Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ตอนที่ 1 จากว่าที่ด็อกเตอร์มาเป็นเซลล์แมน อะไรจะเกิดขึ้น!!! (y-exec)

    สวัสดีครับเพื่อนๆทุกท่าน

    ก่อนอื่นต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ เพราะผมเพิ่มเป็นสมาชิกใหม่เอี่ยม เดิมรู้จักพันทิพ แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบคอม ไม่เล่นเกมส์ ไม่แชท ไม่เล่นเอ็ม ทำให้ไม่สนใจเข้ามาอ่านกระทู้ แค่เข้ามาหาสินค้าต่างๆบ้างตามประสา

    แต่วันนี้สนใจสมัครสมาชิกเนื่องจากภรรยาแนะนำและ forward มาให้อ่าน ก็พบว่ามีแง่คิดดีๆ หลายอย่าง และมีผู้มีประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ด้วย

    ปัจจุบันผมมีภรรยา และลูกชายอย่างละ 1 คน ตามที่จ่าหัวว่าเป็นว่าที่ด็อกเตอร์ เนื่องจากจบ ป.โท และได้ทุนเรียน ป.เอก แต่ไม่เรียน จึงเป็นได้แค่ว่าที่ หรือจริงๆแค่ อดีตว่าที่

    หลายท่านคงงงว่าเอทำไมได้ทุนแล้วไม่ไปเรียน ผมขอย้อนเล่าเรื่องนิดนึงนะครับ

    ครอบครัวผมคุณพ่อคุณแม่รับราชการด้านการศึกษาทั้งคู่ อีกทั้งเป็นลูกคนเดียว จึงทำให้ถูกทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เรียนพิเศษแน่นอน เรียนอังกฤษแบบจ้างมาสอนที่บ้าน เรียนเทนนิส ว่ายน้ำ เรียนเปียนโน ทุกสิ่งอันที่พอจะมีให้เรียน ซึ่งก็ดีมากสำหรับตัวผมในเวลาต่อมา

    มารู้เหตุผลว่าทำไมต้องเรียนอะไรมากมายก็ตอนโตแล้วจากคุณพ่อ เพราะท่านต้องการให้เรียนดี (ซึ่งแน่นอพ่อแม่ทุกคนคงอยากเห็นลูกเรียนดี) อยากให้เล่นกีฬาเป็นเพราะสุขภาพจะได้แขงแรง เล่นดนตรีเป็นเพราะเสริมด้านศิลปะให้ชีวิต ซึ่งจะทำให้เป็นคนที่ได้ทุกอย่าง เรียนก็ได้กิจกรรมก็ได้ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วันนี้มีลูกเป็นของตัวเอง แต่อายุเพิ่งจะ  1 ขวบก้อยากจะนำหลักนี้มาใช้เหมือนกัน เอาล่ะเข้าเรื่องต่อ

    จากที่เล่า ผมก็เป็นเด็กเรียนดีมาตลอด พอเรียนจบก็ตั้วใจว่าจะเรียนต่อและที่บ้านก็สนับสนุนก็เรียนต่อทันที พอจบโทคะแนนก็ดีพอที่จะขอทุนได้ ก็เลยขอทุน และได้ทุนจริงๆ แต่ในระหว่างรอผลทุนผมก็สมัครงานไปด้วย แต่งานที่ผมสมัครเน้นงานขายเท่านั้น

    ทุกท่านคงงง ทำไมไม่ไปเป็นสถาปนิกหรือเป็นอาจารย์ อ้อลืมไปว่าพอจบโทก็มีมหาวิทยาลัยชวนให้ไปเป็นอาจารย์ และทุนที่ได้ก็ต้องกลับมาเป็นอาจารย์ใช้ทุน

    ส่วนตัวผมเข้าใจงานสถาปนิกดี มันไม่ได้ดูโก้เก๋เหมือนในละครที่พระเอกชอบถูกกำหนดให้เป็นสถาปนิกหรอกครับ โอเคมันดูเท่เพราะมันเปนอาชีพที่มีน้อย ดูมีสไตล์ มีเอกลักษณ์ แต่หลังฉากเป็นอาชีพที่เหนื่อยมากกกกก ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งร่างแบบ กส่าเจ้าของงานจะตกลงต้องแก้แล้วแก้อีก ต้องรื้อแบบกันใหม่หมด ตกลงแล้วก็กว่าจะเขียนแบบ ปวดตาปวดหลัง มิหนำซ้ำถ้ารับงานเองโดนโกงค่าจ้างก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเจอ หากเป็นสถาปนิกประจำสำนักงานก็ทำไป ได้แค่เงินเดือน สมมติงาน 10 ล้าน เจ้าของบริทได้ค่าจ้างประมาณ 3 แสน แต่เราได้เดือนละ 20000 บาท ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าของบริษัท แต่หากจะไปทำเองก็ไม่ทราบจะหาลูกค้าจากไหน

    จึงตัดสินใจ เป็นเซลล์ดีกว่า แต่งานที่ต้องการสถาปนิกฝ่ายขายก็มีไม่มากนัก ต้องเป็นสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจเฉพาะทางบ้าง

    โชคดีสมัครไปที่แรกก็เรียกสัมภาษณ์และรับทันทีให้เริ่มงานวันรุ่งขึ้น ถัดมาไม่นานก็ประกาศผลทุนว่าได้เรียนต่อ ป.เอก......

    แล้วชีวิตจะทำงัยดี....

    ผมคิดอิงจากเหตุผลข้างต้นเช่นกัน คือ
    1.ตอนนั้นผมคบกับแฟน หริอภรรยาคนปัจจุบันมาประมาณ 6 ปี ถ้าผมเรียนต่ออีก 3 ปี เธอจะรอไหวมั้ย
    2.ถ้าผมเรียนต่อผมจะเรียนจบตอนอายุ 28 และเพิ่งเริ่มชีวิตการทำงานซึ่งต้องเป็นอาจารย์มหาวทยาลัยใช้ทุนอย่างน้อยอีก 6 ปี = ผมจะอายุ 34
    3.เงินเดือนอาจารย์แม้จะจบ ป.เอก ก็อยู่ในราว 20000 - 25000 เพราะตอนผมจบป.โทเงินเดือนอาจารย์อยู่ระหว่าง 15000 - 20000 บาท ซึ่งน้อยมากในความคิดผม และกว่าจะสร้างตัวซื้อบ้านซื้อรถได้คงอีกนาน
    4.ขณะเดียวกันเพื่อนที่จบโทหางานได้เงินเดือน 18000 - 26000 ซึ่งเท่ากับเงินเดือนอาจารย์ด็อกเตอร์อีก 3 ปีข้างหน้าที่ผมจะจบหากผมเรียน

    กดเครื่องคิดเลขในแง่การดำรงชีวิตประจำวันดูจะไม่คุ้ม แต่ในด้านสังคมก็ดูดีที่เราจะเป็นด็อกเตอร์ด้านสถาปัตย์ตั้งแต่ยังหนุ่ม คงเท่ไม่น้อย

    แต่ผมตัดสินใจเลือกทำงาน เนื่องจากเหตผลสำคัอ ผมนั่งทบทวนตัวเองซ้ำซ้ำ ว่าบั้นปลายชีวิตอยากเป็นอย่างไร ถ้าเรียนด็อกเตอร์ ชีวิตคงเรียบง่าย ราบเรียบไม่ตื่นเต้น สอนหนังสือ รับงานส่วนตัวบ้างตามประสา และรอเกษียณ ตอนอายุ 60

    แต่ถ้าทำงานก็อาจมีโอกาสมากมายที่จะเข้ามาในชีวิต และน่าจะหาเงินได้มากกว่า ผมไม่ได้เห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกแรกในการนำชีวิต แต่ทุกท่านก็ทราบว่าในกรุงเทพเงินสำคัญมาก แค่ก้าวเท้าออกจากบ้านขึ้นวินไปปากซอยก็ 20 บาท รถเมล์อีกต่อ รถไฟฟ้า ในหนึ่งัวนแค่ค่าเดินทางก็ร่วมร้อยบาท ค่าอาหารอีกเท่าไหร่ ไหนจะค่าที่พัก แล้วถ้าจะผ่อนรถ ซื้อบ้าน โอกาสยากสุดสุด ถ้าเป็นอาจารย์คงลำบาก แต่ก็ตงอยู่ได้แบบพอเพียง

    แต่ผมก็อยากมีชีวิตที่ดี ลูกได้เรียนโรงเรียนดีดี มีโอกาสเรียนต่างประเทศ หรือไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ชีวิตได้

    และเมื่อถามตัว้องและภรรยาแล้วท้ายสุดในชีวิตเราน่าจะแทบทุกคน อยากเป็นนายตัวเอง ซึ่งหนทางเดียวเท่านั้น คือทำธุรกิจ และหากอยากมีชีวิตที่ดีแบบพอเพียงไม่ต้องขนาดเศรษฐี มหาเศรษฐี อย่างน้อยน้อยขนาดของธุรกิจก็ต้องพอสมควรจึงจะพอเลี้ยง 3-4 ชีวิตและพนักงานได้พอเพียง

    มีคนกล่าวให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า ถ้าอยากเป็นเจ้าของธุรกิจต้องเริมจากเป็นเซลล์ เพราะคุณจะได้เห็นทุกรูปแบบ และทุกขั้นตอนของธุรกิจ ตั้งแต่เข้าไปเสนอขายยังงัย แก้ข้อซักถาม การถูกปฏิเสธ โน้มน้าวปิดการขาย บริการหลังการขาย แก้ปัญหา ตกลงเงื่อนไขต่างๆ นานา จะทำให้คุณเข้าใจและพร้อมมากที่สุดในการทำธุรกิจ

    และผมก็ตัดสินใจลองเรียนรู้มันดูจากการเป็นเซลล์ อาชีพที่นึกไม่ออกว่าเค้าเป็นกันยังงัย ต้องไปขายใคร ยังงัย จะขายได้มั้ย ช่างห่างไกลจากชีวิตผมเหลือเกิน

    จากวันนั้นถึงวันนี้ เกือบ 6 ปี ที่ผมโลดแล่นอยู่ในวงการการค้า ได้พูดคุญกับเศรษฐีระดับหมื่นๆล้านหลายท่าน ได้แลกเปลี่ยนมุมมอง ศึกษาวิธีคิดและการมองโลก ทำให้รู้ว่าหลายท่านมาจากเงินไม่กี่บาท เช่นเจ้าของบมจ.ปริญสิริ เริ่มจากเป็นเซลล์ขายผ้าม่าน ลงทุน 2 แสน ทุกว้นนี้ขนาดธุรกิจเกือบหมื่นล้าน หรือเจ้าของบมจ.พฤกษา เริ่มจาก 20ล้าน ขาดทุนหลายสิบล้าน แต่ทุกวันนี้กลับมาผงาดด้วยขนาดธุรกิจกว่าหมื่นล้าน

    ทำให้ผมได้หลักการที่ว่า ไม่มีอะไรทำไม่ได้ หากเราตั้งใจจะทำ แม้ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ ก็สามรถศึกษาและพัฒนาได้

    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ......

    แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 10:47:04

    จากคุณ : y-exec - [ 6 ก.พ. 52 23:28:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com