ความคิดเห็นที่ 1 คนกลัวว่าในอนาคตระยะสั้นเศรษฐกิจจะไม่ดี เลยไม่กล้าใช้จ่าย . . . หรือคุณกล้า จากคุณ : V_Accy - [ 21 ก.พ. 52 22:27:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอาส่วนตัวเราเลยนะ เพราะราคาของมันแพงขึ้น ในขณะที่รายรับเราเท่าเดิมน่ะ การจะซื้ออะไรก็ต้องคิดมากขึ้น อะไรที่มันไม่จำเป็นก็ลดลงบ้างอะไรแบบนี้น่ะค่ะ จากคุณ : love2loveU - [ 21 ก.พ. 52 22:37:23 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ไหนมีฝัน ที่นั่นมีการลงทุน จากคุณ : ~ - [ 21 ก.พ. 52 22:40:59 A:125.25.86.144 X: TicketID:188497 ]

ความคิดเห็นที่ 4 งั้นขอถามเพิ่มเติม อีกนิดนึงนะครับ ว่าต้นเหตุ ของภาวะเศรษฐกิจ ที่เป็นกันอยู่ตอนนี้ แรกเริ่มเดิมที มันเกิดขึ้นมาได้ไงอ่ะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : Oj - [ 21 ก.พ. 52 22:44:38 A:124.120.82.250 X: TicketID:204146 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จาก คห 4  ผมขอตอบแบบ งูๆปลาๆนะครับ รอผู้รู้จริงๆมาตอบอีกที ก็น่าจะเกิดจากฟองสบุ่ อเมริกาแตกมั้งครับ  สินเชื่อบ้านอเมริกา ใหญ่โตมาก ปั่นราคากันแบบ พุ่งไป 300%   ธนาคารก็รวยกันเป็นแถวๆ  เพราะมันมีวิศวะกรรม ทางการเงินขึ้นมา   ธนาคารไทยบางเจ้าก็ยังไปลงทุนเลย กระดาษใบเดียว ทำเงินได้มหาศาล ทีนี้พอฟองสบู่แตก คือ คนไม่ใช้หนี้ยอมให้ธนาคาร ซึ่งธนาคารก็ขาดทุน เช่น บ้านราคาจาก 3 ล้าน ก็ปล่อยกู้ 3 ล้าน แต่ตอนนี้ขายเหลือ 5 แสน ลูกหนี้ใครจะไปบ้าผ่อนต่อ ก็ปล่อยให้ยึดไปสิ  แล้วทีนี้มันก็เลยกลายมาเป็นลูกโซ่ เพราะแค่บ้านหลังเดียว สามารถนำมาเป็นเครื่องมือทางการเงินได้อีกเยอะมาก (รอผู้รู้จริงๆมาอธิบายอีกที) สุดท้ายก็เจ๊งกันหมด ธนาคารก็เจ๊ง จึงทำให้เศรษฐกิจพาล้มไปหมด ยิ่งอเมริกาเป็นประเทศที่ มีอำนาจในการซื้อของจากทั่วโลก  เมื่อไม่มีเงินซื้อ คนส่งออกอย่างเราๆ ก็ต้องโดนผลกระทบไปด้วย เป็นลูกโซ่ต่อๆกันไป บริษัทที่มาลงทุนในไทยก็ปิดกันเป็นแถว นักท่องเที่ยวก็น้อยลง โรงแรมก็แย่ ธนาคารก็ไม่ยอมปล่อยกู้ง่ายๆ เหมือนก่อน คนก็ตกงาน เงินก็ไม่มี จะซื้ออะไรทีก็คิดโคตรนาน  ของก็ขายไม่ดี ก็เป็นลูกโซ่กันไปอีก   บริษัทปิด>>คนตกงาน/ลดเงินเดือน >> ปกติกินข้าว 2 จานเหลือ 1>> พ่อค้าขายข้าวปกติมีเงินแต่ขายได้น้อย >> พ่อค้าเลิกเที่ยวตอนแรกจะซื้อรถซื้อบ้านซื้อทีวีใหม่ไม่ซื้อละไม่มีเงิน >>>  บริษัทขายรถ/โรงแรม/อุปกรณ์ก่อสร้าง ลูกค้าหาย >>> บริษัทรถ โรงแรม โรงงาน ลดเงินเดือนพนักงาน เลิกจ้าง >>ปิดบริษัท เจ๊ง >>ธนาคารมีหนี้เน่า >>> ไม่ปล่อยกู้รายอื่น >> ผู้รับเหมาไม่มีงาน >> แรงงานตกงาน >>ปกติกินข้าว 2 มื้อ....... จากคุณ : พีพีจอมซ่า - [ 21 ก.พ. 52 23:13:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 งั้นแสดงว่า โดมิโน่ตัวแรก น่าจะมาจากการบริษัทอสังหาฯ ปั่นราคาที่ดินและบ้าน จนเกินจริง ทั้งทั้งที่ราคาบ้าน มันก็ไม่น่ามากขนาดนั้น สุดท้าย พอกลับสู่ความจริงกัน ก็จบเห่กันเป็น ชั้นๆต่อกันมาเหมือนโดมิโน่ ประมาณนี้หรือเปล่าครับ ปัจจัยอะไรหนอ ทำให้บริษัทอสังหาฯ อาจหาญปั่นราคาที่ดินอย่างนั้นได้ จากคุณ : Oj - [ 21 ก.พ. 52 23:30:49 A:124.120.82.250 X: TicketID:204146 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ความโลภงัยครับ เหมือนสมัยน้ำมัน ขึ้นเอาๆๆ มีแนวโน้มขึ้นอย่างเดียว จาก 40 ปาไป 147  สมัยนั้นใครจะไปคิดว่ามันจะลง  คนก็แห่ซื้อกัน ซื้อแล้วขาย ซื้อแล้วขายเอากำไร   ก็เหมือนที่ดินเหมือนบ้านเหมือนกันครับ ซื้อต่อยอดกันไปเรื่อยๆ ใครจะไปคิดว่ามันจะลง จนสบู่แตกกระจาย   อีกอย่างผมคิดว่าน่าจะมีส่วนจาก  บริษัท วัด Rating น่ะครับ ว่าแบบ Rating ในแต่ละกองทุนเป็นอย่างไร AAA BBB CCC DDD ประมาณเนี่ยอ่ะครับ ซึ่งบริษัทเนี่ย เหมือนตราประทับว่า กองทุนอันนี้ดีนะ เป็นระดับ AAA คนก็แห่ซื้อสิครับ  ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เป็นลูกหนี้ชั้นแย่  แต่นำมารวมกับลูกหนี้ช้นดี อีกทั้งยังมีการประกันความเสี่ยงอีก ประกันกันไปๆมาๆ ที่เขาเรียกว่า วิศวะกรรมทางการเงินแหละครับ  กว่าจะรู้ตัว คนแก่ที่แบบเก็บเงินมาทั้งชีวิตแล้วนำมาลงทุนเพราะเห็นว่าได้ผลตอบแทนเยอะกว่า ฝากดอกธนาคาร ก็สูญเงินหมดแล้วละครับ จากคุณ : พีพีจอมซ่า - [ 21 ก.พ. 52 23:48:23 ]

ความคิดเห็นที่ 8 1 ความมั่นใจ กับศรษฐกิจโลก ไม่มี 2 เศษฐกิจของอเมริกา และยุโรป ถอดถอย ส่งผลถึง ผู้ผลิตที่อยู๋ในเอเซีย จากคุณ : ตะวันรุ่งทุ่งรังสิต - [ 22 ก.พ. 52 00:29:19 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าบริษัทคุณกำลังแย่ จะตกงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คุณจะซื้อรถใหม่ ซื้อบ้านใหม่หริอเปล่าล่ะ จากคุณ : maxijojo123 - [ 22 ก.พ. 52 00:33:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ปรกติของโลกที่สงบจากสงครามมาหลายสิบปี....... อุตสาหกรรม  เกษตรกรรม  ดีขึ้นผลิตแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น   เทคโนโลยีสูงขึ้นมาก จนคนกลุ่มหนึ่ง  มีเงินมหาศาล  มากๆ   หลายร้อยล้านๆบาท ไม่รู้จะเอาเงินไปไหน ก็เอาเงินไปซื้อตุนบวกปั่นราคาสินค้า  จนเกินความเป็นจริง คิดว่าเงินเยอะจะคุมราคายังไงก็ได้ ยิ่งราคาสูงขึ้นการผลิตก็ยิ่งเยอะขึ้นเพราะขายได้กำไรจน สินค้าเกินไปมาก จนถึงจุดนึงราคามันไปต่อไม่ได้เพราะเกิดแนวต้านว่าถ้าไม่ขายออกบ้าง คนจะซื้อจะตายซะก่อนแล้วสินค้าจะล้นมากๆ  เลยปล่อยขาย  ที่นี้พอปล่อยขาย  ราคามันก็เริ่มลง พอราคาลงมานิดนึงจากที่สูงมากๆ  พรรคพวกที่เก็งด้วยกันก็ตกใจ  เทขายออกมาบ้าง  ที่นี้ไฟลามทุ่ง  ต่างคนต่างขายจากราคา   ยอดดอย   มันก็ลงหนัก ข่าวก็แพร่กระจาย ที่นี้ปลาซิวปลาสร้อยนักตุนขนาดเล็ก  ก็แห่เทขายตามกัน  แต่มันสายเสียแล้ว ไอพวกโรงงานผลิตที่ต้องซื้อของจากโบรกเกอร์นักกักตุน ที่ต้องผลิตสินค้าให้ผู้ใช้ด้วยราคาสูงมาก   ลูกค้าเหล่านั้นก็ทยอยตาย บริษัทกำลังซื้อก็น้อยอยู่แล้วยิ่งไปกันใหญ่      ของที่พวกนายทุนยักษ์กักตุนราคาก็ยิ่งลงเหว   เจ๊งไปตามๆกัน   เหตุการณ์นี้เป็นเพราะว่า ช่วงที่ราคากำลังค่อยๆดีขึ้น รัฐประเทศต่างก็ปล่อยให้นายทุนในประเทศตัวเองตุนของเก็งกำไรกันทั่วโลก  ต่างคนต่างกำๆไรอื้อซ่า ไม่มีใครกล้าไปแตะเบรค   เก็งกันจนเกินเหตุ  แม้แต่  รัฐบาลสหรัฐ  .........หรือประัเทศต่างๆ ตะวันออกกลาง เหมือนปั่นหุ้นในไทยหลังปี 40  จึงต้องมีกฎหมายควบคุม  แต่ก่อนเล่นไป  สองสามร้อย  พัน  เปอร์เซนต์  โดยไม่มีเหตุผล  ที่สะท้อนจาก ดีมานต์ ซัพ พลาย  จริงๆเลย ถ้าจะแก้  ต้องแก้เรื่องการตุนการปั่นนี่แหละ และก็ไม่ใช้ อเมริกา  ประเทศเดียวด้วย  ทั่วโลกนั่นแหละั ตะวันออกกลาง  โก่งราคากันจนพุงแตก   อเมริกาก็ตุนวัตถุดิบจนพุงปลิ้น   เลยได้แตกสมใจ ถามว่ากำลังซื้อมีไหม  มีครับแต่  พร้อมใจกันหยุด  มากกว่า ราคาทองก็เหมือนกัน    ระวังให้ดี เดาๆไป แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 52 01:22:19 แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 52 01:16:23 จากคุณ : นิ้วจิ้ม - [ 22 ก.พ. 52 01:03:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าฟองสบู่ในราคา commodities มันไม่ใช่ประเด็นนะครับ จริงๆคุณ พีพี เกือบจะถูกแหละ ที่จริงมันมีสองปัจจัย หนึ่งคือ หนี้อสังหาที่เสียจริงๆ ที่เกิดขึ้นจากการให้กู้ยืมแบบหละหลวมจนหนี้เน่าหมด (ตรงนี้เป็นความผิดของธนาคาร และกรีนสแปน / อเมริกา ที่ทำให้มีสภาวะเงินล้นโลกมาก่อนหน้านี้เป็นเวลานาน ทั้งดอกเบี้ยเมกาที่ต่ำเกินความจริง ที่เกิดจากนโยบาย และก็อีกส่วนหนึ่งมาจากเงินที่ล้นโลกจนต้องมาลงพันธบัตรเมกาจนทำให้ดอกเบี้ยต่ำ และทำให้เกิดความไม่สมดุลในเศรษฐกิจโลก) และสองคือ วิศวะกรรมทางการเงิน ที่กระจายความเสี่ยงและผลขาดทุนเหล่านี้สู่วงกว้างมากๆ แทนที่จะอยู่กับแค่ธนาคารที่ให้กู้ยืมโดยตรง แต่กลับแผ่ขยายไปสู่ธนาคารอื่นๆ พวก investment bank ต่างๆกองทุนต่างๆตั้งแต่พวกบริษัทประกัน ไปจนถึงเฮดจ์ฟันด์และกองทุนรวม ฯลฯ (ตรงนี้เป็นความผิดของ rating agencies ทั้งหลาย และความโลภของคนที่สร้างไอ้พวก cdo ทั้งหลายออกมา) คิดง่ายๆว่าดูแค่ตลาดหุ้นเมืองไทย มูลค่าสูญไปเกือบครึ่ง  แค่นี้คนเราก็มีเงินอยู่ดีๆหายไปครึ่งนึงจากกระเป๋าแล้วครับ จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 22 ก.พ. 52 05:24:21 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เท่าที่ผมเข้าใจมานะ เกิดจากการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของอเมริกาที่ผิดพลาดตั้งแต่ปี 2000 ครับตอนนั้นเกิดปัญหาฟองสบู่ของธุรกิจดอทคอมล่มสลาย รัฐบาลจึงลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จนเป็นช่องทางให้เกิดการกู้ยืมเงินมาเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงปั่นสินค้า commodity ต่างๆ พอไล่เลียงได้คร่าวๆดังนี้ ธุรกิจดอทคอมล่มสลายในปี 2000 --> รัฐบาลอเมริกันลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ --> เกิดการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์และสินค้า commodity --> มีการออกเอกสารที่เรียกว่า CDS เพื่อรับประกันหนี้ --> เกิดภาพลวงตาว่ามีเงินทุนมากมาย แท้ที่จริงเป็นภาพมายา เงินที่แท้จริงไม่ได้มีมากขนาดนั้น --> ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และ commodity แตก --> พวก hedge fund ขาดทุน --> พวก fedge fund ดึงเงินที่มีอยู่กลับ เพื่อ cut loss --> ภาพเงินทุนที่เคยท่วมโลก หดหายอย่างรวดเร็ว --> ธนาคารที่ปล่อยกู้ขาดทุน --> ธนาคารที่ปล่อยกู้ในประเภท subprime mortage หรือหนี้ด้อยคุณภาพ ล้มละลาย --> วงการ CDS ล่มสลาย --> ประชาชนที่กู้เงินพวก subprime mortage หมดปัญญาส่งเงินคืนตามที่ธนาคารเรียก ต้องปล่อยให้โดนยึด --> ธนาคารที่ล่มสลายและธนาคารที่ยังอยู่ ทำให้เกิดภาวะการขาดความมั่นใจด้านการเงิน ส่งผลต่อการปล่อยเงินกู้ในระบบต่างๆ --> เงินกู้หายไปจากระบบ --> ธุรกิจอสังหาล้มครืน ตามมาด้วยธุรกิจทางภาคการเงิน --> ธุรกิจที่ต้องอาศัยเงินกู้ติดขัด บวกกับการไม่กล้าใช้จ่ายของประชาชนเพราะไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ทำให้บางธุรกิจล้มหรือลดขนาดตามๆกันมา --> คนตกงานมากขึ้นเรื่อยๆ --> กำลังซื้อหดหายเพราะการตกงาน --> ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจต่างๆ --> ส่งผลต่อประเทศอื่นๆทั่วโลกทั้งในแง่ที่เกี่ยวข้องกันในภาคการเงิน หรือพึ่งพาอเมริกาในฐานะตลาดส่งออก อ่านดูอาจงงๆนะครับ เพราะผมไล่มาเองยังงงๆเลย ^^" แต่หลักๆ คือการปั่นให้เงินก้อนเล็กๆ กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ เป็นการสร้างภาพว่าทั่วโลกมีเงินอยู่มากมาย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นแค่ตราสารที่เรียกว่า CDS เมื่อทุกอย่างถูกปั่นจนไม่มีใครมารับซื้อต่อ เลยเกิดการ crash อย่างรวดเร็ว ทำให้พวกกองทุนเก็งกำไรขาดทุนเลยต้อง cut loss ตัวเอง ดึงเงินกลับ ทำให้ยิ่งเกิดการกระหน่ำขายตามๆกันมา สถาบันที่เกี่ยวข้องกับวงจรพวกนี้เลยล้มพังกันเป็นโดมิโน พอภาพเงินท่วมโลกหายไป ภาพจริงที่ปรากฎเลยกลายเป็น บ่จิ๊ ธุรกิจที่ขยายเอาๆ โดยตลาดที่แท้จริงไม่มี เลยต้องจบเห่ เริ่มที่อสังหา ต่อที่ธนาคารและสถาบันการเงิน ต่อไปยังธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากคนตกงาน เป็นภาพงูกินหาง จนกว่าปัญหาที่สั่งสมมาจะระเบิดออกมาจนหมด สภาพก็จะเรื่อยๆ ซึมๆ อีกหลายปี กว่าเงินก้อนใหม่จะกล้าลงทุน(ต้องดูนโยบายรัฐบาล สถานการณ์โลก รวมถึงวิเคราะห์แนวโน้มอนาคต) เมื่อเงินใหม่ใส่เข้าตลาด ภาพรวมธุรกิจจะฟื้นอีกครั้ง คาดการณ์คราวนี้ว่าคงลากยาวไปสัก 5 ปีนับแต่วิกฤติเริ่มเกิดในปี 2008 ดังนั้นคาดว่ากว่าจะพอเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์คงต้องรอถึงปี 2012 ครับ แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แล้วแต่ว่าในช่วงระยะเวลาต่อไปจากนี้มนุษย์โลกจะสร้างบุญหรือกรรมไปทางไหนนะ ^^/ จากคุณ : ว่าวน้อยลอยชมสวน - [ 22 ก.พ. 52 08:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพราะว่าผู้คนทั่วโลกต่างหลอกตัวเอง ว่า โลกเราพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งๆที่ความเป็นจริง การพัฒนาอย่างยั่งยืน ยังมาไม่ถึงจุดนี้ และตอนนี้ ผู้คนทั่วโลกเริ่มจะรับรู้ว่า จริงๆแล้ว โลกเราพัฒนามาไกลแค่ไหน แต่การตื่นตระหนก  จากการรับรู้ว่า โลกเราไม่ได้มาไกลอย่างที่เราคิด ทำให้ผู้คนบางส่วน สงสัยว่า แท้จริงแล้ว โลกเรา ณ เวลานี้ การพัฒนาอย่างยังยืน อยู่ในระดับใดกันแน่ ผู้คนบางส่วน คาดการณ์ไว้ ต่ำกว่า ระดับที่แท้จริงมากเกินไป ทำให้ ระงับการใช้จ่ายและการลงทุน  ทำให้เงินหายไปจากตลาด ไปนอนในกระเป๋า ทั้งๆที่บางธุรกิจ ไม่ได้ อยู่ในระดับต่ำเท่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจโลก ซึ่ง ธุรกิจที่พัฒนาอย่างยังยืน เหล่านี้ จะค่อยๆขับเคลื่อนโลก ให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม วิกฤตินี้ ไม่ได้เกิดจากใคร หลอกใคร ใครปั่นราคา สินค้าอะไร แต่เกิดจาก เราทุกๆคนหลอกตัวเราเอง เศรษฐกิจโลกไม่ได้ถดถอย แต่ เศรษฐกิจโลกกำลังกลับไปยังระดับที่แท้จริง ณ เวลานี้ระบบ ยังคงวุ่นวายสับสน คงต้องใช้เวลาซักระยะให้ผู้คนพิจารณา ว่าอะไรคือ ความจริง อะไรคือ ภาพลวงตา ระบบจะค่อยๆปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลในไม่ช้า แล้ว โลกก็จะหมุนต่อไป จากคุณ : Rhythm Investor - [ 22 ก.พ. 52 10:31:35 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ภาวะที่อุตสาหกรรมใหญ่ๆ เกิดปัญหากระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรงและส่งผลทางจิตวิทยา ทำให้บริษัทไม่กล้าลงทุน ประชาชนไม่กล้าซื้อ พยายามเก็บเงินสดไว้กับตัวมากที่สุดค่ะ จากคุณ : Hanachan - [ 22 ก.พ. 52 11:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ปัญหาจริงๆเกิดจาก CDO (หลักทรัพย์ที่มีทรัพย์สินอ้างอิงเป็น mortgage ซึ่งรวมถึงพวก subprime) โดยเฮดจ์ฟันด์ของ bear stearns ล้มละลายในปี 2007 ไม่ใช่ CDS CDS (credit default swap) เป็นส่วนหนึ่งในการกระจายปัญหา แต่เป็นปัญหาอีกแบบ CDS เป็นตราสารที่อ้างอิง credit ของคนอื่น พูดง่ายๆคือ ถ้าเกิดบริษัทอื่นล้มละลาย หรือ credit แย่ลงเช่นโดน rating agencies downgrade คนที่พนันอยู่ด้านนึง จะเสียอีกด้านนึงจะได้ ปัญหาคือตัว CDS นี้แหละ กระจายปัญหาเพราะถ้าเกิดแบงค์ที่เป็นตัวอ้างอิงของ CDS มันเจ๊ง แบงค์อื่นและก็เฮดจ์ฟันด์ก็จะขาดทุนไปเป็นทอดๆๆๆๆ จริงๆแล้ว ไอ้ตัว CDS มันเป็นปัญหาอยู่ในช่วงต้นที่เรียกว่า liquidity crunch คือไม่มีสภาพคล่องในระบบเพราะไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนขาดทุนและล้มละลายต่อไป เพราะตราสารเหล่านี้มันกระจายความเสี่ยงคนมั่วไปหมด ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นร้ายแรงจริงๆจะเป็นช่วงไตรมาส 3 ปี 2008 เริ่มโดยการล่มสลายของ lehman brothers จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 22 ก.พ. 52 14:22:08 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ความผันผวนทางเศรษฐกิจทำให้คนมีเงินมองว่า เก็บเงินไว้กับตัวก่อนดีกว่า ถ้ายังไม่มีความจำเป็นก็ยังไม่ต้องจับจ่ายอะไร ถามว่าคนกลุ่มนี้กระทบไหม ก็มองได้หลายแบบค่ะ แต่ถึงอย่างไร คนกลุ่มนี้ก็ยังมีเงิน แม้ว่ารายจ่ายจะเพิ่มขึ้น แต่เขาก็เลือกได้ว่าจำเป็นต้องจ่ายไหม ถ้าไม่จำเป็น ก็ชะลอการจ่ายไว้ก่อน แต่ถ้าเมื่อไรที่ผู้ประกอบการต้องการเงินสดในมือ จัดลดราคาสินค้าหรือบริการเมื่อไร คนกลุ่มนี้จะกลับมาซื้อทันที แต่ถ้าไม่ลดราคา เขาก็ไม่มาซื้อ เพราะเขามองว่ายังไม่จำเป็นต้องซื้อ ส่วนคนชั้นกลางถึงระดับล่าง ก็อาจจะกระทบบ้างเนื่องจากรายได้เท่าเดิม แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น หลายคนหันมามองอาชีพเสริม และอาชีพค้าขายก็เป็นอาชีพแรกที่หลายๆ คนพากันคิดถึง ลองไปเดินตลาดที่ไหนดูสิคะ จะตลาดนัด ตลาดสด หรือตลาดเปิดท้าย จะเห็นว่ามีพ่อค้าแม่ค้าหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก แต่คนซื้อกลับน้อยลง จากคุณ : ดาวอักษร - [ 22 ก.พ. 52 14:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พวกนักเก็งกำไรเค้าใช้เงินเพิ่มเงินผ่านเครื่องมือสารพัดรูปแบบครับ ไม่ได้ใช้เงินเพื่อเพื่มผลผลิต หรือเพิ่มการลงทุนใดๆ เพิ่มไปเพิ่มมาก็มีแต่เงินกับกระดาษ ไม่มีผลผลิตจริง ไม่มีการลงทุนที่เป็นการค้าจริงๆ ทำให้มีเงินมี กระดาษมากกว่าผลผลิตไงครับ ของมันเลยแพง อีกอย่าง คนส่วนใหญ่ก้อไม่รู้วิธีเอาเงินต่อเงินด้วย เพราะไม่มีความรู้ สังเกตได้ว่าพวกคนรวยไม่ค่อยมีปัญหาตอนเจอพิษเศรษฐกิจ แต่คนจนโดนเต็มๆครับ เงินก็น้อย แถม value ของเงินจริงๆก็ต่ำกว่าแต่ก่อนอีก เลยดูเหมือนซื้อของได้น้อยลงไงครับ นั่นหมายถึง อำนาจซื้อของคนส่วนใหญ่ก็ลดลงตามครับ ซึ่งอำนาจซื้อมันวัดได้จากการเอาราคาเป็นตัวหารเงินที่กำอยู่ครับ ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น นั่นหมายความว่า อำนาจซื้อของเราลดลงครับ จากคุณ : Thutmose - [ 22 ก.พ. 52 15:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณทุกท่านมากเลยนะครับ กระจ่างขึ้นเยอะเลย ว่าแต่ว่า หลังจากเกิดวิกฤตินี้ขึ้นมาแล้ว มีใครกระเป๋าตุง จากเหตุการณ์นี้บ้างหรือเปล่าครับ จากคุณ : Oj - [ 22 ก.พ. 52 20:42:37 A:124.122.134.126 X: TicketID:204146 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่ยึดทฤษฏี เศรษฐกิจ พอเพียง... สร้างความโลภให้คน.. สอนให้ละเลยศีลธรรม.. ทำอย่างไรก็ได้ให้มีเงิน... คนมีเงินคือคนดี.. แม้ทำผิดศีลธรรม... ไม่รู้จักประมาณตัวเอง.. สังคมหมาหางด้วน...เมื่อตัวเองหางด้วยก็พูดให้คนอื่นเห็นว่า หางด้วนเป็นสิ่งที่ดี.. หางมีไว้ทรงตัว..เปรียบเหมือนศีลธรรม.. เมื่อไม่มีก็แกว่ง.. เอาเปรียบคนอื่น..โกงกินเขา..ถือว่าเป็นเรื่องดี.. ธรรมชาติลงโทษอ่ะ.. แต่โดนกันทั่วหน้า.. จากการกระทำของคนไม่ดี ไม่กี่คน.. So Sad จากคุณ : benz - [ 23 ก.พ. 52 11:11:07 A:222.123.3.69 X: TicketID:190761 ]

ความคิดเห็นที่ 20 หุ้นตก...  ไม่มีตัง... จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 23 ก.พ. 52 13:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณทุกๆท่านค่ะ ที่อธิบาย อยากรู้มานานแล้ว :) จากคุณ : Wahol* - [ 23 ก.พ. 52 13:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 where can I learn more about เศรษฐกิจ พอเพียง? I would like to know more about this เศรษฐกิจ พอเพียง... จากคุณ : Sman - [ 23 ก.พ. 52 22:29:57 A:192.168.0.17 X:192.133.192.1 TicketID:116218 ]