Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    :+:+: เจาะลึก MLM ธุรกิจร้อยล้านที่คนปฏิเสธ : <Part 3> สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนเริ่มต้นธุรกิจ MLM :+:+:

    :+:+: เจาะลึก MLM ธุรกิจร้อยล้านที่คนปฏิเสธ : <Part 3>  สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนเริ่มต้นธุรกิจ MLM   :+:+:

    บทที่ 3 :  สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนเริ่มต้นธุรกิจ MLM

            ในประเทศไทยตอนนี้ธุรกิจประเภท MLM หรือที่รู้จักกันว่า ธุรกิจขายตรง นั้นมีเยอะแยะมากมาย  มีทั้งแบบถูกกฏหมาย ทำจริง ได้จริง  และแบบหลอกลวง ทำจริง ได้จริงเหมือนกัน ได้เยอะด้วย แต่ได้แค่ช่วงแรกๆ พอระบบล่มก็ตัวใครตัวมัน เหอๆ  แล้วถ้าเราอยากลองทำดู จะเลือกทำบริษัทไหนถึงจะเชื่อถือได้หละเนี่ย  - -?  เอาหละครับ เรามาดูกันดีกว่าว่าการที่เราจะตัดสินใจทำกับบริษัทไหนนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอะไรบ้าง

        1.  ความน่าเชื่อถือของบริษัท >>  เป็นสิ่งแรกเลยที่ต้องพิจารณา  ก่อนอื่นต้องดูว่าบริษัทนั้น
                         - ก่อตั้งในไทยมาแล้วกี่ปี ในต่างประเทศกี่ปี  ถ้า 2-3 ปีนี่ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
                         - ผลประกอบการ และอัตราการเติบโต มีแนวโน้มว่าจะโตขึ้นมากหรือปล่าว
                         - วิสัยทัศน์ แนวคิดของผู้ก่อตั้ง อันนี้หลายคนอาจมองข้าม แต่ถ้าเราจะทำธุรกิจกับบริษัทไหนนั้น ควรดูด้วยว่าแนวคิดในการก่อตั้ง เป็นอย่างไร ซึ่งจะสะท้อนออกมาเป็นแนวคิดในการทำธุรกิจ และสินค้า
                    *** - เป็นสมาชิกสมาคมขายตรงแห่งประเทศไทยหรือไม่  ข้อนี้สำคัญมากๆ สามารถเช็คได้ที่ http://www.tdsa.org/tdsa_member_name.html  ถ้าไม่มีใน List รายชื่อสมาชิกนี้ ก็สัณนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า 99% หลอกลวงชัวร์ (จริงๆแล้วกฏหมายไม่ได้บังคับว่าบริษัทขายตรงทุกบริษัทจะต้องเป็นสมาชิกสมาคมฯ  แต่เพื่อความถูกต้องก็ควรจะสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฯใช่ป่ะ การสมัครก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ถ้าไม่สมัครก็แสดงว่าต้องมีไรที่น่าสงสัยแล้วหละนะ )

      2. แผนการตลาด >>  แผนการตลาดแต่ละบริษัทนั้นจะแตกต่างกันออกไป แต่หลักๆแล้วมีคล้ายๆกันคือ
                     - รายได้จากการขายปลีก  คือซื้อในราคาสมาชิก แล้วขายราคาเต็ม ก็จะได้กำไรประมาณ 20-30% แล้วแต่บริษัทจะลดให้
                     - รายได้จากยอดรวมทั้งองค์กร  คือรวมยอดขายทั้งหมดจากองค์กร หรือเครือข่ายของเราว่าได้กี่คะแนน ซึ่งจะแบ่งเป็นขั้นๆว่ากี่คะแนนได้กี่ %  ตรงนี้แหละคือ Hilight ของธุรกิจเครือข่าย  ยิ่งเครือข่ายมาก

    ยิ่งได้เปรียบ(เหมือนโฆษณาธนาคารแห่งหนึ่งเลย ^^!)
                    - รายได้ Bonus อื่นๆ  ตามตำแหน่งที่ได้ ยิ่งตำแหน่งสูง ยิ่งได้มาก
                  แผนการตลาดที่ดีนั้น จะต้องยุติธรรมกับทั้ง Downline และ Upline จ่ายเหมาะสม ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป  คนที่มาทีหลังสามารถแซงได้  (ถ้าเค๊าบอกว่า ถ้าคุณเข้ามาช่วงนี้จะได้เปรียบเพราะจะเป็นต้นสาย  ก็แสดงว่าคนที่เข้ามาทีหลังจากนี้จะต้องเสียเปรียบแล้วอ่ะดิ - -! แบบนี้ไม่ยุติธรรมละ)
                  *** สิ่งที่ระวังคือ ต้องดูว่าแผนการตลาดนั้น สามารถให้ผลตอบแทนจริง และให้ได้ในระยะยาวหรือไม่  ไม่ใช่ล่อให้คุณติดกับแล้วถอนตัวไม่ขึ้น  ซึ่งหลายบริษัทพยายามล่อให้คนเข้ามาด้วยผลตอบแทนช่วงแรกที่สูงมาก  
                    เช่น ช่วงแรกถ้าคุณสามารถทำยอดได้ 21,000 บาท  และเพื่อนคุณที่สมัครเป็น Downline คุณทำยอดได้ 21,000 บาทเช่นกัน  ก็จะได้ 20% หรือ 4,200 บาทต่อสาย  ถ้ามี 5 สายก็จะได้ถึง 5x4,200 = 21,000 บาท  *0*  (อ้างอิงจากแผนจริงของบริษัทหนึ่ง) บางคน(เกือบทุกคน) เห็นว่าได้ง่ายขนาดนี้ ก็ตาลุกวาว โดยลืมคิดไปว่า ไอ้ยอด 21,000 หนะ สำหรับช่วงแรกที่ยังขายไม่เป็น Product ก็รู้จักยังไม่ครบ จะขายใครได้  มีทางเดียวที่ง่ายที่สุดคือ "ซื้อมาสต๊อก" (ก็จะอ้างว่า ต้องลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์มาลองใช้ เผื่อใช้ดีจะได้บอกต่อได้  แต่ 21,000 เนี่ย ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ - -!)  ซึ่งตรงจุดนี้ หลายคนจะคิดว่าเป็นการลงทุน เพราะแค่ชวนเพื่อนมา 5 คนแล้วทำแบบเรา ก็ได้ทุนคืนแล้ว (แต่เพื่อนทั้ง5 คนต้องแบกต้นทุนคนละ 21,000 รวมแล้วก็ 105,000 แหนะ *0* )  ซึ่งเพื่อนทั้ง 5 คนถ้าอยากได้ทุนคืน ก็ต้องหาคนมาต่อไปอีกเรื่อยๆ  แบบนี้ใกล้เคียงกับคำว่าลูกโซ่แล้วหละนะครับ  อันตรายมากๆ เพราะไม่ได้เป็นการสร้างเครือข่ายจากการซื้อเพื่อบริโภคจริง

      3. Product  >> สินค้าที่จะขาย  ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่าง เพราะเป็นสิ่งที่เราจะใช้สร้างเครือข่ายผู้บริโภค  ถ้าสินค้าไม่ดีจริง คงไม่มีการซื้อใช้อย่างต่อเนื่อง และขยายแบบปากต่อปากออกไปได้  สิ่งที่ต้องคำนึงคือ
                  - ชนิด/กลุ่มของสินค้า  เช่น กลุ่มอุปโภค  กลุ่มอาหารเสริม  กลุ่มเครื่องสำอางค์  แต่ละบริษัทก็มียี่ห้อสินค้าของตัวเองที่มีสรรพคุณระดับเทพ   บางบริษัทก็มีเฉพาะกลุ่มอาหารเสริม  บางบริษัทก็มีเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอางค์  เราก็ต้องดูด้วยว่ากลุ่มลูกค้าที่อยู่รอบตัวเราเป็นกลุ่มไหน ซึ่งลูกค้าคนเดียวอาจเหมาะกับทุกกลุ่มเลย  ดังนั้นเพื่อให้ครอบคลุมเครือข่ายผู้บริโภคได้ทั้งหมด ควรเลือกบริษัทที่มีครบทุกกลุ่ม  และที่สำคัญต้องแข็ง(คุณภาพดี)ทุกกลุ่มด้วย
                 - คุณภาพของสินค้า : ต้องมีการรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้  ผ่านการตรวจสอบสารตกค้าง  กระบวนการผลิตที่ทันสมัยได้มาตรฐาน  ตั้งแต่ขั้นตอนคัดเลือกวัตถุดิบ (ต้องบอกได้ว่ามาจากไหน  คัดเลือกมายังไง) จนถึงขั้นตอนการบรรจุภัณฑ์(Packing)  เพราะเราเป็นคนแนะนำ หรือขายให้เพื่อน คงไม่อยากเอาสินค้าห่วยๆไปหลอกขายหรอกจริงป่ะ ^^!  สินค้าที่ดีจะต้องขายตัวเองได้
                - ความจำเป็นต้องใช้  : สินค้าจะที่ขาย ควรเป็นสินค้าที่ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้จริงๆ และใช้หมดมีการซื้อซ้ำ แม้ว่าจะเจอภาวะเศรษฐกิจ หรือสงคราม ก็ยังต้องใช้  เช่น สบู่ ยาสีฟัน ถ้าไม่ใช้ของเรา ก็ใช้ของยี่ห้ออื่นอยู่ดี  เพียงแค่เราแนะนำให้เค๊าเห็นถึงความประหยัดและคุณภาพ เมื่อใช้แล้วประทับใจ ก็จะซื้อซ้ำเรื่อยๆ  ก็สามารถสร้างเครือข่ายผู้บริโภคได้แล้ว  แต่สินค้าบางอย่างที่ตัดได้ เช่นกลุ่มอาหารเสริม ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคก็อาจลดกำลังการซื้อ หรือตัดไปเลย  ซึ่งถ้าบริษัทนั้นเน้นแค่กลุ่มอาหารเสริม ก็จะเริ่มลำบากละ  แบบนี้เครือข่ายผู้บริโภคเราก็ไม่มั่นคงแล้วหละนะ
                - การรับประกันสินค้า : สินค้าที่ซื้อแล้ว ลูกค้าไม่พอใจต้องสามารถคืนเงินได้ 100%  เป็นการการันตีว่าสินค้าของเราดีจริง  ถ้าบริษัทไหนคืนเงินไม่ได้ ก็ระวังไว้ก่อนละกันว่าอาจโดนหลอกขาย เหอๆ

           นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่ต้องพิจารณาเช่น ช่องทางการจำหน่ายหรือสั่งซื้อ  การจัดส่ง  สวัสดิการอื่นๆ เช่นการประกาศเกียรติคุณ การท่องเที่ยว การอบรม  โปรโมชั่น  ฯลฯ

           อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงจะตาลายละ  งั้นขอสรุปสั้นๆถึงสิ่งที่ต้องระวังในการเลือกบริษัทคือ  สินค้าดี  ราคาเหมาะสม  ทำให้มีการใช้อย่างต่อเนื่อง  ไม่มีการรักษายอดเพื่อให้ได้ผลตอบแทน  จ่ายผลตอบแทนจริง  ระบบ Support ดี  ที่สำคัญคือสินค้านั้นต้องขายตัวเองได้ อันจะทำให้เกิดเครือข่ายผู้บริโภคที่มีการซื้อใช้อย่างต่อเนื่องโดยที่ผู้ใช้เต็มใจซื้อใช้เอง ไม่ได้ซื้อเพราะความเกรงใจ

          ตอนนี้หลายคนอาจคิดในใจว่า ธุรกิจนี้ก็ดีนะ  ลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ รายได้ดี เสียแต่ว่า มันเป็นงานขาย ... ไอ้เราก็พูดไม่เก่ง ขายไม่เป็น รู้จักคนไม่เยอะ  ต้องไปตื้อไปง้อคน  คงไม่เหมาะกับเรามั๊ง -__- !   อย่าเพิ่งถอดใจครับ ถ้าคุณคิดอย่างนี้ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจระบบธุรกิจเครือข่ายจริงๆ   งั้นตอนต่อไป เราจะมาขยายความถึงธุรกิจเครือข่ายให้เข้าใจมากขึ้นว่าแม้แต่คนขายไม่เป็นเลย ก็ยังสามารถทำธุรกิจนี้ได้  เพราะธุรกิจนี้ไม่
    ได้มีแค่การขาย อย่างที่หลายคนเข้าใจ  เป็นการสร้างเครือข่ายแบบถูกวิธี  ไม่ใช่การหลอกลวงคนอื่นมาต่อสายแน่นอนจ้า ^__^V

    Next Issue >> Part 4 -  MLM ธุรกิจที่ไม่ได้เป็นแค่งานขาย
    Special !!!  พร้อมพบกับตอนพิเศษ "หลุมพรางของธุรกิจเครือข่าย(แบบลูกโซ่)"

    หมายเหตุ : บทความแต่ละวันนั้น ผมจะ Post ในนี้ก่อน  และจะรวบรวมไว้ในบล็อคของผมด้วยนะครับ เพื่อให้สะดวกในการค้นหา หรืออ่านย้อนหลัง

    จากคุณ : ShinchanX - [ 28 ม.ค. 52 18:06:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com