ขอบทความนี้ จงเป็นอุทาหรณ์อยู่คู่บนโลก อินเตอร์เน็ทสืบไป(แม้ว่าผู้เขียนจะจากโลกนี้ไปแล้ว)ข้อความทั้งหมดนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น--------------------------------------------------------------------- เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนๆหนึ่งกับธุรกิจ MLM เป็นประโยชน์กับทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งสมัคร ผู้ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่และผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาแต่ยังหางานทำไม่ได้---------------------------------------------------------------------ขอให้อ่านให้จบและไตร่ตรองให้รอบคอบ(เขียนเมื่อ ธ.ค. 2548 แต่ก็ยังมีประโยชน์จนถึงอนาคต) คงไม่มีใคร มีชีวิตราบรื่น พบแต่สิ่งที่ดี มีความสุข เพียงอย่างเดียว ชีวิตคนเราต้องเดินทาง ผ่านทั้งความสุข และความทุกข์ การนำความสุขและความทุกข์ที่ผ่าน มาคิดทบทวนล้วนแต่เป็น ประโยชน์เพื่อที่จะค้นพบตัวเอง โดยนำมาเป็นบทเรียน และเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น และบอกเล่าผู้อื่นเป็นธรรมทาน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ผู้เขียนบทความนี้ก็คิดเช่นนี้ จึงได้นำเรื่องราวนี้มาเล่าให้เป็นอุทาหรณ์บทเรียนแก่ทุกท่าน ในสมัยนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักธุรกิจระบบเครือข่ายหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธุรกิจ MLM (ระบบ MLM) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ตัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคสินค้า เช่น ค่าโฆษณา ค่าการตลาด การกระจายสินค้า โดยมีทรัพยากรที่สำคัญ คือ สมาชิกในเครือข่าย หรือ คน นั่นเอง ซึ่งเป็นผู้แนะนำ ขายและจัดส่ง พร้อมทั้งเก็บเงิน และให้บริการลูกค้าด้วย อีกทั้งหากลูกค้าคนนั้นสนใจก็สามารถสมัครเป็นสมาชิกของระบบ และสามารถมีธุรกิจ มีรายได้จากการแนะนำสินค้าแก่คนอื่นๆต่อไป ธุรกิจระบบเครือข่ายนี้ จึงขยายตัวออกไปได้เรื่อยๆด้วยสมาชิก ดังนั้นธุรกิจ MLM จึงเป็นธุรกิจแนวใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ ประสบการณ์ และเงินลงทุนในการทำธุรกิจ สร้างเครือข่ายธุรกิจของตัวเองได้ โดยอาศัยตัวระบบเครือข่าย (ระบบ MLM) และเมื่อตราบใดที่สมาชิกในระบบซื้อสินค้าใช้ และ/หรือ ขายสินค้า ซึ่งทำให้เกิดยอดขาย-ยอดสั่งซื้อขึ้น เครือข่ายธุรกิจนั้นก็จะมั่นคง ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ชีวิตทั้งในด้านดีและไม่ดีในธุรกิจ MLM และอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์แก่คนอื่นๆ ดังนั้นจึงอยากจะขอเรียกตัวเองว่า พี่ น้องๆที่เพิ่งเรียนจบออกมาใหม่ๆ ควรรู้เรื่องนี้ไว้ เพื่อที่จะไม่ได้เสียเงินทองและเวลาอย่างที่พี่ได้ประสบมา เหตุที่ทำให้พี่ อยากเล่าประสบการณ์ชีวิตนี้ พี่คิดได้ถึงความล้มเหลวของชีวิตพี่ เพราะเกิดจากการที่พี่เลิกทำธุรกิจไป ทำให้พี่คิดถึงผู้ที่เป็นหัวหน้าสายงานซึ่งเป็นคนที่สอนให้พี่เข้าใจธุรกิจ MLM ฝึกพี่เป็นพิธีกร ให้พี่กล้าแสดงออก สอนพี่สาธิตสินค้า ฝึกพูดแผนการตลาด และให้กำลังใจพี่มาตลอด พี่อยากจะรู้ว่าขณะนี้ เขาประสบความสำเร็จ ทำธุรกิจไปถึงไหนแล้ว พี่จึงได้โทรศัพท์ไปหาเขา และในระหว่างที่คุยกันทางโทรศัพท์ พี่ได้แกล้งพูดว่า พี่อยากลองกลับ มาศึกษาและทำธุรกิจนี้ดูอีกที แต่เขากลับพูดว่า พี่เป็นคนเรียนเก่งนะ หัวสมองดี ความจำดี ควรเรียนต่อโท เอกให้จบไปเลย เพราะอะไรเขาจึงพูดเช่นนั้น ? เขาได้เห็นแล้วหรือว่าพี่ทำไม่สำเร็จ ทั้งๆที่พี่ได้ทุ่มเทความพยายามและเวลา ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อเขาแล้ว? เขาจึงแนะนำให้พี่ไปหาทางประสบความสำเร็จทางอื่นซึ่งเหมาะสมกับพี่มากกว่า ประสบการณ์ในธุรกิจ MLM พี่ได้รู้จักกับธุรกิจ MLM นี้ ตั้งแต่สมัยที่พี่เรียนชั้นปี 3 เทอม 2 ที่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร พี่ได้ไปฟังบรรยายการสาธิตสินค้า แผนการตลาด และได้ความรู้ว่า ธุรกิจนี้ ให้คุณ (ผู้ถูกชวน) ประสบความสำเร็จก่อน แล้วเรา (ผู้ชวน-ผู้แนะนำ) จึงค่อยประสบความสำเร็จตาม และในตอนท้ายของการบรรยาย มีผู้ประสบความสำเร็จขึ้นมาพูดถึงอิสรภาพ ความสุขในครอบครัว เวลา เงินทอง การท่องเที่ยว และรางวัลที่ได้รับจากการทำธุรกิจนี้ ซึ่งใช้เวลาไม่นานเมื่อเทียบกับความสำเร็จทางอื่นๆ จุดนี้ทำให้พี่สนใจที่จะทำธุรกิจเช่นนี้บ้าง เพราะในขณะนั้นมีค่านิยมยกย่องเด็กที่เพิ่งจบการศึกษา แต่มีเงินมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเป็นลูกจ้างของใคร ตัวพี่เองก็เป็นคนหัวดี เรียนหนังสือเก่งคนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง สาขาที่พี่เรียนอยู่เป็นสาขาเฉพาะทาง ซึ่งมีตำแหน่งงานน้อยจึงอยากหางานอื่นที่มีรายได้ดีบ้าง นอกจากนี้ การที่เราได้เข้ามาเป็นสมาชิก ก็น่าจะทำให้รู้จักสมาชิกคนอื่นๆที่เขาสามารถฝากพี่เข้าทำงานได้ ( แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครฝากงานให้พี่เลย เขาคงคิดว่า เราคงไม่ตั้งใจทำงานให้กับบริษัทเพราะเราคงจะตั้งใจทำธุรกิจ MLM นี้มากกว่าเหมือนที่ตัวเขาเป็น) พี่จึงศึกษาระบบธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ทั้งอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องในเวลาว่าง และเข้าฟังการประชุมในตอนเย็น ช่วงบ่ายที่ไม่มีเรียนพี่ก็จะติดตามหัวหน้าสายงานไปดูงานที่เขาทำ เช่น สาธิตสินค้า อธิบายแผนการตลาด-การสร้างรายได้-การสร้างความมั่นคงจากธุรกิจ แนะนำลูกค้า ปิดการขาย เป็นต้น และตัวพี่เองก็ได้ฝึก สาธิตสินค้า และเล่าแผนการตลาดด้วย บางครั้ง หัวหน้าสายงานให้พี่เป็นพิธีกร หรือเป็นผู้สาธิตสินค้าในที่ประชุม (Center และ Rally) ด้วย ดังนั้น พี่จึงมีหัวหน้าสายงานหลายคนและสมาชิกคนอื่นๆรู้จัก และคอยสนับสนุน ให้กำลังใจ และเห็นว่าพี่สามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM เป็นถึงระดับสูงได้ พี่เองก็คิดว่า เราสามารถทำธุรกิจนี้สำเร็จได้ด้วยความมุ่งมั่นและมีคนคอยให้กำลังใจ ค่อยช่วยเหลือแนะนำอยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อพี่จบการศึกษา จึงไม่ได้หางานประจำทำเลย อย่างไรก็ตาม พี่หาเครือข่ายสมาชิกได้ไม่กว้างขวาง รายได้พี่จึงไม่มาก แต่พี่ก็ยังคงสู้ทำธุรกิจต่อไปอีก 3 4 ปี ด้วยกำลังใจสนับสนุนรอบด้านจนกระทั่งพี่มองไม่เห็นทางที่จะเจริญต่อไปได้และหมดเงินลงทุน พี่จึงตัดสินใจเลิกทำธุรกิจ MLM นี้ 100 % และมุ่งมั่นหางานประจำทำ ดังนั้นพี่จึงไปสมัครงานเป็นพนักงานตามบริษัทต่างๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจในตัวพี่ เพราะรุ่นน้องที่จบการศึกษาออกมาใหม่ ได้รับความรู้ใหม่ๆด้านวิชาการต่างๆที่มากกว่า อีกทั้งตัวพี่ไม่มีประสบการณ์การทำงานมาเลย บริษัทต่างๆคงคิดว่า จ้างเด็กจบใหม่มาดีกว่า พี่ได้กลายเป็นคนตกงาน ขาดความมั่นใจในชีวิต เพราะว่าพี่ไม่มีประสบการณ์ การทำงานในด้านไหนเลย เพราะบริษัทส่วนใหญ่รับคนมีประสบการณ์ หรือรับเด็กที่จบมาใหม่ๆ ที่สำคัญ คือพี่ไม่เคยใส่ใจในเรื่องวิชาความรู้ เพราะพี่ได้เห็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM บางคนไม่ได้มีความรู้สูง เพราะตอนนั้นพี่คิดแต่เพียงว่า เราต้องสำเร็จ เพราะ ถ้าสำเร็จแล้วจะได้ความสุขหลายๆอย่าง อย่างที่ผู้ประสบความสำเร็จเหล่านั้นพูด พี่จึงไม่ได้ใช้เงินและเวลาในการพัฒนาวิชา ความรู้ และความสามารถด้านอื่นๆของตัวเองเลย เวลา 5 ปีช่างเร็วเหลือเกิน พี่ได้มองไปดูเพื่อนๆ บางคนเรียนจบโทมีหน้าที่การงานที่ดีแล้ว บางคนทำงานที่บริษัทเดิมมานานได้เงินเดือนสูงขึ้นเรื่อยๆ ซื้อรถ ซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาท บางคนก็เก็บเงินไว้ลงทุนทำธุรกิจอื่นๆ บางคนได้ไปเที่ยวดูงานที่เมืองนอก พี่เห็นแล้วก็อิจฉาเพื่อนๆเหล่านั้น ส่วนพี่ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินเหมือนเพื่อนๆ ทั้งๆที่ความสามารถของพี่ก็ไม่แพ้เพื่อนๆ เลย แต่การเลือกทางเดินที่ผิดทำให้เส้นทางชีวิตของพี่เปลี่ยนไปจากที่ควรจะเป็น ตัวพี่ไม่เคยไปงานเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนในสาขาวิชาเลยเพราะว่าพี่อายทั้งเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้องซึ่งมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เวลาเพื่อนๆถามถึงพี่ พี่มักจะบอกว่า เพิ่งออกจากงานมา กำลังหางานใหม่ จากเรื่องราวข้างต้น ให้ข้อคิดว่า คนที่ทำธุรกิจ MLM สำเร็จ จะได้ทุกอย่าง แต่คนที่ทำไม่สำเร็จ ต้องเลิกทำธุรกิจ MLM ไป อาจเสียอนาคตทั้งชีวิตแบบพี่ก็ได้ ไม่ต่างอะไรกับเกมชีวิต หากลงทุนแล้ว ไปไม่ถึงจุดหมาย ต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ก็ต้องเสียทั้งเสบียงและเวลาโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมา อีกเรื่องหนึ่ง คือ เมื่อธุรกิจแบบนี้ มีทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของระบบ คือ คน ดังนั้นจึงต้องชักชวน ผู้อื่นให้สนใจธุรกิจ MLM นี้ ด้วยข้อดีของธุรกิจชนิดนี้ต่างๆนานา เช่น สินค้าที่มีคุณภาพ แผนการตลาดที่ยุติธรรม ประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อประสบความสำเร็จโดยไม่ได้พูดถึงข้อเสียของธุรกิจเลย ที่สำคัญผู้ที่ประสบความสำเร็จบางคนที่เป็นผู้ใหญ่ ต้องการสมาชิกเป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่เพิ่งจบมา โดยไม่แนะนำให้หางานทำหรือมีเป้าหมายอื่นๆ ทางดำเนินชีวิตอื่นๆ ทุกวันนี้ พี่สงสารน้องๆ เวลาที่เห็นน้องที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ หน้าใสๆ ยังไม่มีงานประจำทำ เข้ามาทำธุรกิจนี้ไปพลางๆก่อน เพราะว่าถ้าหากไม่สามารถประสบความสำเร็จ ในธุรกิจนี้ได้ ก็จะต้องเสียเวลา เสียเงิน พี่จึงอยากแนะนำน้องๆว่า MLM เป็นธุรกิจที่ดี สร้างรายได้ได้จริง ทำให้คนมีเป้าหมายของชีวิต แต่เมื่อน้องตัดสินใจว่าจะทำ ต้องทำธุรกิจ MLM นี้คู่กับงานประจำด้วย เพราะต้องคิดเสมอว่า มีความสำเร็จ ก็ต้องมีความล้มเหลว เงินทองที่ต้องจ่ายเพื่อสนับสนุนการขาย การเข้าอบรม ฟังบรรยายต่างๆ ก็ไม่ใช่น้อย บางที เงินส่วนนี้อาจจะเก็บไว้สำหรับศึกษาต่อ หรือเรียนเสริมความรู้เดิม ที่มีอยู่แล้ว และควรเก็บออมบางส่วนไว้ด้วย หากเราทุ่มเททำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยคิดว่าเราทำได้ เราต้องสำเร็จ แล้วไม่คิดเผื่อไว้ เราอาจจะสูญเสียเวลาและอนาคตได้ ขอให้น้องไตร่ตรองการทำธุรกิจนี้ และค้นพบความต้องการที่แท้จริง เพราะพี่คิดว่า ความสำเร็จในชีวิตคนเรา ไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน โลกที่เราต้องการจริงๆ อาจจะเป็นโลกใบเล็กๆ ที่มีแต่ความสุข ความช่วยเหลือ และความจริงใจก็พอ สุดท้าย ขอฝากข้อคิดให้กับผู้ที่ประสบความสำเร็จบางคนในธุรกิจ MLM บางประเภทว่า ความสำเร็จที่ได้รับนั้นได้ทำลายใคร หรือสังคมบ้างหรือไม่ เพราะความสำเร็จ ความมั่นคงของคุณอยู่บนความพยายามของผู้อื่น คุณกำลังใช้สิ่งที่คุณได้รับ ล่อลวงให้คนอื่นสร้างความมั่นคงให้กับตัวคุณเอง พี่ยังคงมีกำลังใจอยู่ และคิดจะสู้ชีวิตต่อไป เพราะมีพ่อแม่ที่คอยให้กำลังใจ และศาสนาที่เป็นที่พึ่งพิงอย่างดี พี่เข้าใจว่าเป็นกรรมเก่าของพี่ อนาคตพี่อาจจะต้องทำงานเป็นพนักงานประจำ ร้านสะดวกซื้อ หรือในห้างสรรพสินค้า ไม่ก็อาจจะค้าขายเล็กๆน้อยๆ เช่น น้ำผลไม้ปั่น, ข้าวเปล่า, ขนมครก, หรือหนังสือพิมพ์ โดยการกู้เงินกองทุนหมู่บ้าน พี่ก็จะมีความสุข บนโลกใบเล็กๆอย่างที่พี่ต้องการต่อไป ขอขอบคุณที่ได้อ่านเรื่องราวของคนๆหนึ่ง หวังว่าคงเป็นประโยชน์แม้ว่าจะยาว
จากคุณ : น้องอร - [ 30 พ.ค. 52 16:49:53 A:124.121.185.149 X: ]
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 09:46:27
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 11:13:42
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 19:38:51
แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 52 14:53:39