Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ลุงแอ็ด.....เอามาฝาก ตอนที่ 9 ...5 ขึ้นที่เจ้าหนี้ใช้เล่นงาน

    5 ขั้นที่เจ้าหนี้ใช้เล่นงาน



    สถานภาพทางบัญชีของลูกหนี้ที่มีปัญหารายหนึ่งๆ นั้น  เจ้าหนี้ส่วนใหญ่จะมี

    หลักในการแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่มด้วยกัน  เพื่อประโยชน์ใน

    การบริหารจัดการ  คือ  ลูกหนี้ก่อนถูกดำเนินคดี  และ  ลูกหนี้หลังถูกดำเนิน

    คดี
    ซึ่งแต่ในละกลุ่มนั้น ก็จะมีการซอยย่อยแบ่งเป็นกรุ๊ปเล็กๆ ตามจังหวะขั้น

    ตอนการดำเนินคดี กับลูกหนี้แต่ละรายอีกด้วย  การแบ่งกลุ่มลักษณะนี้จะ

    ช่วยให้เจ้าหนี้สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



    กลับมาที่ฝ่ายลูกหนี้บ้าง  ผมเชื่อว่ายังมีลูกหนี้อีกจำนวนมากที่ทุกวันนี้ยังไม่รู้

    ชะตากรรมของตนเองเลยว่า.....ระยะทางข้างหน้านั้นจะเจอขวากหนามอะไร

    บ้าง  บางท่านอยากรู้ใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าไปถามใครเพราะอายเขา  บาง

    ท่านยิ่งสงสัยก็ยิ่งเครียด  แทบไม่เป็นทำมาหากิน  วิตกกังวลไปหมดจนโรค

    ประสาทจะถามหาเลยก็มี....เรื่องแบบนี้  ลูกหนี้ทุกท่านควรจะต้องศึกษา

    และรับรู้  รับทราบกระบวนการขั้นตอนต่างๆ  ที่มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นกับตนเองใน

    อนาคตอันใกล้ไว้บ้าง  ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นมงคลกับตัวเอง

    นักก็ตามที  แต่อย่างน้อยที่สุด.....การรู้อะไรล่วงหน้าไว้ก่อนก็น่าจะมี

    ประโยชน์ช่วยทำให้เราพอมีเวลานั่งคิดอ่านหาทางแก้ไขปัญหาของตนเอง  

    ให้ลดความหนักหน่วงลงบ้าง
     พูดง่ายๆ ว่า  ไหนๆ ก็ จะต้องเจ็บตัว  ขอให้

    เจ็บตัวน้อยที่สุด.....



    ถ้าจะจำแนกแยกแยะขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนครบวงจรที่ลูกหนี้มีโอกาสได้

    เจอะได้เจอ  หลังจากตกดิวิชั่นการเป็น “ลูกค้าชั้นดี”  กลายเป็น “ลูกหนี้มี

    ปัญหา”
    นั้น  พอจะแบ่งเป็น 5 ขั้น ดังนี้



    ขั้นที่ 1  ติดตามทวงถาม

    เมื่อลูกหนี้เริ่มมีการค้างชำระหนี้ระยะหนึ่ง  ซึ่งตามเกณฑ์ของเจ้าหนี้ส่วน

    ใหญ่จะกำหนดไว้ที่ 3 เดือนนับเป็นจุดสตาร์ทที่จะเริ่มออกแรงกับลูกหนี้

    แล้ว  ในทางปฏิบัติจังหวะก้าวของเจ้าหนี้ก็จะเริ่มจากกระบวนการติดตามทวง

    ถามก่อน  ไม่ว่าจะเป็นการทวงถามทางโทรศัพท์  หรือทวงถามด้วยการให้

    พนักงานของสาขาออกไปพบ  หรือส่งหนังสือทวงถามเป็นลายลักษณ์อักษร

    แจ้งไปยังลูกหนี้เป็นทางการ  เรียกว่าวิธีไหนสะดวกก็ใช้วิธีนั้น



    ขั้นตอนนี้  เป็นขั้นตอนเบื้องต้น  ส่วนใหญ่เจ้าหนี้จะยังไม่ใช้วิธีการอะไรที่

    รุนแรงกับลูกหนี้มากนัก  เป็นได้ว่า  ยังมีใจเผื่อคิดถึงความสัมพันธ์ในฐานะ

    ลูกค้าเก่าอยู่  และโดยความเป็นจริงก็มีลูกหนี้หลายรายที่ค้างชำระด้วยเหตุ

    สุดวิสัยจริงๆ ใช่ว่าจะมีเจตนาอยากเป็นลูกหนี้มีปัญหาเต็มตัวเสียที่ไหนกัน



    กรณีเป็นหนี้ธุรกิจ  จังหวะนี้เจ้าหนี้มักจะยังไม่เล่นกันหนัก  คงใช้วิธีติดตาม

    ทวงถามให้เกียรติพอสมควร  แต่ระยะหลังนี้ก็ไม่ค่อยปล่อยสบายๆ นะครับ  

    จะจี้จะไชตามติดแบบไม่ค่อยห่างหายเอาทีเดียว



    กรณีเป็นหนี้บ้านหรือหนี้ที่อยู่อาศัย  หนี้ประเภทนี้ต้องถือว่าเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้

    ความเสี่ยงน้อยที่สุด  เพราะทุกรายมีหลักประกันอยู่ในมือแน่นอน  ส่วนจะ

    คุ้มหนี้หรือไม่คุ้มหนี้  อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งในขณะเดียวกันมันกลับเป็นหนี้ที่

    บีบหัวใจลูกหนี้มากที่สุดครับ  ทั้งบีบหัวใจทั้งกดดันมากเลย  ถ้าไม่สุดวิสัย

    ไม่สุดหนทางจริงๆ ผมเชื่อว่าไม่มีใครยอมทิ้งบ้านที่ทั้งชีวิตกัดฟันออม

    สะสมมาแน่นอน



    ฉะนั้นในทางปฏิบัติ  ถ้าเริ่มติดค้างกันใหม่ๆ 3 – 6 เดือน  ช่วงนี้เจ้าหนี้ยังไม่

    ลงมือเล่นงานหนักเท่าไหร่  คงใช้การทวงถามธรรมดาๆ  อาจใช้หนังสือทวง

    ถาม  หรือเดินทางไปพบ  หรือยกหูโทรคุยถามไถ่กัน  เรียกว่าจังหวะนี้ยังพอ

    พูดจาภาษาดอกไม้กันบ้าง  จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่า  เจ้าหนี้จะเอ็นดูหรืออยาก

    เอาใจลูกหนี้มากนักหรอกครับ  เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่ธุรกิจครับ  ธุรกิจที่

    ว่า....คิดง่ายๆ ถ้าลูกหนี้รายหนึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรง  ไม่ถึงขั้นเป็นหนี้ปัญหา

    เรื้อรัง  ยังมีทางกลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดีต่อไปได้  เจ้าหนี้ไม่ยอมปล่อยไป

    ง่ายๆ แน่  อย่าลืมว่าช่วงผิดนัดไม่จ่ายค่างวดกันแบบนี้  เจ้าหนี้ยังสามารถ

    ฟาดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดเต็มเพดานได้นะ  คิดดูสิครับว่ามันมากแค่ไหน  

    เก็บเอาไว้ฟาดเต็มๆ ไปก่อนระยะหนึ่ง  ดีกว่ารีบไปกดดันให้ปิดบัญชีหรือ

    ย้ายไปอยู่แบงก์อื่น  มันก็เสียธุรกิจอย่างน่าเสียดายนะสิ  ทุกวันนี้ปล่อยราย

    ใหม่ซักรายอย่างดีก็ได้ดอกเบี้ย 5 – 7% แค่นั้นเอง อยู่เฉยดีกว่า.....จริงมั้ย

    ครับ



    ค้างผ่อนแต่ยังไม่ถูกเล่นงาน......อย่าเพิ่งวางใจ



    ไหนๆ ก็แตะประเด็นนี้แล้ว  เลยถือโอกาสฝากเรื่องหนึ่งสำหรับท่านที่เป็นหนี้

    บ้านอยู่ในขณะนี้  แล้วบังเอิญว่ากำลังอยู่ในบรรยากาศค้างผ่อนมานานพอ

    สมควร  แต่รู้สึกแปลกๆ ว่า...เราไม่เห็นถูกเจ้าหนี้ติดตามทวงถามเหมือนกับ

    คนอื่นบ้างเลย  ตกลงว่ามันจะดีหรือไม่ดีกันแน่ที่เป็นแบบนี้....???



    ไม่มีสูตรสำเร็จหรอกครับว่าดีหรือไม่ดี  มันเป็นได้ทั้งสองมุม  มุมหนึ่งคือเจ้า

    หนี้ยังไม่อยากลงมือ  ยังไม่ว่าหรือเห็นว่ายังไม่ซีเรียสนัก  ก็ปล่อยๆ ไว้

    ก่อน  เอาไว้ถึงรอบหรือถึงเวลาจัดการ  ค่อยว่ากันอีกที  มุมนี้ก็เป็นได้

    ครับ.....



    ส่วนอีกมุมหนึ่ง  อยากเรียนว่ามันมีโอกาสมีวาระซ่อนเร้นในทางไม่ดี ใน

    ลักษณะทำนองนี้ล่ะครับ



    ลักษณะที่ 1  “ปล่อยให้ตายใจ  เก็บไว้ฟาดดอกเบี้ย”

    เป็นได้ว่า.....รายไหนมีหลักประกันมูลค่าท่วมยอดลูกหนี้มากๆ อย่างที่เรียก

    ว่า  “หลักประกันคุ้มยอดหนี้”  ซึ่งอาจเกิดจากการกู้มานานและผ่อนตรง

    เงื่อนไขโดยตลอด  ทำให้ยอดหนี้ลดไปเยอะ  เช่น  กู้มา 1 ล้านเมื่อ 5 ปีที่

    แล้ว  ผ่อนไปผ่อนมาเหลือหนี้อยู่แค่ 700,000.-บาท  แต่มูลค่าบ้านซึ่งเป็น

    หลักประกันสูงปี๊ดเป็นต้น



    กรณีแบบนี้  บอกได้ว่าเป็นลูกหนี้ที่เจ้าหนี้สบายใจมากที่สุด  เป็นลูกหนี้ที่ไม่

    มีความเสี่ยงเลย  เป็นลูกหนี้แบบหมูในอวยยังไงยังงั้น  เรียกว่าถ้าต้องออก

    แรงจัดการเมื่อไหร่  ก็ได้หนี้คืนครบถ้วนแน่นอนอยู่แล้ว



    เมื่อเป็นแบบนี้  ไฉนเจ้าหนี้ใยต้องรีบร้อนติดตามทวงถามให้ลูกหนี้รีบจ่ายหนี้

    เร็วๆ จริงไหมครับ  ลูกหนี้อยากค้างผ่อนก็ปล่อยให้ค้างไป  ค้างซักปีสองปีก็

    ไม่มีความเสี่ยงเลย  เพราะยังไงๆ มูลค่าหลักประกันก็เหลือเฟือคุ้มอยู่แล้ว  

    สู้ปล่อยทิ้งไว้นั่งฟาดดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดชำระหนี้แบบเต็มปอดไปเรื่อยๆ

    ดีกว่าที่จะไปกระโตกกระตากกดดันลูกหนี้  เกิดลูกหนี้มีปัญญาหาทางย้าย

    แบงก์เอาเงินมาชำระปิดบัญชีได้ละก็  จะเสียโอกาสทางธุรกิจไปเปล่าๆ



    เพราะฉะนั้น  ลองทบทวนดูว่าท่านเข้าข่ายในลักษณะแบบนี้หรือไม่  ผมฝาก

    เตือนด้วยความห่วงใยจริงๆ ดูเผินๆ อาจจะดีที่ไม่ถูกเจ้าหนี้เล่นงาน  แต่ระวัง

    ให้ดี  เวลาผ่านไปซักปีสองปีเจอดอกเบี้ยค้างชำระสะสมพอกพูนขึ้นมาอีก

    หลายแสนบาท  จะประสาทเสียซะก่อน



    ลักษณะที่ 2 “ไม่พูดพล่ามทำเพลง”

    ลักษณะนี้อาจเป็นสไตล์การทำงานของเจ้าหนี้บางแห่ง  โดยเฉพาะพวกที่

    เป็นฝรั่งจ๋า  หรือพวกลูกผสม  พวกนี้มีระบบการทำงานที่ไม่ค่อยจะจุกจิก

    ตอแยกับลูกหนี้เท่าไหร่  จึงไม่ต่อยนิยมใช้โทรศัพท์ทวงหนี้ให้เสียเวลา  ถึง

    วันหนึ่งให้ทนายความออกโนติสเตรียมฟ้องกันไปเลย  หากลูกหนี้อยากคุย  

    อยากเจรจาประนอมหนี้  ก็ต้องกระเสือกกระสนไปขอผ่อนผันเอง



    ซึ่งเมื่อถึงจังหวะนั้นแล้ว  เจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจต่อรองมากกว่าทันที  เวลา

    เจรจากันค่อนข้างจะยากกว่าเจ้าหนี้แบบไทยๆ มีลูกหนี้ที่เจอหมัดน็อคจาก

    เจ้าหนี้พันธุ์ดุพวกนี้เยอะเลย  เพราะฉะนั้น  อย่าเพิ่งตายใจไปล่ะ  ลองกับไป

    ดูอีกทีนะครับว่าเจ้าหนี้ของเรากลายเป็นพวกฝรั่งจ๋าหรือว่าเป็นลูกผสมลูกครึ่ง

    ไปแล้วยัง



    ลักษณะที่ 3 “ปล่อยให้ตายใจ  เพราะอยากได้หลักประกัน”

    มีลูกหนี้บางรายที่มีหลักประกันสวยจนอดใจไม่อยู่  อาจจะไปเตะตาเจ้าหนี้

    ขึ้นมา  เลยตั้งเป้าหมายว่าอยากจะได้หลักประกันนั้นๆ มาชมเชยให้สม

    อารมณ์หมาย



    คราวนี้จะทำอย่างไรถึงจะได้หลักประกันจากลูกหนี้  จะบอกตรงๆ ก็คงถูก

    เก่งราคาหรืออาจไม่ยินยอมพร้อมใจก็ได้  ครั้นจะรอไปถึงขั้นยึดทรัพย์ทอด

    ตลาด  แล้วค่อยไปประมูลซื้อมาในราคาถูกๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่

    ปี



    วิธีหนึ่งที่ใช้กัน คือ  การกดดันให้ลูกหนี้ต้องตกอยู่ในสภาพจำใจต้องตีโอน

    หลักประกันนั้นๆ ใช้หนี้อย่างไม่มีทางเลือก




    กดดันยังไง.....ทางหนึ่งที่เจ้าหนี้สามารถทำได้โดยไม่ต้องออกแรงก็คือ......

    ปล่อยให้ลูกหนี้ค้างชำระหนี้ไปเรื่อยๆ ค้างจนกระทั่งมีดอกเบี้ยพอกพูน

    สะสม  ค้างแบบท่วมมูลค่าหลักประกันไปเลยก็ช่างมัน  ไม่ต้องเร่งรัด  ไม่

    ต้องทวงถาม  ปล่อยไปเรื่อยๆ ชาร์จดอกเบี้ยผิดนัดเต็มเพดานไปเรื่อยๆ ไม่

    ช้าไม่นานหนี้ก็จะบานเบ่งตามเป้าหมายทุกประการ



    และเมื่อเจอหนี้ท่วมตัวถึงขนาดนั้น  ลูกแกะน้อยที่ตายใจมาตลอดเพราะไม่

    เคยถูกเร่งรัดทวงหนี้แต่อย่างใดเลย  ก็ไม่มีทางเลือกว่าจะหาทางแก้ไขได้

    ยังไง  มีทางเดียวคือต้องตัดสินใจขายหลักทรัพย์ทิ้งชำหระหนี้ทั้งหมดเท่า

    นั้นเอง



    สูตรนี้จะเข้าล็อกหมาป่าพอดี  แหม....รอจังหวะขย้ำมานานแล้ว  เชื่อเหลือ

    เกินว่าเจ้าหนี้จะเสนอให้มีการตีโอนหลักประกันใช้หนี้
     ซึ่งในสถานการณ์

    ขณะนั้น  ลูกหนี้คงจะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า  เพราะเจ้าหนี้จะเสนอให้ตีโอน

    ทรัพย์ใช้หนี้โดยยอมลดหนี้ที่เหลือให้กับลูกหนี้ด้วย  ซึ่งผิดกับการที่ลูกหนี้

    จะขอขายทรัพย์นั้นเอง  ที่ยังต้องรับผิดชอบหนี้อีกส่วนหนึ่งต่อไป



    ที่ยกตัวอย่างลักษณะนี้  ก็เพื่อให้ได้รับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีทางเกิดขึ้นได้  แม้ว่า

    ภาวะปัจจุบัน  อาจจะเกิดขึ้นได้น้อยมากก็ตาม

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 2 มี.ค. 52 16:55:23 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com