Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ตอนที่ 3 บทโศก “ฉันกับเจ้านายคนที่ 2” "เจ้านายใหม่"

    ตอนที่ 3: บทโศก “ฉันกับเจ้านายคนที่ 2”



    "เจ้านายใหม่"




    ครั้งแรกเราถูกเรียกไปกรอกใบสมัครใหม่
    และสอบข้อเขียนวัดทัศนคติ (ไม่แน่ใจว่า .... เขาเรียกว่า สอบวัด EQ หรือเปล่า?)
    จากนั้นสัมภาษณ์กับ HR ที่ถนนพระราม 9


    จากนั้น อีกประมาณ 1 เดือน  จึงเรียก เราไปสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์รอบที่สอง


    ครั้งที่สอง ถูกเรียกไปสอบข้อเขียนพร้อมสัมภาษณ์ที่โรงงาน (สอบพร้อมกับผู้สมัครอื่น ๆ อีก หลายคน)

    ขออธิบายบริษัทเพิ่มเติม
    Office เดิม ของบริษัทนี้อยู่ที่ ถนนพระราม 9
    และโรงงานอยู่ที่ ถนนบางนา – ตราด (บางพลี,  สมุทรปราการ)
    แต่ด้วยความบังเอิญ
    เมื่อผมเข้าได้เข้าไปทำงานแล้ว
    พบว่า ได้มีการย้าย Office มาอยู่รวมกันที่โรงงาน (ถนนบางนา – ตราด)


    ข้อสอบมี 2 ชุด
    – ชุดแรก เป็นข้อสอบเกี่ยวกับพื้นฐานทางวิศวกรรมและคณิตศาสตร์
    – ชุดที่สอง เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษ


    ช่วงเช้าสอบข้อเขียน
    ช่วงบ่ายสอบสัมภาษณ์กับ HR และหัวหน้างาน
    จำได้ว่ามี กรรมการสอบ 3 คน รุมกันซักเราใหญ่เลย

    จำได้ว่า มีกรรมการท่านหนึ่งถามว่า
    “เกรดเฉลี่ยของคุณต่ำ คิดว่าจะมีผลต่อการทำงานนี้หรือเปล่า??”


    เรานี่     อึ้ง!!   (อึ้งกิมกี่)

    ในใจก็เคืองนิด ๆ บวกกับอายหน่อย ๆ (เขาดูถูกเรานี่) แต่เราก็ไม่แสดงอกไป


    และแล้วเราก็ใช้ “ปอด” คิดแป๊บหนึ่ง
    แล้วตอบ (ตอบแบบกวนตีนหรือเปล่าหว่า?) ว่า

    “ขอเรียนว่า แม้ว่าเกรดเฉลี่ยของผมจะค่อนข้างต่ำ
    แต่จากประวัติและสำเนาใบประกาศนียบัตรต่าง ๆ
    ที่ผมแนบมา  ยืนยันได้ว่า ผมสามารถทำงานได้
    และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีครับ”


    คือว่า เราแนบสำเนาใบประกาศนียบัตรต่าง ๆที่ได้มา ระหว่างเรียนไปด้วย
    เช่น ประธานชมรม, กรรมการชมรมต่าง ๆ และประกาศเกียรติคุณอื่น ๆ (มีกว่า 10 ใบ)


    รวบรัดตัดตอน
    เราสัมภาษณ์เสร็จในวันนั้น

    อีกประมาณ 1 สัปดาห์ HR ก็โทร มาบอกให้เราไปเริ่มงาน
    ในตำแหน่งพนักงานธรรมดา “วิศวกรฝึกอบรม”

    เราใช้เวลาลาออกจากที่เดิม 30 วัน


    หลังจากเริ่มงาน
    จึงทราบว่า หนึ่งในกรรมการสอบ คือ เจ้านายโดยตรงของเราเอง
    คนที่สอง คือ เจ้านายที่เหนือขึ้นไปอีก 1 ชั้น
    และคนสุดท้าย ผจก. HR


    งานใหม่
    เป็นงานด้านการฝึกอบรมและบริการ
    งานฝึกอบรม ต้องใช้ความรู้ทางด้านเทคนิค (พื้นฐานวิศวะ พอสมควร)
    และต้องอบรมให้กับช่าง (ช่างของ Dealer)
    รวมทั้ง ต้องทำงานด้านวิเคราะห์ปัญหา – บริการลูกค้า
    และจัดทำคู่มือซ่อมสำหรับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่


    เราทำงานร่วมกับเจ้านายได้เป็นอย่างดี
    ไม่นานนัก   เรากลายเป็น “กึ่งเลขา” ส่วนตัว
    มีอะไรนิด อะไรหน่อย  เจ้านายเรียกหาแต่เรา (เจ้านายผู้ชาย  เราก็ผู้ชาย)
    (ใช้กรูอยู่คนเดียว   กรูก็เหนื่อยนะ)
    จนเพื่อน ๆ หลายคนเริ่มนินทา
    หาว่าเราเป็น “เด็กเส้น” ของเจ้านาย
    เราไม่รู้จะอธิบายอย่างไร (เพราะพูดไปเพื่อน ๆ ในหน่วยงานก็ไม่เชื่อ)


    เราทำงานได้ 2 ปีกว่า


    งานเข้า!!!

    เจ้านายโดยตรงของเราเอง รับพนักงานใหม่เข้ามา
    เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของเจ้านาย มาทำงาน (เป็นเพื่อนร่วมงานเรา)

    ถึงตอนนี้
    เจ้านายก็มี “เลขาส่วนตัว” คนใหม่

    ขอบอก ... หลานสาวเจ้านาย น่ารักโคตร ๆ (ตามคมเข้ม ผิวดำดี    เอ๊ย!  ไม่ใช่ .... ผิวดำแดง)
    เรียนจบมาทางการทูต หรือว่าการค้าระหว่างประเทศอะไรนี่แหละ (ขออภัยที่จำไม่ได้)
    ภาษาอังกฤษแข็งแรงกว่าเราเสียอีก
    แต่อาจจะด้อยกว่าเราในแง่ของ พื้นฐานทางด้านเทคนิค (วิศวะ)


    สำหรับเรา .... จากที่เราเป็น “ลูกรัก” ของเจ้านาย
    กลายเป็นว่า เจ้านายเริ่ม “ไม่พอใจ” ผลงานเรา

    แต่ก็ยังใช้งานเราหนักเหมือนเดิม
    งานไหนยาก ๆ
    งานไหนไม่สามารถใช้ลูกน้องคนอื่นได้

    ก็โยนมาให้เรา
    งานแปลคู่มือ (English 2 Thai) ก็โยนมาให้เรา

    ภาษาของเราเริ่มพัฒนามากขึ้น
    เพราะงานนี้แหละ


    และแล้ว  “วันนั้น” วันที่เราและเจ้านายแตกหักก็มาถึง


    วันนั้น
    เราไม่อยู่ที่โต๊ะทำงาน เพราะต้องบรรยายทั้งวัน (ทั้งเช้าและบ่าย)
    ที่ไว้ใจเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
    เราไม่ได้ Lock เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Password ใด ๆ

    พอเราบรรยายเสร็จ ประมาณ 4 โมงเย็น
    (เหลืออีกแค่ 1 ชั่วโมงจะเลิกงานอยู่แล้ว)

    เจ้านายที่เหนือขึ้นไป (รองจากญี่ปุ่น)
    เรียกเราเข้าพบ

    พร้อมกับเปิด Email ฉบับหนึ่ง ที่ส่งโดยใช้ Email ของเรา
    ส่งถึงผู้บริหารหลายคน (เจ้านายฝ่ายอื่น ๆ หลายคน) ในบริษัท

    เนื้อหาของ Email ไม่มีอะไร
    นอกจากรูปภาพของนางแบบและนายแบบที่ “ขัดสนเครื่องนุ่งห่ม” อย่างยิ่ง

    ตอนนั้นยังไม่มีกระทรวง พม.  
    ไม่อย่างนั้น  เราอาจจะเห็นพาดหัวข่าว


    “เสื้อผ้าบริจาค ตัวเล็ก คับ รัดคอผู้ประสบภัย  นอนระทวย หายใจระริน -- 555”


    บางภาพก็เป็นกิจกรรมคลายหนาวของ “นายแบบและนางแบบ” ผู้ประสบภัย


    เรานี่           อึ้ง!!!!


    ตอนนั้นเรา  อึ้ง        มึน   งง    วิงเวียน       ต้องการยาดมยาหม่องเป็นการด่วน!!!

    เจ้านายคนนั้น  ไม่ได้ด่าว่าอะไรเรามากหรอก

    เขาพูดสั้น ๆ ว่า           “นี่    เป็นการเตือนด้วยวาจานะ!!”   เพียงแค่นี้


    เราก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี


    นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เราถูก “วิชามาร”
    ของการแก่งแย่ง  ชิงดี  ชิงเด่น   ในที่ทำงานเข้าเล่นงาน
    เราสูญเสียพลังวัตไปเยอะมาก
    เราต้องนั่งกำหนดลมปราณ หลายวัน

    จึงทำใจได้ !

    เราไม่ทราบว่าใคร?? คือตัวการที่ใช้วิชามารเยี่ยงนี้กับเรา
    และเราก็จะหยุด !    สืบเสาะ    แสวงหา  ผู้นั้น

    เพียงแต่ว่า ....  เราจะต้องหาวิธีป้องกันตนเอง !



    ตั้งแต่นั้นมา
    เราใส่ Password เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราตลอดเวลา !!


    เรื่องน่าจะจบเพียงแค่นั้น
    แต่ปรากฏว่า  อีกหลายเดือนต่อมา

    ขณะที่เรากำลังบรรยายอยู่อีกอาคารหนึ่ง
    ซึ่งห่างกันประมาณ 500 เมตร
    “เจ้านาย”  สุดที่ Love ก็โทรมาถาม

    Password เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา

    (ทั้งที่เขามีเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของตนเองอยู่แล้ว)
    โดยบอกว่าจะขอใช้เครื่องผมส่ง Email !!
    โดยบกว่าเครื่องของเขามีปัญหา แฮ็งค์


    เราเอะใจ !


    เราก็บอกให้เขาใช้ User และ Password ของเขา
    ในการใช้เครื่องของเรา

    ซึ่งเขาบอกว่าทำไม่ได้ (หรือไม่ได้ทำก็ไม่รู้แฮะ!)

    และตวัดใส่เรา ผ่านทางโทรศัพท์อย่างดัง
    (แถมด่าเราอีกหลายประโยค  แต่ขอละเว้นละกันนะ)
    ตอนนั้น เราเริ่มอารมณ์ไม่จอยแล้ว
    เราจึงบอกเจ้านายว่า

    “พี่ครับ  เจ้าหน้าที่ IT อยู่ในอาคารเดียวกับพี่
    รบกวนพี่เรียก IT มาดำเนินการให้พี่นะครับ
    ผมจะต้องบรรยายต่อครับ”

    เจ้านายก็
    ด่าเราซะลั่น Floor ผ่านโทรศัพท์
    เพื่อนเล่าให้ฟังภายหลังว่า   ว่าด่าเสียงดังมาก  ทำให้คนอื่น ต่างก็ลุกขึ้นหันมามองที่เจ้านายเรา


    จากนั้นมา
    เจ้านายมอง “เรากลายเป็นศัตรู”

    ผลประเมินและการขึ้นเงินเดือนในปีนั้น

    เราได้รับเงินเดือนขึ้น 3% !!

    ในขณะที่อัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยของบริษัท อยู่ที่ 5%

    ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยมาสาย  ไม่มีลากิจ และไม่มีลาป่วย
    เพราะต้องมาทำงานโดยใช้บริการรถรับส่งของบริษัท
    วันลาพักร้อนไป 3 วัน ยังเหลือวันลาอีก 2 วัน (ตอนนั้นลาได้ 5 วัน)

    เราเสียใจเล็ก ๆ  แต่ไม่ท้อใจ


    แม้จะแอบรู้มาว่า
    เพื่อนบางคนทั้งลา  ทั้งสายหลายครั้ง  ยังได้เงินเดือนขึ้น 4%



    แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร
    เราจะมาเล่าต่อ  ตอนต่อไป .....





    ตอนต่อไป ตอนที่ 3 "ฉันกับเจ้านาย คนที่ 3"



    "การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร"

     
     

    จากคุณ : byonya - [ 2 ก.พ. 52 09:12:29 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com