใน..วันแล้วแต่เรื่องค่ะ ถ้าสายการผลิตเขากำหนดตรง ๆ ได้ว่า ต้อทำ 100 ชิ้นต่อชม. แต่พนักงานสำนักงานกำหนดแบบนี้ไม่ได้ วิธีเขียนพรรณางานจะใชหลัก 5W1H ค่ะ (Who,What,Where,When,Why,How หรือ How  many)  ตรง Why นี่สำคัญค่ะ คนมักจะละไว้ การเขียน Why กำกับไว้และสอนคนโดยบอก Why คือการบอกเป้าประสงค์ของการทำงานนั้นทำให้คนเข้าใจ,สามารถบรรลุเป้าประสงค์ของการทำงานหนึ่ง ๆ ได้ และที่สำคัญทำให้เขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีด้วยค่ะ คำว่า Why นี้คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วย เพื่อ.... หรือ เพราะ...จึง... สุดท้าย มีหนังสือเกี่ยวกับระบบงานที่เคยมีคนทำไว้บ้าง ค่ะที่จำได้ก็ สำนักพิมพ์ธรรมนิติ เขียนโดยอาจารย์สมเดช โรจน์คุรีเสถียร เป็นแบบคู่มือมีตัวอย่างเอกสารมีflowทางเดินเอกสารด้วย เอาไปใช้ได้ แต่ตัวเองยังคิดว่ายังไงก็ต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละองค์กรด้วยค่ะ นอกจากนี้ก็หนังสือวิชาระบบบัญชีที่นักศึกษาเรียนกัน แม้จะเน้นไปที่ระบบบัญชีเป็นหลักแต่ก็เอามาใช้เป็นแนวทางได้ดี เพราะทุกระบบในการทำงานจะไปจบที่แผนกบัญชี และ งานบัญชีก็คือการบันทึกเรื่องราวขององค์กรไว้ในรูปของถ้อยคำทางบัญชีตามลำดับของเวลา ค่ะ เรื่องไหนที่รู้แล้วก็ขออภัยด้วยค่ะ จากคุณ : Eastcoat - [ 27 ม.ค. 52 10:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 พอดีเห็นคำถามที่สำคัญแต่ไม่ได้พูดถึง เลยต้องขอต่ออีกหน่อย "ลองผิดลองถูกไปเองทีละหน้าที่จนครบทั้งองค์กรหรือครับ คิดว่าคงจะใช้เวลามาก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนพนักงานงง" ใช่ค่ะ ใช้เวลามาก จึงต้องค่อยเป็นค่อยไปทำทีละจุดงานไปเรื่อย ๆ จนครบไปเอง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เปลี่ยนบ่อย ๆ พนักงาน "ทั้งงง-ทั้งเบื่อ" ค่ะ ที่ทำอยู่จะใช้เวลาในขั้นตอนที่1,2 (สำรวจและออกแบบระบบ) มากที่สุดในวงจรการทำระบบค่ะ ต้องมั่นใจว่าเป็นระบบที่เหมาะกับเงื่อนไขขององค์กรแล้วจึงจะเรียกประชุมชี้แจงให้พนักงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ การขอความเห็นจากผู้ทำงานหรือผู้เกี่ยวข้องในการประชุมครั้งแรกนี้จะเป็นข้อมูลในการปรับระบบครั้งสุดท้ายก่อนนำลงปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วเกิดความไม่สะดวกอย่างไร ก็จะปรับอีก โดยให้เป็นการปรับให้ง่าย/ให้สะดวก-คือเหมาะสมขึ้น เป็นปรับเล็ก ไม่เปลี่ยนโครงสร้างหลัก ช่วงทดลองระบบนี้ จะกำหนดช่วงเวลาไว้ค่ะ อาจจะ 7 วัน-15วันหรือ 1 เดือนแล้วแต่ประเภทงาน ระหว่างนี้จะไม่ปรับทุกวันนะคะ อาจจะ 7 วันรวบรวมความเห็นแล้วสรุปปรับอะไรบ้าง ปรับแล้วลองอีก 7 วัน ประมาณนี้ ถ้าทำได้อย่างนี้ ระบบนี้จะใช้ได้ยาว จะปรับบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อให้เหมาะกับปัจจัยหรือสถาณการณ์ใหม่ ก็ไม่สับสนค่ะ พนักงานจะเป็นคนร้องขอปรับระบบเล็ก ๆ แบบนี้เองด้วย แต่ เวลาปรับระบบเนี่ยควรหารือผู้เกี่ยวข้องด้วย เป็นการคุยง่าย ๆ ขอความเห็น บางทีคนขอให้ปรับให้ตัวเองทำงานได้ง่ายขึ้นแต่กระทบคนอื่นทำงานยากขึ้น เจ้าตัวไม่รู้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 11:12:34 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 11:02:42 จากคุณ : Eastcoat - [ 27 ม.ค. 52 10:52:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ลบเพราะมัน post ซ้ำค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 11:00:17 จากคุณ : Eastcoat - [ 27 ม.ค. 52 10:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบพระคุณคุณ Eastcoat อย่างสูงครับ ช่วยให้ผมได้แนวทางขึ้นมาก สอนเข้าใจง่ายและเป็นขั้นตอนมากเลยครับ จากที่แนะนำอยากจะเริ่มจาก แบบ-2 ครับ เริ่มจากงานที่ถ่ายออกไปง่าย งานปลีกย่อยต่างๆ จดออกมาแล้วมียี่สิบกว่ารายการ น่าจะง่ายกว่า แบบ-1 ครับ เพราะเรื่องยากยังไม่กล้าปล่อย โดยหลักๆสิ่งที่แม่ปล่อยไม่ออกเป็นเรื่องการเงิน ทุกวันนี้ยังดูการเงินเองเกือบทั้งหมด การจัดการเงินในแต่ละวันเพื่อไปธนาคาร แผนกใดเบิกเงิน ส่งมอบเงิน จะมาที่แม่ ทำงานของเจ้าหน้าที่การเงินเองกว่าครึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตั้งเป้าหมายว่าอยากจะกระจายออกไป โดยตั้งใจจะรับตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินเข้ามา ซึ่งปัจจุบันไม่มีเจ้าตำแหน่งการเงินโดยเฉพาะ เพราะคุมเค้าไม่ถูก จากนี้จะลองนำวิธีของคุณ Eastcoat และจากหนังสือมาจัดงานครับ รบกวนถามคุณ Eastcoat พอจะจำได้มั้ยครับ หนังสือของ อ.สมเดช โรจน์คุรีเสถียร น่าจะใช่เล่มนี้มั้ยครับ http://www.dst.co.th/dst/book_store/content/21631.pdf ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : จ๊ะทิงจา - [ 28 ม.ค. 52 16:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 25 น่าจะใช่ค่ะ ที่เคยเห็นนานมากแล้วเหมือนกัน ของอาจารย์ท่านนี้ จะราคาสูงหน่อย ถ้าเป็นตำราเรียนของคณะบัญชีทั่วไปราคาจะย่อมเยาว์กว่า ตัวเองบางทีก็ไปแอบอ่านบางจุดเพื่อดูเป็นแนวทาง แต่ไม่ได้ซื้อ-ขอบคุณทั้งผู้เขียน,สำนักพิมพ์และร้านหนังสือไว้นะที่นี้ค่า ิต่อไปอาจจะไม่ค่อยได้ตามดูกระทู้นี้อีก คิดว่า จขกท.มีแนวทางพอสมควรแล้ว แต่ยังยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์นะคะ มีอะไรทิ้งข้อความไว้หลังไมค์ก็ได้ค่ะ จากคุณ : Eastcoat - [ 28 ม.ค. 52 17:14:07 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 31 ม.ค. 52 22:43:19 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สั่งซื้อหนังสือมาเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณมากเลยครับ จากคุณ : จ๊ะทิงจา - [ 7 ก.พ. 52 03:48:40 ]