Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ลุงแอ็ด....เอามาฝาก ตอนที่ 2 ยืนบนขาตัวเองให้ได้ก่อน

    ยืนบนขาตัวเองให้ได้ก่อน





    วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อพ.ศ. 2540 เกิดจากเมืองไทยเราฟองสบู่แตก  

    เราเลยต้องพึ่งพิงต่างชาติ  กู้เงินเขามาเยียวยาประทศ  แล้วไม่นานเราก็ฟื้น

    ตัวได้

    แต่มาวิกฤตรอบนี้  ไม่ได้เกิดจากเรา  แต่เกิดจากวิกฤตการณ์ในประเทศ

    สหรัฐฯ  ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีอำนาจเหนือเศรษฐกิจโลก  มีบทบาทต่อทุก

    ชาติในโลก  เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล้ม  ก็พาให้ทุกประเทศทั่วโลกล้มระเน

    ระนาดอย่างที่เราเห็นกันอยู่





    เมืองไทยเราก็ไม่รอด  พลอยประสบวิกฤตเศรษฐกิจจากผลพวงเศรษฐกิจ

    สหรัฐฯ ล่มไปด้วย





    ยังดีที่เราไม่ล่มก่อน  อันนี้เท่ไม่เบา

    แต่เท่กินไม่ได้ครับ






    อัตราการว่างงานของเราถีบตัวสูงขึ้น  ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง  

    เมื่อคนไม่มีกำลังซื้อ  เศรษฐกิจในบ้านเราก็ฝืดเคือง  เกิดภาวะเงินฝืด  เงิน

    เฟ้อ  ขายของไม่ได้  ไม่มีใครกล้าซื้อ  ไม่มีใครกล้าลงทุน  ทำให้คนตก

    งาน  ตกงานก็ไม่มีกำลังซื้อ  ธุรกิจก็เจ๊งเป็นโดมิโน  กลายเป็นวงจรอุบาทว์

    ใครๆ ต่างก็พากันเดือดร้อน





    แต่ความเดือดร้อนของคนมีข้อแตกต่างกัน

    บางคนเดือดร้อนเพราะไม่มีเงินจะซื้อข้าวกิน

    บางคนเดือดร้อน  ไม่มีเงิน  จนบ้านและรถถูกยึด

    แต่บางคนเดือดร้อน  ตรงที่รวยน้อยลง  แต่เงินยังมี  บ้านยังอยู่  รถก็ยังอยู่

    ประเทศไทยเรามีคนจนลงมาก  ตกระกำลำบากอีกมาก  แต่ก็มีอีกมากคนที่

    ไม่เดือดร้อน





    เขาไม่เดือดร้อนเพราะเขามีเงินเก็บ  เพราะเขาไม่มีภาระการผ่อนจ่ายบ้าน

    และรถ  เขาไม่เดือดร้อนเพราะเขายังคงมีงานทำ

    แล้วเราล่ะ  ประเทศไทยที่กำลังเดือดร้อน  เราเดือดร้อนในรูปแบบใด  เดือด

    ร้อนแบบไม่มีจะกิน  หรือเดือดร้อนแบบรวยน้อยลง

    ความเดือดร้อนทั้งสองแบบนั้นมีข้อแตกต่างกันอยู่มาก





    เพราะตอนที่ประเทศเราเดือดร้อนเมื่อปี 2540 เรายังพอพึ่งพิงต่างชาติได้  

    เพราะต่างชาติยังมีเงินให้เรากู้  แต่มาปี พ.ศ. นี้  ต่างชาติเจ๊งตั้งแต่แรกเริ่ม  

    พลอยทำให้ประเทศเราเดือดร้อนตามไปด้วย  เพราะเมื่อเขาไม่มีเงิน  เราก็

    ส่งออกไม่ได้  เพราะเขาไม่มาซื้อ  เขาไม่มาเที่ยว  ไม่มาใช้บริการในบ้าน

    เรา  เพราะเขาไม่มีเงินเดินทางมา





    เราผลิตแล้วขายของไม่ได้  ก็ไม่ต้องผลิต  คนก็ตกงาน

    ฝนตกบ้านน้อง  ฟ้าร้องบ้านพี่

    น้องไม่มีเงินใช้  พี่ก็ไม่มีเงินใช้เหมือนกัน






    ทุกชาติเดือดร้อน  เราก็เดือดร้อน  กู้เงินชาติไหนเขาก็ไม่ได้  พึ่งใครเขาก็

    ไม่ได้

    เราจึงต้องพึ่งตนเอง





    ถ้าเราพึงตนเอง  ค้าขายหมุนเวียนเศรษฐกิจเงินตราในบ้านเราเองได้  ผลิต

    มาพอขายกินขายใช้ในประเทศ  เราก็ยังพออยู่ได้

    นี่คือการยืนบนลำแข้งของตนเอง  เป็นลำแข้งของชาติ

    แล้วชาติไทยเราที่ลำบากเดือดร้อน  ซึ่งคนในชาติเดือดร้อนในระดับที่ต่าง

    กัน  ความสำคัญคือ  เราที่เป็นปัจเจกบุคคล  เราจะต้องยืนบนลำแข้งของตน

    เองให้ได้

    ถ้าเราไม่มีเงิน  ญาติมิตรของเราก็ไม่มีเงิน  เราที่ไม่มีเงินกินข้าว  เขาก็ไม่มี

    เงินกินข้าวเหมือนกัน  เราไปขอเขา  แม้เขาอยากจะให้  แต่เขาก็ไม่มีให้เรา

    เราไม่มีเงินสักบาท  เขามี 10 บาท เขาให้เราไม่ได้  เพราะเขาต้องเอาเงิน

    10 บาทนั้นไปซื้อกินเอง

    ในทางกลับกัน  เรามีเงิน 10 บาท  ญาติมิตรของเรามาขอเงิน  เราจะให้เขา

    หรือ

    เราย่อมไม่ให้

    เพราะเราก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน  เราไม่ได้เทวดาที่กินทิพย์อยู่ทิพย์  เรา

    เป็นคน  เราจึงต้องมีเงินซื้อข้าวกิน

    เมื่อความลำบากเดือดร้อนเดินทางมาถึง  คนจะคำนึงถึงตัวเองก่อน  คนจะ

    เอาตัวให้รอดก่อน  เมื่อรอดแล้วค่อยช่วยเหลือผู้อื่นก็ได้

    ถ้าตัวเองยังเอาตัวไม่รอด  แล้วไปช่วยผู้อื่น  ก็จะพลอยตายกันไปหมด  ไม่

    ต่างจากเตี้ยอุ้มค่อม





    ลองดูตัวอย่างการเดินทางบนเครื่องบินเถิด  เมื่อจำเป็นต้องใช้ออกซิเจน  

    เครื่องช่วยหายใจหล่นลงมา  เขาสอนอย่างจริงจังว่า  พ่อแม่ที่มากับลูก

    น้อย  พ่อแม่ต้องเอาเครื่องช่วยหายใจครอบจมูกตัวเองก่อน แล้วค่อยไป

    ช่วยลูก  เพราะถ้าช่วยลูกก่อน  ลูกอาจจะรอดประเดี๋ยวประด๋าว  แต่พ่อแม่

    ขาดอากาศหายใจตายไปแล้ว  ลูกน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาก็เอาตัวไม่รอด

    เหมือนกัน





    เราจึงต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน  แล้วค่อยไปช่วยเหลือผู้อื่นก็ควร

    ทีนี้เมื่อทุกคนต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน  เราจึงหวังพึ่งใครเขาไม่ได้  เราจึง

    ต้องพึ่งตัวเอง

    การพึ่งตัวเองคือ  การมีเงินสดอยู่ในมือ

    การจะมีเงินสดอยู่ในมือได้  ก็ด้วยคาถา “มีสติ  สตางค์มา”

    เราจะต้องรู้จักการใช้จ่าย  รู้อดรู้ออม  อะไรที่ไม่ควรจ่ายก็อย่าจ่าย  อะไรที่

    ควรหาก็หา  เมื่อเรามีสติทำได้อย่างนี้แล้ว  เราจะรอด





    การช่วยเหลือผู้อื่นก็ต้องมีสติเหมือนกัน  จะต้องท่องคาถา “สติมี  สตางค์

    มา”
     เหมือนกัน

    เราจะช่วยเหลือใครดีละ

    แน่นอน  เราจะต้องช่วยเหลือคนที่พอจะช่วยเหลือเราตอบแทนได้

    เราจะให้เงินคนยืม  ก็ต่อเมื่อเราแน่ใจว่าเขาคืนเงินเราได้

    สมมุติคนหนึ่งมีหนี้สิน 2 แสนบาท  เป็นหนี้ค่าผ่อนรถ  ถ้าเขาไม่มีเงินสอง

    แสนบาท  รถเขาถูกยึด  เขามายืมเงินเรา  เราจะให้เขายืมไหม

    ถ้าเราให้ยืม  รถเขาไม่ถูกยึด  แต่รถเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย  หากินไม่ได้  สุดท้าย

    เงินเขาย่อมขาดมืออีก  แม้เราจะไม่ให้เขายืมอีก  แต่เราก็ไม่มีวันได้เงินให้

    ยืมคืน  เพราะเขาไม่มีปัญหามาใช้คืนเรา  ก็ขนาดเงินที่จะผ่อนรถเองยังไม่

    มี  แล้วเขาจะมีเงินที่ไหนมาคืนเรา

    แม้เขาจะขายรถ  แต่ถามหน่อยว่า “ขายแล้วจะใช้คืนเราไหม?”

    คำตอบคือย่อมไม่คืน  เพราะทุกคนย่อมเอาตัวเองให้รอดก่อน  เมื่อถึงคราว

    คับขัน  ทุกคนต้องเอาตัวรอดก่อน  ส่วนเรื่องคืนเงิน  หรือน้ำพระคุณ  เขาไม่

    นึกถึงเลย





    เขาขายรถได้  ราคาขายไม่ดี  ขาดทุนแหลกลาญ  เขาก็มีเงินใช้คืนเรา หรือ

    มีใช้ก็ไม่ใช้  เพราะเขามีความจำเป็นต้องเอาไปใช้อย่างอื่นก่อน

    แต่ถ้าเราไม่ช่วยเขา  เราจะกลายเป็นคนใจดำไหม  ตรงนี้ล่ะ  ที่เราต้องท่อง

    คาถา “สติมี  สตางค์มา”  พอมีสติแล้ว  เราก็ต้องถามว่า  หน้าเขาเหมือนพ่อ

    แม่เราไหม  ถ้าไม่เหมือน  เราจะต้องช่วยไหม  เขาเคยมีบุญคุณกับเราไหม  

    ถ้าไม่มี  แล้วทำไมเราต้องช่วยล่ะ





    หรือถ้าเขาเคยมีบุญคุณกับเรา  แต่ถ้าเราให้เขายืม  แล้วเราต้องพลอย

    ลำบาก  เราก็ไม่ควรให้เขายืม  เรื่องการตอบแทนบุญคุณกันเอาไว้ทำวันหลัง

    ก็ได้  ทำเรื่องอื่นก็ได้  ถ้าตอบแทนคุณตอนนี้แล้วเราเดือดร้อน  เราจะทำไป

    ทำไม  หรือบ่อที่ถมไม่รู้จักเต็ม  สมมุติว่าเขาต้องการเงิน 2 แสนบาท  ทั้ง

    เนื้อทั้งตัวเรามี 1 พันบาท  ถ้าเราเจียดให้เขาตามอัตราส่วนที่ช่วยได้ คือ

    100 บาท  ประเด็นคือ  ถ้าทุกคนให้เขายืมคนละ 100 บาท  เขาจะต้องหาคน

    ยืมให้ได้ถึง 2 พันคน

    ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้

    อย่างแรกที่เป็นไปไม่ได้  เพราะเวลาเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า  คนจะกอด

    เงินตัวเองไว้แน่น  จะไม่ช่วยเหลือกัน  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนถึง 2 พันคน

    ช่วยเหลือเขา

    เราเอาเงินช่วยเหลือเขา  เขาก็ต้องเจ๊งอยู่ดี

    อย่างที่สอง  เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมีเพื่อนถึง 2 พันคน  ฉะนั้น  เขาหาเงิน

    สองแสนไม่ได้แน่

    เมื่อเป็นอย่างนี้  เราจะไปถมบ่อที่ไม่รู้จักเต็มได้อย่างไร  ไม่งั้นจะเข้าตำรา

    เอาเนื้อหนูไปแปะเนื้อช้าง  การที่เขาต้องการเงินถึงสองแสน  แสดงว่าเขา

    รวยมาก  เราช่วยเขาได้แค่ 100 บาท  แสดงว่าเราจนกว่าเขามาก  ก็ปล่อย

    ให้คนรวยมันลำบากบ้างเสียก็ดี.....จะได้รู้รสชาติความลำบากเหมือนเรา





    ส่วนใครที่ให้ยืนแล้วเราไม่ได้คืนแน่  อย่างนี้ให้มันยืมไปทำไม  ชีวิตมันมีค่า

    มากกว่าเราหรือไง  พ่อแม่มันดีกว่าพ่อแม่เราหรืออย่างไร  ลูกมันน่ารักกว่า

    ลูกเราหรืออย่างไร

    เมื่อทั้งหมดนี้ไม่ใช่  เราก็ต้องไม่ให้คนชักดาบยืมเงิน





    ส่วนใครที่เป็นคนไม่รู้จักคุณคน  พวกนี้ไปช่วยมันก็เสียเวลาเปล่า  คน

    อกตัญญูคือคนเลว  คือคนที่ทำคุณไม่ขึ้น  การมีชีวิตอยู่บนโลก  ที่ช่วย

    เหลือกัน  เพราะคาดหวังว่าเราช่วยนายแล้ว  วันหลังเราเดือดร้อนนายต้อง

    ช่วยเราตอบแทน  แต่เมื่อเรารู้ว่ามันเป็นคนเนรคุณคน  ไม่ช่วยเหลือกัน

    แล้ว  เราจะต้องไปช่วยเหลือมันทำไม  เงินทองเป็นของมีค่า  เราเอาไว้ช่วย

    เหลือคนกตัญญู  ที่วันหนึ่งเขาอาจช่วยเหลือเราตอบแทนบ้างไม่ดีกว่าหรือ





    สรุปคือ  เราจะต้องช่วยเหลือคนที่ควรช่วย  คนแรกที่ควรช่วยคือตัวของเรา

    เอง  ช่วยโดยการกอดเงินเอาไว้ให้แน่น  เพื่อตัวเองจะได้มีจับจ่ายใช้สอย





    คนต่อมาที่ควรช่วย  คือคนที่ลำบากเดือดร้อนจริงๆ คือคนที่เป็นคนดี  ที่มี

    ความกตัญญู  คนที่เราช่วยแล้วมีหวังได้เงินคืน

    ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นการช่วยที่ตัวเราไม่เดือดร้อน





    วิทักโข

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 4 ก.พ. 52 07:59:14 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com