Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีอคติ กับงานขายประกัน เหลือเกิน

    ผมได้ลองอ่านในกระทู้นี่ดู

    http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B5649126/B5649126.html

    จริงๆแล้วประเด็นหลักของกระทู้ อยู่ที่การหลอกขอนัดสัมภาษณ์ของ
    perfect group ที่อ้างตำแหน่งให้ดูดี แต่จริงๆแล้วให้ไปขายประกัน

    แต่ก็มีหลายความเห็นเหมือนกัน ที่
    มีอคติต่อประกันชีวิต โดยตรง

    ไม่ว่าจะเป็น อคติต่อ งานขายประกัน โดยที่ไม่ได้รู้ความเป็นจริง
    และมองว่างานขายประกัน ไม่มีความมั่นคง เพราะไม่มีเงินเดือนที่แน่นอนมารองรับ

    ผมไม่เข้าใจตรงนี้จริงๆครับ


    ผมขอออกตัวก่อนนิดนึงนะครับ

    ว่าผมเองก็เป็นตัวแทนของบริษัทนี้อยู่

    แต่ไม่ได้อยู่ในหน่วยงาน Perfect Group

    ผมจะอยู่อีกหน่วยงานนึง ซึ่งขอไม่เอ่ยนามละกัน (เอาเป็นว่าเป็นหน่วยงานที่ทำยอดขายได้มากที่สุดทุกๆปีมาตลอด ขึ้นต้นด้วยตัว V)

    และไม่ได้ทำที่อาคารพหลโยธินเพลส

    ทำอยู่ที่ สำนักงานย่อย อีกทีครับ

    ครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาฟัง เนื่องจากเพื่อนสนิทชวน แล้วตอนนั้นผมก็เรียนจบมาตั้ง 5-6 เดือนแล้ว แต่ไม่หางานทำซักที จนที่บ้านเริ่มบ่น

    เลยลองๆเข้าไปดู

    แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจทำ
    จริงๆแล้ว ที่ออฟฟิศผม ถ้าทำแบบ full time จะมีเงินเดือนรองรับให้
    12000-15000  แล้วแต่ตกลง

    แต่ต้องทำเป้าหมายในแต่ล่ะเดือนให้ได้
    คือ 1.นัดลูกค้าให้ได้อาทิดละ ... คน
       2. เข้างานเช้า เลิกเย็น
    (ซึ่ง การนัดลูกค้าได้กี่คนจากการโทรนัดทั้งหมดกี่คน มีเรื่องสถิติเข้ามาเกี่ยว เอาเป็นว่าถ้าขยันโทรนัดมากพอ ปริมาณของลูกค้าที่นัดเข้าพบได้
    ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอัตราส่วน ตามปริมาณที่พยายามโทร)

    (รวมถึงสถิติการปิดการขายด้วยเช่นกัน ว่าพยายามกี่ราย จะปิดได้กี่ราย)

    ทางออฟฟิศผมจะมีการช่วยให้เราหารายชื่อลูกค้าได้หลายวิธี
    เช่นการเปิดบูธ ในโรงพยาบาล แล้วขอให้ลูกค้ากรอกแบบสอบถาม เป็นต้น

    ทีนี้ก็ึขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ล่ะคนแล้วครับ เพราะมันมีเรื่องสถิติเข้ามาเกี่ยว

    1. จากบูธ เราได้เข้าไปขอใ้ห้ลูกค้ากรอกแบบสอบถามกี่คน  (สมมติ 20)
    2. พอได้รายชื่อมา เราได้โทรนัดทั้งหมดกี่คน แล้วนัดได้ทั้งหมดกี่คน (สมมติ 6)
    3. เข้าพบแล้ว ปิดการขายได้ทั้งหมดกี่คน (สมมติ 2)

    (กรมธรรม์ 1 ฉบับ เีบี้ยประกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาท)

    ตัวเลขด้านบนอิงตามสถิติจริง

    ทั้ง 3 ขั้นตอน มีความสามารถของแต่ล่ะคนเ้ข้ามาเกี่ยวด้วยพอสมควร แต่ตรงนี้สามารถพัฒนาได้


    แต่ว่า ผมไม่ทำครับ full time  ตัดสินใจทำแบบ part time พอ
    แล้วก็ทำอยู่เพียงงานเดียวมาจนถึงตอนนี้ ก็ 3 เดือนแล้ว

    สาเหตุเพราะ ผมขี้เกียจเข้าออฟฟิศตอนเช้า เลิกเย็น รถมันติด ไม่ชอบ -*-
    เลยเลือกที่จะเข้าบ้างเป็นบางวัน  เข้าซักเที่ยง ออกซักบ่าย3

    เพราะผมคิดว่า ถ้าผมขายเป็นแล้วจริงๆ ผมสามารถทำเงินได้มากกว่าเงินประจำที่มีให้

    แต่ถ้าวันไหนมีบูธ ผมก็ไปบูธแต่เช้าเลยนะครับ เพราะมันคือโอกาสหาเงิน ไม่ได้ขี้เกียจ

    เดือนแรกๆผมก็มีปัญหานิดหน่อย ไม่มีค่าคอมเข้าเลยซักบาท เพราะยังไม่เป็น
    แต่ตรงนั้นผมไม่เครียดตรงที่ยังขอเงินพ่อแม่ได้อยู่ (อันนี้ผมเข้าใจคนที่ไม่สามารถขอได้ หรือทางบ้านมีปัญหาเรื่ิองเงิน)

    เริ่มนัดพบลูกค้าได้ แต่ยังขายไม่ได้เลยซักราย แต่พี่ๆก็ช่วยผมมาตลอด
    ลูกค้ารายล่าสุดที่เข้าไปพบ บังเอิญคนนี้ผมโชคดีด้วยแหละที่ได้เจอ

    เป็นเ้จ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง ใหญ่พอสมควร
    เสนอเบี้ยไป ประมาน 3 แสนบาท  โดยมีพี่ช่วยพาไปขาย
    พี่ก็พูดจนลูกค้าสนใจ แต่ยังไม่ตัดสินใจ จะัตัดสินใจภายในเดือนหน้า

    ผมเองก็รอรายนี้อยู่ครับ แต่ก็ไม่รอรายเดียว
    พยายามหารายอื่นไปเรื่อยๆ มีบูธให้ก็ไปทุกครั้ง มีชื่อลูกค้าก็โทรเรื่อยๆ
    ไม่โทรติดต่อกันมากเกินไป หรือถ้าเค้าไม่สนใจจริงๆก็ตัดชื่อออก

    มีโทรนัดสัมภาษณ์บ้าง แต่ไม่ได้เยอะมาก ตัวผมเอง โทรวันเว้นวันได้
    วันนึงก็ประมาณ 4-5 คน แค่นั้น (แต่ไม่ได้นัดไปที่พหลโยธินเพลส นะ)

    สำหรับคนที่รังเกียจ หรืออคติ กับธุรกิจประกันชีวิต

    ผมขอเสนอแนวคิดอีกอย่างหนึ่งนะครับ
    สำหรับคนที่คิดว่า เข้ามาขายประกัน พอขายใครไม่ได้ ก็ต้องขายคนรู้จัก
    หรือคนในครอบครัว

    งั้นตอนนี้ ผมถามก่อนว่า ณ เวลานี้เนี่ย
    คนในครอบครัวท่าน หรือคนรู้จัก มีใครทำประกันชีวิตอยู่ซักคนมั้ย

    ถ้าคำตอบ คือ  มี

    แล้วแทนที่จะเอาค่าคอมมิชชั่น ไปให้ตัวแทน ที่เป็นคนอื่น
    ทำไมไม่ลองคิดว่า เราขายประกันเป็นอาชีพเสริม แล้วถ้ามีคนรู้จัก
    หรือคนในครอบครัวอยากทำประกัน แล้วมาซื้อกับเรา
    แล้วเราได้ค่าคอมฯ หรือไม่ก็เอาค่าคอมฯคืนเขาไป
    ถือว่าซื้อในราคาต้นทุน            
    ดีกว่ามั้ยครับ
    (ไม่รวมผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นตัวแทนอยู่แล้ว)

    อันนี้คือ คิดแบบในมุมมองที่ง่าย และเห็นภาพ ที่สุดแล้ว
    จริงๆมันมีมากกว่านี้ แต่ผมคงไม่จำเป็นต้องพูด

    เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดไป แล้วคนที่คิดลบ กับธุรกิจประกันชีวิต จะเห็นดีด้วย
    ทั้งๆที่ สิ่งที่พูดไป เห็นภาพได้ง่ายที่สุดแล้ว แต่ก็ยังเห็นเป็น ลบ อยู่ดี หรือไม่




    และก็อีกอย่างนึง สำหรับคนที่มองว่างานแบบนี้   "ไม่มีความมั่นคง"
    งั้นผมขอถามกลับแค่คำเดียวว่า
    "ความมั่นคง คืออะไร"

    ผมเองพึ่งจบมาได้ปีเดียว ก่อนหน้านี้เคยชวนเพื่อนมาทำ เพื่อนผมก็พูดคำนี้
    "มันไม่มีความมั่นคง" ตอนนั้นผมเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าจะแย้งอะไรดี

    ผมอยากรู้ว่า การที่เด็กจบใหม่ ไปทำงานกินเงินเดือน
    สัปดาห์ละ 5 วัน เดือนละ 20-22 วัน เข้า 8.00 เลิก 17.00
    ได้เงินเดือน เดือนละ 10000-15000 บาท นั้น
    ผ่านไป 1 ปี ก็ได้อยู่ประมาณ 120000 - 180000 อาจมีเงินเดือนเพิ่มบ้างนิดหน่อย

    สิ่งนั้นคือ "ความมั่นคง" แล้วเหรอครับ

    แลกกับการที่ต้องทำงานหนัก ถ้าทำล่วงเวลาก็มีึค่าโอที

    ทุกๆเดือน
    คุณกำลังมี ตัวเลขรายได้ "ที่มั่นคง" จากคนที่ตัวเลขรายได้ "ไม่มั่นคง"
    ผมถามหน่อยว่า แล้วใครล่ะ ที่รวยกว่ากัน คุณอยากเป็นแบบไหน

    แล้วถ้าเดือนไหน เกิดป่วย ไม่สบาย ต้องนอนโรงพยาบาล
    ประกันสังคมที่บริษัทมีให้ มันจะดีพอมั้ยครับ
    คุณอยากเข้าโรงบาลเอกชนดีๆ หรือโรงบาลรัฐบาล
    แล้วถ้าไม่มีประกันสังคมล่ะ ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง
    ล่าสุดผมไปนอนโรงบาลมา เดือนที่แล้ว คืนเดียว หมดไปหมื่นนิดๆ
    แล้วจะเอาเงินที่ไหนกิน (ยกเว้นขอพ่อแม่ได้)


    ถ้า เป็นแบบผมล่ะ  เข้ากี่โมง ออกกี่โมง  ตามใจตัวเอง แต่ออกบูธ หาลูกค้าเพิ่มทุกครั้งที่มีโอกาส แค่ไม่เข้าออฟฟิศ เพราะไม่มีเอกสารไรต้องทำ ถ้ายังขายไม่ได้

    เดือนแรกยังไม่เป็น ขายไม่ได้  = 0
    เดือนสอง เริ่มได้นิดหน่อย = 7000
    เืดือนสาม มากขึ้น = 12000
    เดือนสี่ = 18000
    เดือนห้า = 22000
    เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณคิดว่า รายได้ใครจะมากกว่ากันครับ

    โอเคว่าบางเดือน ตัวเลขอาจลดลงบ้าง

    แต่นี่ยังไม่รวมกรณีที่ว่า
    1. ถ้าคุณขยันทำงานทุกวัน ตั้งแต่ 8.00-17.00 แบบงานประจำทั่วไป
    2. ถ้าคุณสามารถสร้างทีมงานขึ้นมาได้อีก แล้วรับค่าบริหารจากการที่ทีมงานของเราขายได้อีก

    (หวัง ว่าตัวเลขที่ยกตัวอย่างมา คงไม่ดูเวอร์จนเกินไป เพราะก็ไม่ได้เพิ่มมากเท่าไหร่ในแต่ล่ะเดือน เพราะความสามารถในการขายยังไงก็ต้องเพิ่มมากขึ้น ตามประสบการณ์
    และผมยังไม่ได้อ้างถึงกรณีที่ว่า ถ้าสมมติเดือนแรกผมเกิดต้องเข้าโรงพยาบาลบ้างล่ะ แล้วจะเป็นไง แต่ ณ ตอนนี้ผมยังขอเงินที่บ้านได้อยู่ เลยไม่มีปัญหาตรงนี้ ถึงจะขายไม่ได้ก็ยังไม่เป็นไร มีเวลาให้เรียนรู้)

    (และยังไม่รวมกรณีที่ผมสามารถสร้างทีมงานไ้ด้อีก แล้วรับค่าบริหารจากลูกทีมอีก แ้ล้วหลังจากเวลาผ่านไป ลูกทีมขยายใหญ่ขึ้น สร้างรายได้ทวีคูณอีก)

    แต่ผมก็เข้าใจว่า บางคนไม่มีเวลามาเรียนรู้ตรงนี้ จึงเลือกที่จะทำงานรับเงินเดือนประจำดีกว่า เพราะเงินที่ได้มาก็ใช้จ่ายหมดตลอดเวลา อันนี้แล้วแต่ แต่ละครอบครัว ละกันครับ  เพราะการที่จะเสี่ยงมาเรียนรู้กับเงินที่ไม่แน่นอน มันก็ไม่คุ้มกัน

    แต่ก็นั่นแหละครับ แล้วแบบแรก มีความมั่นคงกว่า จริงเหรอ
    1. พนักงานทุกคนมีสิทธิ์โดนเลย์ออฟ เมื่อบริษัทจำเป็นต้องลดต้นทุน
    2. ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหน ฝ่ายขาย คือฝ่ายที่นำเงินเข้าบริษัท
      ไม่มีบริษัทไหน เลือกจะเลย์ออฟฝ่ายขาย หรอกครับ
    3. แล้วไหนจะเรื่องเงิน เรื่องปริมาณงาน
    ที่แบบแรก ยังไงคุณก็โดนใช้งานหนัก เพราะเค้าจ้างคุณแล้ว ทำงานมากขึ้น แต่ได้เงินเดือนมากขึ้น มากขึ้นกว่าเดิมแค่ไหนครับ

    แต่แบบผม ผมทำเท่าไหน ก็ได้เท่านั้น
    ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความขยัน ความมีวินัยในตนเอง และความสามารถครับ
    ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
    เราขายเป็น เราก็ได้
    เราบริหารลูกทีมเป็น เราก็สมควรได้ ใช่มั้ยครับ



    อ่านแล้วอาจ งงๆ เล็กน้อย พิมพ์วกไปวนมา ไม่ได้อยู่ในประเด็นเดียวกันทั้งหมด
    แต่มันก็ืคือแนวคิดของผมหลังจากได้เข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้เป็นอย่างแรก เป็นเวลา 3 เดือนครับ

    ข้อความของผม อาจทำให้ใครบางคนไม่พอใจหรือไม่ ผมก็ไม่อาจทราบได้
    หรือถ้าจะมองว่า ผมพูดให้แง่บวกกับงานขายประกันมากเกินไป
    ก็อย่างที่ว่า หลายคนมีอคติกับงานประกันชีวิต ผมก็ขอโทษไว้ก่อนล่วงหน้าละกันครับ ถ้าทำให้ไม่พอใจ

    ขอบคุณครับ

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 04:05:45

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 03:15:29

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 03:14:54

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 03:14:15

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 03:08:51

    จากคุณ : ปลาทองน้อยตากล๊มกลม - [ 1 เม.ย. 52 02:59:23 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com