ความคิดเห็นที่ 1 การแบ่งกลุ่มลูกค้า (หรือที่เรียกว่าการทำ Segmentation) นั้น ทำได้หลายวิธีครับ ขึ้นกับว่าจะใช้ "เกณฑ์" หรือ "ตัวแปร" อะไรเป็นตัวแบ่ง ในลักษณะการแบ่งแบบ A, B+, B .... นั้น เข้าใจว่าโดยทั่วไปใช้เกณฑ์ "ระดับรายได้" เป็นตัวแบ่งนะครับ ... บางครั้งใช้ "เพศ" แบ่งกลุ่ม (เกย์คิง - ซึ่งเป็นเพศชาย + รสนิยมทางเพศ) ... บางครั้งใช้ "ระดับรายได้" (รวยสะบัด) ... บางทีเป็น "รสนิยม" (ชอบเที่ยวไปกินไป) ... บ้างก็เป็น "กลุ่มพฤติกรรม" (เช่น คนถนัดซ้าย ก็มีกีตาร์ดีดมือซ้ายออกมา) โดยทั่วไปไม่มีหลักเกณฑ์แน่ชัด การแบ่งกลุ่ม จะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มสินค้า แต่ละอุตสาหกรรมมากกว่า ... ไม่มีสูตรสำเร็จ จริง ๆ หัวใจของการแบ่งกลุ่ม (Segment) อยู่ที่การหา "ความเหมือน" (Similarity) ในลูกค้าที่ซื้อสินค้านั้น ๆ มากกว่า ถ้าจับได้ว่ากลุ่มไหน มีพฤติกรรมร่วมอย่างไร เราก็จะออกแบบวิธีการทางการตลาดได้เหมาะสม ตรงประเด็นครับ แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 52 01:00:29 จากคุณ : Thinkaholic - [ 15 มิ.ย. 52 00:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คือ ไม่ได้จบการตลาดอ่ะค่ะ แต่เป็นเซลล์อยู่ ก็จะมีการจัดกลุ่มลูกค้าตามที่ จขกท. บอกคือการจัดกลุ่มลูกค้า โดยอาศัย "ความน่าจะเป็น" ช่วยด้วยค่ะ ในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ และก็จะแบ่งเกรดให้ลูกค้า ตามนั้นค่ะ จากคุณ : oh-no1 - [ 15 มิ.ย. 52 10:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ระดับรายได้ A = 100,000 up B+ = 75,000 - 99,999 B = 50,000 - 74,999 C+ = 30,000 - 49,999 C = 10,000 - 29,999 Low = < 10,000 จากคุณ : NaMWhaN - [ 15 มิ.ย. 52 11:00:01 A:110.49.152.157 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตาม #1 เลยครับ ผมว่าขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าว่าคุณจะจับลูกค้ากลุ่มไหน เช่น คุณขายสินค้าประเภท ผงซักฟอก A = บริษัท โรงงาน (ใช้ทำความสะอาดเยอะ) ฺB = แม่บ้าน (ซักผ้าทุกคนในครอบครัว ทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง) C = คนอยู่ดอนโด (ใช้แค่ซักผ้าของตัวเองกับแฟน ทำความสะอาดห้องนิดหน่อย) เรียงตามนี้คือคนใช้ปริมาณเยอะไปน้อย แต่ถ้าเอาเงินมาเป็นตัวจัดลูกค้า ผลที่ได้ก็คงจะเปลี่ยนไปเป็น A = คนอยู่ดอนโด (เงินเดือนเป็นแสน แต่ซักผ้าแค่ของตัวเอง) B = บริษัท (เหมือนข้างบน) C = แม่บ้าน (เหมือนข้างบน) A รายได้เยอะก็จริงแต่ใช้สินค้าคุณน้อย กว่า B , C ก็อาจทำให้แผนที่วางมานั้นได้ผลลัพธ์ไม่เต็มที่ จากคุณ : MlCHAEL - [ 16 มิ.ย. 52 21:51:24 ]