ความคิดเห็นที่ 2
ผมจะลองยกตัวอย่างประสบการณ์ของผมให้ฟังสักอย่างก็แล้วกันนะครับ
"ครีมแก้ส้นเท้าแตก" เมื่อผมเห็นสินค้าชิ้นนี้ในตลาดนัด ผมนึกถึงโฆษณาของพี่หนูแหม่มที่เคยเห็นทางโทรทัศน์ขึ้นมาทันที ในโฆษณานั้น ส้นเท้าพี่หนูแหม่มแตกจนเดินบนพรมแล้วใยพรมยังติดส้นเท้าขึ้นมาได้เลย ดูแล้วน่ากลัวมากครับ แต่หลังจากที่ใช้แล้ว ส้นเท้าก็กลับมาเนียนนุ่มชุ่มชื่นน่าสัมผัสซะงั้น ผมจำไม่ได้ว่า สินค้าในโฆษณานั้นยี่ห้ออะไร ซื้อมาใช้แล้วจะทำให้ส้นเท้าหายแตกได้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือ ผมคงไม่ยอมให้แฟนผมส้นเท้าแตกอย่างน่ากลัวแบบนั้นแน่ๆ และด้วยความเป็นห่วง กลัวภรรยาจะส้นเท้าไม่สวย (เขียนถึงตรงนี้ ผมยังต้องหันไปเช็คส้นเท้าเมียตัวเองอีกทีเลยครับ) ผมจึงหยิบเจ้าครีมฯกล่องนี้ขึ้นมาดู และเริ่มอ่านรายละเอียดของสินค้า และผมก็พบว่า นี่ช่างเป็นสินค้าที่น่าสนใจเอามากๆ
เมื่อผมคิดว่าไอ้เจ้าครีมแก้ส้นเท้าแตกน่าจะขายได้ในอีเบย์, ผมก็จะเริ่มถามตัวเองดังนี้ครับ
1.) [จะเอาไปขายใคร?] คำถามนี้ ถามเพื่อให้ผมคิดถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นเอง ผมต้องคิดก่อนว่า สินค้าที่ผมสนใจนั้น เหมาะกับลูกค้าแบบไหน และ ลูกค้าเขาจะอยากได้หรืออยากใช้สินค้าของผมหรือไม่
ลูกค้าสุภาพสตรีน่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ผมคิดว่าผมควรเน้นไปในส่วนที่เป็นลูกค้าที่อยู่ในวัยทำงาน สาวออฟฟิต ที่อาจจะมีปัญหาทำนองว่า เมื่อใส่รองเท้าก็ยังดูไม่ออกว่าส้นเท้าแตก แต่เมื่อถอดรองเท้าแล้ว.......อู้หู...ยับเยินเลย สาวๆเหล่านี้ก็น่าจะไปหาซื้อครีมแก้ส้นเท้าแตกเหมือนกันแหล่ะ, แต่ฝรั่งก็ไม่น่าจะฉลาดขนาดผลิตขายกันเยอะแยะเหมือนบ้านเรา ถ้ามีก็คงจะเป็นพวกมียี่ห้อซึ่งมีราคาแพงซะมากกว่า เทียบกับสินค้าในมือผมนั้น น่าจะมีราคาถูกกว่ามาก แต่สรรพคุณน่าจะไม่แตกต่างกันนัก ผมเชื่อ(เอาเอง)ว่า หากลูกค้าเข้ามาหาซื้อครีมแก้ส้นเท้าแตกในอีเบย์ แล้วได้มาเห็นครีมยี่ห้อพี่หนูแหม่มซึ่งราคาย่อมเยากว่า ลูกค้าก็น่าจะลองซื้อไปใช้ดู, จริงมั้ยครับ
2.) [ราคา] สำหรับหัวข้อนี้ ผมก็มักจะคิดว่า เราสามารถบวกราคาเพิ่มได้อีกรึเปล่า? ซึ่งสำหรับครีมชนิดนี้ ผมคิดว่า แม้ผมขายแพงขึ้นสัก 2-3 เท่า ก็น่าจะขายได้ เพราะผมต้องบวกกำไรให้มากพอกับค่าโฆษณาและค่าขนส่งที่ต้องจ่าย และต้องมีกำไรมากพอที่จะครอบคลุมไปถึงค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าที่ขายไม่ได้อีกด้วย อย่าลืมนะครับว่า แม้สินค้าของคุณจะขายไม่ได้ แต่คุณก็ยังต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับอีเบย์อยู่ดี ดังนั้นคิดเรื่องราคาให้ดีๆตั้งแต่เริ่มต้นดีกว่าครับ
สำหรับสินค้าบางตัว ผมก็คิดราคาขายเป็น 3-4 เท่าเลยก็มี ทำไมผมถึงกล้าบวกกำไรมากขนาดนั้น? ก็เพราะผมมีข้อมูลอยู่ในมือนะซิครับ ผมรู้ว่ามีคนขายสินค้าชนิดนี้ในอีเบย์ที่ราคาเท่าไร และที่ราคานั้น เขาขายได้บ่อยมั้ย? ถ้าเขาขายกันได้ ทำไมผมจะขายไม่ได้ล่ะ
จริงๆแล้ว การคูณกำไร 5 เท่านี้ก็ยังเรียกว่าน้อยนะครับ ป๊อกกี้(กูลิโกะ)ที่เราซื้อๆกินกันอยู่เนี่ย รู้มั้ยครับว่าในอีเบย์ เขาขายกันกี่บาท? 6 กล่อง แค่ 9.99 U.S $ เองครับ (แค่ 300กว่าบาท, ตกกล่องล่ะ 50 กว่าบาท,บวกเพิ่มเกือบ 4 เท่าเองครับ)
3.) [น้ำหนัก] สินค้ามีน้ำหนักเหมาะสมที่จะส่งไปขายต่างประเทศหรือไม่? สินค้าราคาถูกแต่หนักนี่ก็ขายยากนะครับ สู้หาสินค้าราคาแพงแต่น้ำหนักเบาจะดีกว่า ซึ่งสำหรับครีมฯนั้นก็เหมาะมาก เพราะน้ำหนักเบา ไม่เปลืองค่าส่ง, ทำให้ได้กำไรสูง
4.) [เป็นของไทยๆรึเปล่า] แม้ครีมแก้ส้นเท้าแตกที่ผมเลือกนั้น จะไม่ใช่สินค้าที่มีเอกลักษณ์แบบไทยๆก็ตาม แต่ก็คงไม่เป็นปัญหามากเท่าไร เพราะนี้เป็นแค่คะแนนบวกพิเศษเท่านั้น ถ้าผมอยากได้แต้มในหัวข้อนี้ ผมอาจจะต้องมองหาครีมฯที่ผลิตจากสมุนไพรไทยๆที่ไม่ใช้ส่วนผสมทางเคมี
เพราะผมรู้ว่า ในอีเบย์ มีพวกคลั่งของเอเชียอยู่เยอะมาก และสินค้าจากเมืองไทยก็ค่อนข้างจะขายง่ายด้วย ใครๆก็รู้ครับว่า ฝรั่งชอบซื้อสินค้าที่ทำด้วยมือ (Handmade) และก็เป็นเรื่องตลก ที่ยังมีฝรั่งจำนวนมากที่ยังคิดว่า เมืองไทยเป็นประเทศที่ยังไม่ค่อยเจริญ สินค้าทุกตัวจึง(น่า)จะเป็นสินค้าทำด้วยมือล้วนๆ ดังนั้นเราจึงควรใช้เรื่องตลกนี้ให้เป็นประโยชน์ครับ
5.) [สามารถหาที่ซื้อในราคาส่ง หรือ ราคาโรงงานได้รึเปล่า] ถ้าต้นทุนการซื้อถูกลง นอกจากจะทำให้ผมได้กำไรมากขึ้นแล้ว ผมยังสามารถสร้างเกราะป้องกันคู่แข่งหน้าใหม่ได้อีกด้วย หากคู่แข่งไม่สามารถเข้าถึงแหล่งค้าส่งหรือโรงงานเหมือนผม, ผมก็คงจะขายได้ดีกว่าคู่แข่งแน่นอน เพราะผมสามารถให้ส่วนลดกับลูกค้าได้มากกว่าคู่แข่งนั่นเอง เหมือนเรื่องโปสเตอร์ในหลวงของผมไงครับ ผมซื้อราคาโรงงานที่ 20 บาท แต่แหล่งค้าส่งขายอยู่ที่ 40 บาท
สำหรับครีมฯตัวนี้ น่าจะได้คะแนนในเรื่องนี้ต่ำหน่อย แต่ที่ดียังดีก็คือ หากขายดี ผมยังสามารถติดต่อโรงงานเพื่อขอราคาส่งได้ เพราะชื่อโรงงานพิมพ์ติดยู่ข้างกล่องนี้เองครับ
6.) [ผลิตหรือนำเข้า] หากผลิตในประเทศไทย, ราคาทุนก็น่าจะต่ำกว่าการไปซื้อของนำเข้าจากต่างประเทศมาขายต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งครีมฯตัวนี้ก็ได้คะแนนในข้อนี้ เนื่องจากไม่ได้เป็นสินค้านำเข้า และผลิตในประเทศของเรานี่เอง
ผมมีตัวอย่างขำๆอยู่เรื่องหนึ่ง ผมเคยสนใจชุดตรวจสอบสำหรับหาวันตกไข่ของผู้หญิง ซึ่งเป็นตลาดเฉพาะที่น่าสนใจมาก ที่เมืองไทยขายสามชิ้น 200 บาท ตกชิ้นละ70บาท, ในอีเบย์ขาย 100 ชิ้นแค่ 30 เหรียญเอง,ตกชิ้นไม่ถึง 10 บาท ผมยังล้อกับภรรยาเลยว่า ถ้าสาวเมืองไทยอยากตรวจหาวันมงคลในการมีลูก ต้องตรวจแบบกระมิดกระเมี้ยนเพราะมีแค่ 3 ชิ้นต่อกล่อง แต่สำหรับสาวเมืองนอก, พวกคุณเธอคงสามารถตรวจจนรู้ฤกษ์งามยามดี ในระดับสเกลเป็นนาทีเลยมั้งครับ? (100 ชิ้นนี้ตรวจทุกชั่วโมงยังได้เลยนะครับ)
แล้วทำไมในอีเบย์ถึงสามารถขายได้ถูกขนาดนี้? ก็เพราะ สินค้าชนิดนี้ มีโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในแคนาดาไงครับ พี่ไทยแกนำเข้ามาขายต่ออีกที, ยังงี้จะไปสู้ราคาที่อเมริกาได้ยังไงจริงมั้ยครับ?
7.) [มีคำบรรยายภาษาอังกฤษหรือไม่] สำหรับผู้ไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้ว หากสินค้ามีคำบรรยายสรรพคุณเป็นภาษาอังกฤษก็เหมือนกับเป็นสินค้าที่ส่งมาจากสวรรค์เลยทีเดียว ซึ่งต้องขอบคุณทีมผู้ผลิตครีมฯมาก ที่เอื้อเฟื้อคำบรรยายสรรพคุณทั้งภาษาอังกฤษ และ ภาษาไทยในกล่องเดียวกัน ช่วยให้ผมสามารถทำโฆษณาด้วยศัพท์ภาษาอังกฤษได้ด้วยคำศัพท์ที่ดูน่าเชื่อถือ โดยที่ไม่ต้องลำบากหาคนช่วยแปลแต่อย่างใด
8.) [มีเวปไซท์มั้ย] จะได้ไม่ต้องถ่ายรูปเองไงครับ ถ้าไม่อยากยุ่งยากมาก ก็ไปเอารูปสวยๆในเวปของเจ้าของสินค้ามาเลยดีกว่า รับรองว่าสวยชัวร์ๆ
ในช่วงแรกๆที่ผมเริ่มหัดวิเคราะห์สินค้านั้น ผมก็จะพกกระดาษแผ่นเล็กๆที่ผมจดคำถามต่างๆดังที่ผมยกตัวอย่างไว้ในกระเป๋าเสื้อ เพราะผมรู้ตัวดีว่า ผมเป็นคนขี้ลืม และ ความคิดยังไม่ค่อยเป็นระเบียบ แต่เมื่อผมวิเคราะห์สินค้าบ่อยขึ้น ผมก็เริ่มจำได้ถึงสิ่งสำคัญต่างๆที่ผมจำเป็นต้องตอบให้ได้ จนตอนนี้ ผมไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษแผ่นนั้นอีกแล้วครับ
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆที่ผมมักจะใช้ในการพิจารณาและเลือกซื้อสินค้าที่จะเอาเข้าไปขายในอีเบย์ ซึ่งเพื่อนๆอาจจะเพิ่มคำถามอื่นๆที่คิดว่าสำคัญและน่าจะนำมาใช้พิจารณาได้อีกเยอะแยะเลยครับ
จากคุณ :
แมวกนล
- [
16 ก.พ. 52 23:34:09
]
|
|
|