Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ลุงแอ็ด.....เอามาฝาก ตอนที่ 5 ลืมไปได้เลย เรื่องลงทุนทำอาชีพเสริม

    ลืมไปได้เลย  เรื่องลงทุนทำอาชีพเสริม




    ตอนที่เศรษฐกิจยังดี  ผู้ชายคนหนึ่งทำงานที่ธนาคาร  ลงทุนทำรับเหมาก่อ

    สร้างกับเพื่อน  โดยเพื่อนเป็นผู้บริหารงาน.....ไม่นาน  ผู้ชายคนนี้ต้องไปหา

    หยิบยืมเงินเพื่อนฝูงเพื่อเอาเงินไปประคองธุรกิจ............แล้วไม่นาน  ธุรกิจ

    ก็เจ๊ง   ขาดทุนย่อยยับ  เสียเพื่อนอีกมาก  เพราะไม่มีเงินคืนเขา




    ตอนที่เศรษฐกิจยังดี  อาจารย์มหาวิทยาลัย ลงทุนเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ต้อง

    การขยายแฟรนไชส์  แต่ยังไงก็หาคนซื้อแฟรนไชส์ไม่ได้  แล้วไม่นานร้าน

    ก็เจ๊ง.................อาจารย์ขาดทุน




    ตอนที่เศรษฐกิจยังดี  ผู้หญิงคนหนึ่งสวยเชียว  หล่อนทำงานเป็นพนักงาน

    เคาน์เตอร์ของบริษัทมือถือแห่งหนึ่ง  หล่อนลงทุนเปิดร้านเล็กๆ ขายลูกชิ้น

    ปิ้งที่ห้างแห่งหนึ่ง  โดยเพื่อนเป็นคนขาย...............ไม่นานการลงทุนนั้นก็

    สูญเปล่า




    ตอนที่เศรษฐกิจยังดี  คนเป็นอันมากก็พากันเป็นตัวแทนขายประกันเป็น

    อาชีพเสริม  แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องเลิก  เพราะหาลูกค้าไม่ได้  ที่หาได้บ้างก็

    เป็นการหักคอญาติมิตร  แล้วพอเลิกขายก็ถูกญาติมิตรด่าไล่หลัง  เพราะไม่

    มีเวลาไปเคลมประกันให้..........ขาดทุนความรู้สึกทางสังคม




    นี่เป็นตัวอย่างอันน้อยนิด  จากตัวอย่างอันมากมาย  ของคนที่เล็งผลเลิศ  ลง

    ทุนทำอาชีพเสริม  หวังเพิ่มรายได้  หวังรวย........แต่แทบทุกคนก็จบลงด้วย

    การขาดทุน




    เรื่องนี้ไม่แปลก  และมันเป็นสูตรสำเร็จของการทำอาชีพเสริม  ที่ใครทำมัก

    เจ๊ง   ท่านสอนกันมาเสมอว่า “อย่าเดินนอกทางของตนเอง”




    ทุกคนล้วนมีทางเดินเป็นของตัวเอง  เราเกิดมาเพื่อบางสิ่งบางอย่าง  ถ้าเรา

    เดินตามทางของเรา  ทำสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนั้น......เราจะเจริญ    แต่

    ถ้าเราเดินออกนอกทางของตนเอง  เดินไปทางที่ไม่ใช่ทางของตน  เราจะ

    พบกับความสูญเสีย  อย่างเบาะๆ ก็เสียโอกาส




    คนที่เกิดมาเพื่อเป็นพ่อค้า  มีหัวการค้า  แต่ถูกพ่อแม่บังคับให้ไปเรียนหมอ  

    เขาย่อมเป็นหมอที่ดีไม่ได้  หากินไม่คล่อง  ไม่มีความสุข  แต่ถ้าเขาเดิน

    ตามทางของตัวเอง  ไปเป็นพ่อค้า  เขาจะเป็นพ่อค้าที่เก่ง  ที่สามารถ  ร่ำรวย

    และมีความสุข.......คนเราอย่าเห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง




    ที่เขาทำสิ่งนั้นได้ดี  ก็เพราะเขาถนัดทางนั้น  เขามีความสามารถในทางนั้น  

    เขาโตมาอย่างนั้น  เขาเรียนรู้มาอย่างนั้น...และเขามีเวลาให้มัน.....เขามีการ

    ฝึกฝน  มีความชำนิชำนาญ  เขามีชีวิตอยู่เพื่อมัน   สิ่งนั้นคือชีวิตของเขา  

    เขาจึงทำมันได้





    คนที่มีอาชีพในการรับเหมาก่อสร้าง  เขาไม่ใช่สักแต่ว่ามีเงินแล้วลงทุนทำ

    มัน  แต่เขาเรียนรู้ทั้งชีวิตเพื่อทำมัน  เขาอาจจะเริ่มจากการเป็นลูกจ้าง  เป็น

    พนักงานบริษัทรับเหมาก่อสร้าง  เมื่อเขามีเงินทุนพอ  เขาก็ออกมาทำเอง  

    เขารู้จิตวิญญาณของอาชีพนี้ว่าต้องทำสิ่งใด  และอย่าทำสิ่งใด  เขามีเครือ

    ข่าย  รู้ว่าต้องไปหาใคร  ต้องไปซื้อของที่ไหน  ต้องไปหาลูกค้าอย่างไร  

    ติดต่อกับผู้คนในแวดวงนี้อย่างไร   เขาจึงทำมันได้  และทำมันดี




    แต่ถ้าวันหนึ่งเขาอยากทำอาชีพเสริม  หรือเปลี่ยนอาชีพไปเป็นพนักงาน

    ธนาคาร  เขาก็ต้องตั้งต้นจากศูนย์  ต้องไปเรียนรู้ใหม่  ซึ่งเวลาในชีวิตไม่พอ

    แล้ว  และเขาไม่สามารถไปแข่งขันกับเด็กที่เรียนมาทางนี้ได้..........เขาจะ

    เสียเวลาเปล่า




    อาจารย์สอนหนังสือ  จิตวิญญาณที่สั่งสมมา คือการสอนหนังสือ  เขาก็คิด

    อย่างคนสอนหนังสือ  ให้เขาไปเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเขาไปไม่รอด  เพราะการ

    ทำก๋วยเตี๋ยวขาย  ไม่ใช่สักแต่ว่ามีสูตรดี......แต่คุณต้องใส่ทั้งชีวิตลง

    ไป.......ถ้าคุณทำไม่ได้  เพราะคุณต้องไปสอนหนังสือ  ชีวิตของคุณอยู่ที่

    มหาวิทยาลัย  ไม่ได้อยู่ในหม้อก๋วยเตี๋ยว  ต่อให้เป็นสูตรก๋วยเตี๋ยวเทวดาก็

    ต้องเจ๊ง


    ทุกอาชีพมีวิธีคิดของมันเอง  มีจิตวิญญาณของมันเอง


    คนที่เป็นพ่อค้า  ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคิดอย่างพ่อค้า  คือซื้อถูก  ขาย

    แพง  ของไม่ดี  ลูกค้าถามก็ต้องบอกว่าดี  ซื้อมาถูก  ก็ต้องโกหกลูกค้าว่า

    รับของมาแพง......ถ้าพ่อค้าเป็นคนซื่อตรง  บอกแต่ความจริง  พ่อค้าคนนั้น

    ก็เอาตัวไม่รอด




    คนเป็นตำรวจ  ก็ต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์  จะต้องมีจิต

    สาธารณะ  จะต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อความสุขของชาวบ้าน  ถ้า

    ตำรวจริไปเป็นพ่อค้า  ตำรวจก็เป็นพ่อค้าที่ไม่ได้ความ  เพราะมันขัดกับจิต

    วิญญาณความเป็นตำรวจที่ตัวเองสวมอยู่  หรือถ้าตำรวจอยากเป็นพ่อค้าที่ดี  

    ก็ต้องกลายเป็นคนกะล่อนปลิ้นปล้อนเหมือนพ่อค้า  ทำให้จิตวิญญาณความ

    เป็นตำรวจที่ควรจะซื่อตรงต้องสูญเสียไป   แล้วท้ายที่สุด  ตำรวจคนนั้นก็

    หลายเป็นพ่อค้า  ไม่ใช่ตำรวจอีกต่อไป......แล้วเอาวิธีคิดของพ่อค้ามาใช้ใน

    เครื่องแบบของตำรวจ  ทำให้ตนเองต้องกลายเป็นตำรวจชั่วไป




    คนเป็นนักการเมือง  ก็ต้องมีวิธีคิดแบบนักการเมือง  คือเอาดีใส่ตัว  เอาชั่ว

    ใส่คนอื่น  จะต้องทำดีเอาหน้า  จะต้องไม่จริงใจ  จึงจะเจริญในอาชีพนักการ

    เมือง.......ถ้านักการเมืองจะทำตัวเป็นคนดี  จะเป็นคนซื่อสัตย์  ก็จะเป็น

    นักการเมืองที่ไม่เก่ง  เอาตัวไม่รอด .........แล้วถ้านักการเมืองไปเป็น

    ประธานในมูลนิธิการกุศล  ไม่นานมูลนิธินั้นก็ต้องเจ๊ง  เพราะนักการเมือง

    โกงเงินมูลนิธิ หรือสูบเงินไปหมด



    เขาจึงสอนอย่าให้โจรถือเงินของเรา  ไม่งั้นมันจะปล้นเรา



    ฉันใดก็ฉันนั้น  อย่าได้วางใจนักการเมือง  จะต้องมีระบบตรวจสอบที่ดี  มัน

    จะได้โกงกินชาติไม่ได้  หรือโกงกินแต่ไม่ถนัดนัก




    คนทุกคนมีทางเป็นของตัวเอง  เมื่อเราทำอาชีพอะไร  เราก็จะต้องลงกาย  

    ลงแรง  ลงใจ  ลงเวลาไปกับมัน  คนเราเก่งอย่างเดียวก็พอ  ไม่ต้องเก่งมัน

    ไปเสียทุกอย่าง  ท่านจึงสอนกันมาว่า  “อันความรู้  รู้กระจ่างเพียงอย่าง

    เดียว  ขอให้เชี่ยวชาญเถิด  จะเกิดผล”





    เราเป็นพนักงานของธนาคาร  ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานอย่างอื่น  ทำงาน

    ธนาคารให้มันดี  ไม่นานเราก็จะได้เป็นผู้จัดการธนาคาร  เป็นผู้บริหาร

    ธนาคาร  มีเกียรติ  มีเงินมาก    แต่ถ้าเราเสียเวลาไปในการทำอาชีพเสริม  

    อาชีพเสริมก็เจ๊ง  ทำงานหลักได้ไม่เต็มที่  งานหลักก็ไม่เจริญ




    เราเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย  เราก็เอาใจใส่การสอน  ทำงานวิชาการ  ไม่

    นานเราก็ได้เป็นศาสตราจารย์  เอาความเป็นศาสตราจารย์มาชี้นำบ้านเมือง  

    พูดอะไรคนก็เชื่อ  ได้รับเชิญไปเป็นประธานโครงการต่างๆ ได้ทั้งเงินได้ทั้ง

    เกียรติ  ดีกว่าไปพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวอย่างเทียบกันไม่ได้




    เราทำงานรับเหมาก่อสร้าง  เราก็ไม่ต้องลงทุนทำอย่างอื่น  ใช้เวลาให้หมด

    ไปกับการสมาคมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  อาจจะเป็นการต้อนรับขับสู้นักการ

    เมือง  ข้าราชการ  รับเหมางานราชการ  ไม่นานการเงินของเราก็จะเป็นปึก

    แผ่น  เพราะรับเหมาราชการไม่มีวันเจ๊ง  มีแต่ได้กับได้  (ให้มันซื่อสัตย์นา  

    โกงเงินหลวงบาปหนัก)




    ก็ขนาดเศรษฐกิจยังดีๆ อยู่  คนทำอาชีพเสริมยังเอาตัวไม่รอดกันเลย  แล้ว

    ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี  ยิ่งเจ๊งเร็ว  ไอ้เจ๊งนะเจ๊งแน่  แต่เศรษฐกิจไม่ดีก็เจ๊งตั้งแต่

    ยังไม่เริ่มงานแล้ว




    แล้วการทำงานอะไรก็แล้วแต่  เราจะต้องบริหารเอง  ไอ้ประเภทลงทุนแล้ว

    ให้คนอื่นมาบริหาร  ถูกเพื่อนโกงมานักต่อนักแล้ว  ลงว่าคนมันจะโกงกัน  

    มันไม่ดูหน้าค่าชื่อกันแล้ว  ขนาดพ่อแม่ถ้าเผลอยังโกงได้  ประสาอะไรกับ

    เพื่อน  ถ้ามีโอกาสมันก็จะรีบโกง




    ในเวลานี้  ถ้าเราอยากลงทุนทำอะไรเป็นอาชีพเสริม  หรือมีใครชวนเราลง

    ทุนทำอะไร  แม้อาชีพเสริมนั้นจะดูดีนัก  แต่ขอให้เราท่องคาถาเอาไว้ก่อน

    ว่า “สติมี  สตางค์มา”   เราท่องคาถาแล้วเราจะได้ข้อคิดว่า  ถ้าไอ้สิ่งที่เราทำ

    เป็นอาชีพเสริมมันดีจริง  มันคงไม่หลุดมาถึงมือเราหรอก  ไอ้คนทำที่มันทำ

    จริงจังเป็นอาชีพจริงๆ ของมันอยู่  มันไม่คว้าไปกินหมดแล้วรึ  ก็ขนาดเราทำ

    งานหลักอย่างนี้  เรายังรู้เลยว่าหากินลำบากฝืดเคือง  แล้วถ้าใครจะกระแดะ

    ทำงานหลักของเราเป็นอาชีพเสริม  มันก็จะต้องตายหยังเขียด   แล้วเรา

    เล่า  เราจะกลายเป็นคนกระแดะสำหรับคนทำอาชีพจริง  ที่มันจะต้องมองเรา

    ตายหยังเขียดแน่




    แล้วให้เรามองดูมือของเรา  ว่าเรามีกี่มือ  เมื่อเราเขม้นมองโดยแน่ใจแล้ว  

    เราก็จะเห็นว่าเรามีมือเพียงสองมือ  สองมือนั้นที่จะบริหารงานอาชีพหลัก

    ของเรา  ยังแทบทำไม่ทันเลย  แล้วเราจะมีมือที่ไหน  ไปทำงานอาชีพเสริม

    ให้ทันดีได้เล่า   เออ  ไว้รอให้เรามีมือเป็นสิบมือเหมือนทศกัณฐ์ก่อนสิ  เรา

    อาจมีมือเหลือพอไปทำอาชีพเสริมได้




    แล้วสมองของเราก็มีแค่ก้อนเดียว  ไอ้ก้อนที่มีอยู่น้อยนิด  แค่เอาไปคิดกับ

    งานประจำหัวก็แทบจะระเบิดอยู่แล้ว  ถ้าเอาไปคิดเรื่องอาชีพเสริมอีก  ไม่บ้า

    วันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปบ้าวันไหนแล้ว




    เวลาอีกเล่า  แค่งานราษฎร์งานหลวง  ทำงานไป  ดูแลเจ้านายไป  เรายังมี

    เวลาไม่พอไปหาลูกเมีย และอีหนูที่เก็บเอาไว้เลย  ถ้ากระแดะทำอาชีพ

    เสริม  สงสัยเราต้องไปขอให้ไอน์สไตน์ช่วยทำให้วันหนึ่งมีเวลาสัก 40

    ชั่วโมง  ถึงจะพอให้เราทำสิ่งต่างๆ ที่มันโหลดชีวิตจนติดพื้นอยู่อย่างนี้




    โดยสรุปทั้งหมดก็คือ  ขอให้เรามีสติ  เมื่อเรามีสติ  เราก็มีตังค์เหลือ ไม่

    ผลาญไปหมดกับอาชีพเสริม  ที่แทบจะร้อยทั้งร้อย  “ทำแล้วเจ๊งสนิท”




    วิทักโข



    จากหนังสือชื่อ “สติมี สตางค์มา” เขียนโดยคุณ “วิทักโข”

    ผู้จัดพิมพ์ :  สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊ค

    จัดจำหน่าย : บริษัท สยามอินเตอร์มัลติ มีเดีย จำกัด (มหาชน)

    แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 10:41:02

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 16 ก.พ. 52 10:33:08 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com