ความคิดเห็นที่ 1 แลัวเราจะหาเงินจากไหนมาชำระหนี้? SME ที่รัก          ทราบว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า SME นะครับ หรือเต็มๆว่า Small and Medium Enterprises ถ้าในเมืองไทยก็เป็นนโยบายเพื่อสนับสนุน ธุรกิจขนาดเล็กและกลางครับ แต่ถ้าให้บอกตามความเป็นจริง ตอนนี้เมืองไทยไม่ค่อยมี SME หลงเหลืออยู่หรอกครับ เหลืออยู่เพียง Large Enterprise กับ poor เท่านั้นละครับ ตัวเลขล่าสุดคนจนในเมืองไทยมีประมาน 10,000,000 คน ครับคิดเป็นประมาน 14.28% ของประชากร ประจวบเหมาะเหลือเกินที่ 1994 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลในช่วงนั้นสามารถกำจัด Small and Medium Enterprises ในเมืองไทยไปได้ โดยทำเพิกเฉยไม่ช่วยเหลือ ไม่แก้กฎหมายบางตัวเพื่อให้ SME อยู่รอด          สาเหตุที่เค้าไม่ช่วย SME นะเหรอครับ ไม่ได้ใส่ร้ายนะแต่ SME เป็นหน่วยเศรษฐกิจหลักที่จะขับเคลื่อนประเทศต่อไป SME สนับสนุน การค้าแบบเสรีเพื่อการแข่งขันทั้งด้านราคาและคุณภาพ เมื่อขาด SME ก็จะเหลือเพียง Large Enterprise เท่านั้น เมื่อเกิดช่วงว่างระหว่างความรวยและจน โดยขาด SME จะทำให้เข้าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของ keynes ที่ว่าไว้ว่า เมื่อเกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนชั้นบนกับชั้นล่าง ช่องว่างนั้นจะถูกเติมเต็มด้วย SME แต่ถ้าขาด SME ช่องว่างนั้นจะกว้างขึ้นเรื่อยๆจนไร้ขีดจำกัด         เมื่อเกิดความเลื่อมล้ำสิ่งที่จะเกิดตามมาเหรอครับ คุนสามารถเข้าครอบงำประเทศได้โดยง่าย ในเมื่อคุนมีเอี่ยวกับ Large Enterprise และไม่มี SME ในระบบ คุนจะทำอะไรทุกคนก็ต้องเกรงใจคุน บวกกับมีคนจนถึง 14.28% ของประชากร การที่จะฉ้อโกงทางการเลือกตั้งก็จะทำได้ง่ายขึ้น         การให้การศึกษาไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ซึ่งถูกพูดโดยหลายๆฝ่าย การให้การศึกษากลับทำให้คนจนเหล่านั้นช้ำใจมากขึ้นเพราะรู้ทั้งรู้แต่ไม่สามารถทำอะไรได้         ตัวอย่าง         เป็นระบบการกินเป็นวงกลมที่ผลร้ายกลับไปสู่คนจน เริ่มด้วยหลัง วิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อขาด พ่อค้าคนกลางหลายๆราย (SME) เหลือแต่นายทุนเจ้าใหญ่สิ่งเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด เกษตรกรต้องเช่าพื้นที่เหล่านั้นทำการเกษตรเมื่อได้ผลผลิตจำต้องขายให้เจ้าของนายทุนในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง (ทำไมเค้าไม่ไปขายเองนะเหรอครับถ้าไปขายเองแล้วนายทุนไม่ให้เช่าที่ทำต่อแล้วเค้าจะเอาอะไรกิน) นายทุนนำไปขายให้กับรัฐบาลตาม นโยบาลประกันราคาผลผลิตการเกษตรในราคาที่สูงกว่า รัฐบาลนำไปปล่อยต่อในราคาที่ถูกเนื่องจากรับของมาเยอะและจะเสียในไม่ช้า นายทุนกลับเข้าไปซื้อของจากรัฐบาล นำไปขายในตลาดโลกในราคาที่แพงกว่า (ทำไมนายทุนไม่ปล่อยออกตลาดโลกเองเลยละ หนีภาษีครับ นายทุนจะเข้าไปเป็นนายหน้าให้รัฐบาลในการขายออกตลาดโลก ทำให้ไม่โดนภาษี) ดังนั้นเมื่อไม่เสียภาษี คนที่เดือดร้อนก็เป็นคนจนละครับ สวัสดิการต่างๆที่ควรจะได้รับ เงินกู้ที่ดอกเบี้ยต่ำที่ควรจะมี ต่างๆก็จะลดน้อยลงไปทำให้ช่องว่างกล้างขึ้นไปอีก และจะกว้างขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะมีใครไปสั่นคลอนระบบดังกล่าง                 สุดท้ายนี้ทางแก้คงต้องหวังพึ่งเหล่าเยาวชนที่กล้าจะทำอะไรเพื่อส่วนรวม เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง และอะไรๆดีคงเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคตครับ จากคุณ : T-E-N-A - [ 21 มิ.ย. 52 20:22:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โอ้โฮ.แสดงว่า ช่วงรัฐบาลทักษิณ หนี้สาธารณะก็ไม่ได้ลดลงนะซีครับ เห็นว่าชำระ IMF ได้หมด แต่หนี้สาธารณะนี้ จะรวมหนี้ภายในประเทศ เช่น พันธบัตร หรือ กู้จากธนาคารในประเทศหรือเปล่าครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 21 มิ.ย. 52 20:41:45 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย จากคุณ : the little white boy - [ 21 มิ.ย. 52 22:00:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เอาตรรกะ แบบนี้มาใช้ใน สังคมโลก คงไม่ได้หรอกครับ เพราะมันเป็นตรรกะ ของพวกหน้าด้าน ไม่มีความคิดน่ะ จากคุณ : Knight - [ 21 มิ.ย. 52 22:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณคุณ T-E-N-A ค่ะ ที่นำเรื่องที่เป็นประโยชน์แบบนี้มาแชร์กัน อ่านแล้วก็เศร้าใจค่ะ "sad, but true!" จริงๆ จากคุณ : ผ่านมา - [ 22 มิ.ย. 52 08:20:00 A:115.129.0.68 X: TicketID:166806 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่เข้าใจว่าจะขยันกู้ไปเพื่อ ??? ทำไมไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง  มีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น  มีเงินเหลือเก็บบ้างตามสมควร  เมืองไทยทำไมเป็นแบบนี้ว้า จากคุณ : LimitBreak - [ 22 มิ.ย. 52 14:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คนเราต้องมีความหวังและคิดบวกใช่มั้ยครับ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ผมไม่กล้าหวังอะไรกับคนรุ่นผมหรือรุ่นต่อๆไปอ่ะ จากคุณ : No Nothing - [ 22 มิ.ย. 52 14:34:40 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่กู้ก็ไม่มีทุนไปทำธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น บางคนกู้เพื่อไปพยุงสิ่งที่มีอยู่ไม่ให้้ล้มครืนลงมา ซึ่งสวนทางกับระบบเศรษฐกิจพอเพียงอย่างสิ้นเชิง จากคุณ : Ottopong - [ 22 มิ.ย. 52 14:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กระทู้แนะนำด้วย 9 คห. โอ้... จากคุณ : หนอนกลม - [ 22 มิ.ย. 52 17:25:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รู้จักไหม? ไม่รู้ แต่รู้สึกมันขี่คอผมอยู่เนี้ย มิน่า เมือย ยังไงไม่รู้ จากคุณ : crccsgt - [ 22 มิ.ย. 52 19:34:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อเกิดความเลื่อมล้ำสิ่งที่จะเกิดตามมาเหรอครับ คุนสามารถเข้าครอบงำประเทศได้โดยง่าย ในเมื่อคุนมีเอี่ยวกับ Large Enterprise และไม่มี SME ในระบบ คุณจะทำอะไรทุกคนก็ต้องเกรงใจคุน ข้อความดังกล่าว พวก CP ต้องไม่ปลื้มแน่ๆ  5555 ที่ผ่านมามีอยู่บ.เดียวที่ไม่กระทบกับการเมือง เศรษฐกิจ หรือโรคระบาด ไข้หวัดนก เราไม่ฆ่า ไข้หวัดหมู เราให้ปิดข่าว จากคุณ : fete - [ 22 มิ.ย. 52 20:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คนรุ่นนี้ยังไม่กล้าทำอะไร แล้วไอ้รุ่นต่อจากเรามันจะไปทำอะไรได้ล่ะ จากคุณ : ไม่รู้จะพูดยังไงให้เข้าใจ - [ 22 มิ.ย. 52 20:10:24 A:61.90.90.87 X: TicketID:213384 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอถามเป็นความรู้อีกหน่อย ถ้าเรามีหนี้สาธารณะน้อยลง เราจะมีเงินไปลงทุนสร้างระบบสาธารณูปโภค เช่นพวกไฟฟ้า ประปา ถนนลาดยาง รถไฟ รถไฟฟ้าอะไรพวกนี้เพิ่มขึ้นใช่มั้ย? จากคุณ : Pong Wim - [ 22 มิ.ย. 52 20:16:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นรัฐบาลบอกว่า จะทยอยๆใช้เงินนี่ครับ 8 แสนล้าน ไม่ได้ใช้ปีสองปีหมด ในปีสองปีจะใช้อยู่ประมาณ 2-3 แสน ถ้าจำไม่ผิดนะฟังตอนที่เขาอภิปราย คุณกรณ์ พูดเอง คือตอนนั้นผมก็กำลังสงสัยว่าทำไม ไม่ออกพันธบัตรฟะ จะกู้ทำไม พอดีเขาก็กำลังตอบคำถามนี้พอดีเลยจำได้ จากคุณ : พีพีจอมซ่า - [ 22 มิ.ย. 52 20:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จากเนื้อหาของกระทู้ รู้สึกจะมีอยู่สองประเด็น คือเรื่องหนี้สาธารณะ กับเรื่องการสนับสนุน SME นะครับ แต่เอาเรื่องหนี้สาธารณะก่อน ผมว่าที่กล่าวมายังมีความเข้าใจผิดๆ เรื่องหนี้ สาธารณะอยู่มาก แม้ว่าข้อมูลจะมาจากเพื่อนที่เรียนปริญญาเอก อยู่เมืองนอกก็ตาม นักวิชาการไทยหลายคนก็ชอบพูดถึงหนี้สาธารณะในลักษณะหนี้ต่อหัว ให้ความรู้สึกเหมือนคนไทยทุกคนเป็นหนี้ไปด้วย ซึ่งจะว่าใช่ก็ใช่ แต่ในเชิง ปฏิบัติแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะตัวเลขหนี้ที่ว่านี้ ไม่มีใครสามารถมาทวง กับคุณ(ประชาชน)ทุกคนได้ มีแต่รัฐบาลมีหน้าที่หามาใช้คืนต่างหาก การเอามาเปรียบเทียบหนี้ต่อหัว จึงทำให้เกิด"ความรู้สึกร่วม"ในแง่ที่ไม่ อยากให้รัฐบาลไปก่อหนี้สาธารณะมากกว่า และแท้ที่จริงแล้ว หนี้สาธารณะก็ไม่ได้ไม่ดีเสมอไป หรือไม่ได้ดูกันที่เฉพาะ ตัวเลขเสมอไป แต่ต้องดูและเข้าใจภาพรวมของทั้งระบบเศรษฐกิจเสียก่อน เช่น กู้มาทำอะไร ทำให้เกิดกำไรหรือดีต่อเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ อย่างไร แล้วมันเสี่ยงไปไหมกับจำนวนเงินกู้(กู้หนี้เกินตัว) ที่จริงประเทศที่มีหนี้มากประเทศหนึ่งก็คือ ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา นั่นเอง หนี้สาธารณะมันก็เหมือนหนี้บริษัทที่กู้เอามาลงทุนเพื่อทำกำไรในภายหลัง นั่นเอง หนี้สาธารณะก็คือการที่รัฐบาลไม่มีเงินพอ ก็กู้เอามาสร้างสาธารณู ปโภคพื้นฐานหรือสนับสนุนธุรกิจของประเทศให้ก้าวหน้า โดยไม่ต้องรอ แบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนใช้เงินสด ฉะนั้นทั้งหมดแล้ว การดูต้องดูถึงแผนของทั้งระบบ ไม่ใช่ดูแต่ตัวเลขหรือ เข้าใจเพียงผิวเผิน ดูไปถึงกลยุทธ์ที่วางเอาไว้นั้น ว่าทำเอาไว้ดีเพียงใด (อย่างไรก็ตาม มันก็มีความเสี่ยงเหมือนทำธุรกิจนั่นแหละ เพราะบางที คิดวางแผนเอาไว้จริง แต่ทำไม่ได้ตามที่คิดวางแผนเอาไว้) แล้วหนี้สาธารณะก็ไม่เหมือนหนี้เอกชนที่หากไม่มีปัญหาใช้แล้วเขาจะมา ฟ้องยึดทรัพย์ยึดแผ่นดินนะครับ เพียงแต่ว่าหนี้จะยังคงอยู่อย่างนั้น และ ดอกเบี้ยอาจทบพอกพูนขึ้นไป (บางทีก็มีเจรจาประนอมหนี้ ลดหนี้ได้) แต่ที่เสียมากๆ จะเป็นเรื่องเครดิตในการกู้ครั้งต่อไป หรือเครดิตในการ ทำธุรกิจการค้ากับนานาประเทศมากกว่า พูดง่ายๆ ถ้าเครดิตเสีย ก็ยิ่งถอยหลังเข้าคลอง ไม่สามารถพัฒนาทัดเทียมประเทศต่างๆ ได้นั่นเอง นั่นคือ ความเข้าใจเรื่องหนี้สาธารณะนะที่ถูกต้องนะครับ ส่วนเรื่องที่เหลือ เป็นเรื่องลงลึก ต้องเข้าใจอีกหลายประเด็น จึงจะวิเคราะห์ได้ดี ได้ถูกครับ ว่ากู้มากไปหรือไม่ กู้แล้วเอามาใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 22 มิ.ย. 52 22:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 โฆษณาแต่จะกู้เงิน โยนหินถามทาง ไม่เห็นชี้แจงเลยว่าจะเอาเงินไปทำอะไรบ้าง สร้างประโยชน์อะไร breakdown ให้เห็นซะหน่อยก็ไม่มี จากคุณ : mingpoo - [ 22 มิ.ย. 52 22:29:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 โหวต ให้สามครั้ง ให้กิ๊ฟ เจ้าของกระทู้ไปสองอัน.... โดนใจมากๆครับ อธิบายได้เข้าใจง่ายสุดๆ print ไปแปะแถวบ้านนอก ซักหมื่นแผ่นเป็นไง ใครอยากทำเปิดบัญชีมา เดี๋ยวผมช่วยสมทบทุน.... ความคิดเห็นที่ 14   จากคุณ : Pong Wim ผมขอลองเสนอความคิดว่า... ทำแบบ รถไฟฟ้า หรือ โทลเว ดอนเมือง ก็น่าจะได้นิครับ... ให้สัมปะทาน เอกชน ในระยะเวลาหนึ่ง.... รัฐบาลไม่เสียเงิน... แถมระยะยาว ได้เป็นทรัพยสินของประเทศ... ผู้ใช้โดยตรง (คนขึ้นโทลเวย์, คนขึนรถไฟฟ้า... เป็นคนรับภาระ) ใช้เองจ่ายเอง ก็ถูกแล้ว... คนไม่ใช้ไม่ต้องจ่าย หรือช่วยจ่ายน้อยหน่อย ก็สมเหตุสมผลดีออก.. จากคุณ : MESMERIC - [ 22 มิ.ย. 52 22:33:42 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มารออ่านต่อ เผื่อมีคนอธิบายเพิ่ม :) จากคุณ : Baby Bean - [ 22 มิ.ย. 52 22:34:09 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รัฐบาลจะลงทุนเพื่อให้ ประเทศพ้น เศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่สุดครับ งบประมาณปี 2553 http://www.mee-sook.com/news/61239.htm การศึกษา            350,556 ล้านบาท   20.xx%    ของทั้งหมด งบการท่องเที่ยว        4,989 ล้านบาท     0.03%  ของทั้งหมด งบกระทรวงพาณิช     7,416 ล้านบาท     0.05%  ของทั้งหมด คือไม่กะหายรายได้เข้าประเทศกันเลยหรือครับ จากคุณ : Real_Do - [ 22 มิ.ย. 52 22:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ยินดีให้กู้ ถ้ามันจะนำมาซึ่งเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน... จากคุณ : น้ำค้างเดือนเก้า - [ 22 มิ.ย. 52 22:41:19 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผมเห็นต่างกับ คห.16 นิดหน่อยนะครับ  ถือว่าแลกเปลี่ยน ประเทศ ก็เหมือนคน คนที่อยากปลูกบ้าน แต่งงาน ซื้อรถ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ในสวนอยากมีสระน้ำ มีสวนดอกไม้  อะไรๆ ก็ว่าไป ประเทศ ก็เหมือนคน  รายได้มาจากภาษี รายได้มาจากค้าขายกับต่างประเทศ รายได้จากภาคบริการ  เอาคนต่างชาติมาเที่ยว ปีๆนึงประเทศมีรายได้  หัก รายจ่าย เป็นงบประมาณแต่ละปี โจทย์อย่างหนึ่งที่รัฐต้องทำเหมือนต้องมนต์คือ ให้เศรษฐกิจมันโต GDP  ( Y = C + I + G + (X-M)) รัฐชอบใช้ G (งบประมาณรัฐ) เพื่อกระตุ้น GDP (เพราะ I ไม่เคยได้กระดิก  เอกชนเจอการเมืองแบบนี้ก็เผ่นหมด C ประชาชน อย่าว่าแต่จะใช้เลย  แค่ไม่ให้ตกงานก็บุญคอดๆ) ดังนั้น รัฐจึงมักจัด งบประมาณ  ขาดดุล  เสมอ ประเทศ ก็เหมือนคน ถ้าขาดดุล นั่นหมายถึง ติดลบ  หรือใช้เงินเกินตัว (เพื่อกระตุ้น GDP) ส่วนที่เกินก็ต้องหามาโปะ   มันก็ต้องกู้ ถามว่ารัฐจัดงบแบบนี้ผิดไหม  ผมบอกเลย "ไม่รู้เฟ้ยยย!!" 555 ล้อเล่นครับ มันก็ว่าไปตามหลักในตำราละเนาะ เพราะถ้าไม่ทำอะไรเลย GDP ติดลบ -10%  ซัก  3  ปี   รับรองว่าแนวโน้มโมเมนตัมเฉื่อยลงคลองเข้าสิงแน่ ไม่อยากออกนอกเรื่องไปไกล กลับมาที่หนี้สาธารณะ เท่าที่จำได้  มันไม่ใช่เฉพาะหนี้ในส่วนที่รัฐกู้โดยตรง  แต่นับรวมเอา ก้อนที่รัฐมีหน้าที่จ่าย  โดยที่คนกู้เป็น  คนอื่นในร่างทรงของรัฐ อย่าง รัฐวิสาหกิจ (ถ้าผิดขออภัยมณี) ไอ้การกู้ทั้งหลาย  เปรียบก็เหมือนคน  การใช้เงินที่มากกว่ารายได้มันก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าจะอยากกระตุ้นเศรษฐกิจ อยากจะให้ประเทศมันโต มันขยาย แต่พี่ครับ.. เคยเห็นคนซื้อโน่น นี่ นั่น จนวันนึง ดอกเบี้ยมันท่วมหััวไหมครับ แต่พี่ครับ.. เราทะยอยมีทีละอย่างดีไหมครับ แต่พี่ครับ.. พี่ไม่คิดจะหาเงินแล้วใช่ไหมครับ แถวบ้านผมเห็นเงินเดือนเขาไม่พอ เขาก็ไปขับแท็กซี่ คนเมียก็เก็บผักบุ้งไปขาย แต่พี่ครับ.. พี่เล่นกู้ลูกเดียวเลยนะครับพี่ (พี่ ผมหมายถึงประเทศไทย นะครับ 555) แน่นอนครับ  ประเทศเรา การเมืองแบบนี้ อย่าหวังให้มีใครมาสร้าง competitive advantage  หรือ  ความได้เปรียบในการแข่งขัน เชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แบบระยะยาว ไม่ต้องนับ corruption ที่กัดกินประเทศ จนเหมือนคนที่เป็นมะเร็ง ไม่ต้องนับ นักการเมืองคุณภาพต่ำ ที่เก่งพูดหาเสียงเป็นมาเฟีย แต่ไม่รู้วิธีบริหาร จนเหมือนคนที่เป็นง่อย เอาแค่พี่ไม่ต้องกัดกัน... ไม่ต้องทะเลาะกัน... ขอให้เด็กมันหายใจบ้าง โตขึ้นมามันจะได้ไม่เป็นทั้งมะเร็งและง่อยเหมือนอย่างที่เป็นทุกวันนี้ (ผมขออภัยทุกท่านที่ป่วยหรือไม่สบายทั้งสองโรคนะครับที่นำมาใช้เปรียบเทียบ) ประเทศเราก็ไม่เคยมีเงินเข้า  แต่อยากใช้เงินครับพี่น้อง... สมมติ โครงการรถไฟฟ้าเทพ   ล้านล้าน (1,000,000,000,000)บาท ถ้าขืนรอเงินได้จากภาษีบวกสุทธิจากส่งออกหักนำเข้า บวกรายได้ทุกทาง หักรายจ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละปี อีกกี่ปีถึงจะได้ถอย รถไฟฟ้าเทพ ป้ายแดงซีรี่ส์5  ออกมาโชว์เพื่อนบ้าน หลังจากเปรียบเทียบไปแล้ว ทีนี้ รู้ไหมครับ  เวลาคนเป็นหนี้มากๆ จะเจออะไร แน่นอนว่าภาระดอกเบี้ย  (ไม่มีใครให้กู้โดยหวังดอกเบี้ยขำๆ หรือบริจาค) แน่นอนว่าไม่มีการทวงชนิดกระโดดถีบ รุมกระทืบ ปังตอฉับๆ แต่คนเป็นหนี้  อิสระต่ำ  คุณต้องเป็นทาส เจ้าหนี้ (ข้างล่างมีกระทู้หนึ่งที่บอกเรื่อง วอเรน บัฟเฟต์ ลองอ่านดู) ต่อไปจะทำอะไรก็ไม่ยืดหยุ่น  อีกหน่อยหาเงินไม่เป็น ส่งออกไม่ได้ จะกู้อีกก็เริ่มตึง  วงเงินในบัตรเริ่มเต็ม ก็เรียกเก็บภาษีหนักๆเข้าว่า  เอาเครดิตมาขายประชาชนออก bond สัก 15 ปี สรุปขี้เีกียจเขียนแล้วครับ ผลเสียมันมีแน่  แต่คนพูดน้อย   คนกลัวเยอะ  ยิ่งกลัวมาก ยิ่งพูดความจริงได้ยาก คนกลัวเพราะ คนตี(ประเด็น)  ขาดสติ  ในการคิด และเป็นเหยื่อโดยไ่ม่รู้ ก็ว่ากันไป จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก - [ 23 มิ.ย. 52 00:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เป็นกระทู้แนะนำที่ข้อมูลน้อยมาก ผมว่าปัจจุบันเค้าก็สนับสนุน SMEs อยู่นะครับ ..... หรือผมคิดไปเอง ? จากคุณ : ตัวตลกจมูกแดง - [ 23 มิ.ย. 52 00:30:00 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เราว่าเค้าสนับสนุน SME แต่ปากนะเจ้า ร้านของแม่ข้าเจ้าได้เป็น SME ตัวอย่าง  ยังไม่เคยเห็นช่วยไรเลยสักอย่าง  ดิ้นรนเอาเองทั้งน้านนนนนนนนนนน  จะกู้เงินทียากเย็นแสนเข็ญ -*- จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 23 มิ.ย. 52 01:24:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นด้วย กะ คห.7 นะ ปากบอกทำตามนโยบาย เศรษฐกิจพอเพียง แต่ดันสร้างหนี้เพิ่ม = ='' สู้หาวิีธีนำเงินเข้าประเทศดีกว่าไม๊ จากคุณ : ohjin15 - [ 23 มิ.ย. 52 07:30:58 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเสนอความคิดเห็นในมุมต่างๆ นะครับ โดยเฉพาะคุณ Jimmy Walker มี่เพิ่มมุมมองในการคิดเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ และคุณ วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก  ที่ช่วยอธิบายมุมมองที่แตกต่างอย่างมีเหตุ มีผล วัตถุประสงค์ ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เพราะอยากให้คนที่มีความรู้ ได้นำความรู้ออกมาแบ่งปันกัน มาช่วยกันวินิจ และวิเคราะห์ กับสภาพปัญหาเศรษฐกิจของไทยเราในปัจจุบัน ทุกวันนี้ประชาชนได้ฟังข่าวสารจากนักการเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่มีใครมาช่วยอธิบายเลยว่าทำไมรัฐบาลแต่สมัยถึงออกนโยบายมาอย่างนั้น จริงๆ แล้วผมเองไม่ได้ศึกษามาทางด้านเศรษฐศาสตร์หรอกครับ จะอยู่ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมซะมากกว่า แต่ก็อยากเรียนรู้ในเรื่องเศรษฐศาสตร์เพื่อจะได้มองเห็นภาพรวมของสังคม และนำข้อมูลมาประกอบการวิจัยเพื่อพัฒนาต่อไปครับ อยากเชิญชวนทุกท่านเสียสละเวลาแบ่งบันข้อมูล เพื่อสังคมที่ดีนะครับ แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 52 09:20:44 จากคุณ : T-E-N-A - [ 23 มิ.ย. 52 07:49:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณ สำหรับบทความดี ๆ แบบนี้นะครับ ... ^    ^ จากคุณ : D_YONG - [ 23 มิ.ย. 52 09:13:39 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รายละเอียดของหนี้สาธารณะในแต่ละปี ชมได้ที่นี่ครับ http://www.pdmo.mof.go.th/pdebte.php?ptype=dob ที่มา. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และความหมายของหนี้สาธารณะ โดยละเอียดครับ http://www.mof.go.th/pdmo/pdf/publicdebt.pdf แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 52 09:29:36 จากคุณ : T-E-N-A - [ 23 มิ.ย. 52 09:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 29 งืม ๆ จะยังไงก็ตาม เป็นหนี้ ก็ไม่ดีทั้งงั้นแหระครับ คงได้แต่หวังว่าชาตินี้จะได้นักการเมืองดี ๆ สักชุดมาบริหารประเทศสักชุดนึง (ไม่ขอมาก ขอแค่ชุดเดียวสัก 8 ปี) ^__^ จากคุณ : BiGTeDDy - [ 23 มิ.ย. 52 10:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 23 มิ.ย. 52 11:40:45 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มุมมองของผมนะครับ (ขอย้ำอีกทีว่ามุมมองของผม) ผมมองว่าตอนนี้การที่รัฐบาลจะหารายได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญมากมายครับ เพราะว่าด้วยสภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันนี้ แทบทุกประเทศมหาอำนาจก็เกิดวิกฤติด้วยกันทั้งนั้นครับ ประชาชนในประเทศเหล่านั้นก็จะมีเงินในกระเป๋าลดน้อยลง ส่งผลต่อการบริโภคและการท่องเที่ยวให้ลดน้อยลงด้วย ดังนั้นเราจะกระตุ้นตลาดภายนอกเพียงใด ก็ใช่ว่าจะกลับมาดีเหมือนก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครับ (การท่องเที่ยวกว่าจะฟื้นคงยากมากๆเพราะจากทั้งการปิดสนามบินและสงกรานต์จลาจล) (ดังนั้นการเพิ่ม X อยากมากๆ) ไอ้ครั้นจะกระตุ้นประชาชนภายในก็ได้ไม่ดีเท่าที่ควรอีก เพราะประชาชนภายในก็เงินในกระเป๋าน้อยลงจากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากภายนอก (C ก็ยากอะ) ส่วนกระตุ้นให้ภาคเอกชนมาลงทุน ก็คงจะยากอีกเช่นกัน เพราะคงไม่มีเอกชนหน้าไหนกล้ากระโดดลงมาท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ (I เหรอ ก็เอกชนไม่มั่นใจนิ แล้วจะเพิ่มได้ไงหว่า) ภาครัฐจึงต้องทำการกระตุ้นเอง โดยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐขึ้นให้มากกว่าเดิม เพื่อให้ GDP เพิ่มขึ้น และเงินจะหมุนไปเรื่อยๆ คนก็อาจจะตกงานน้อยลง แต่ตอนนี้รัฐก็มีรายรับไม่เพียงพอกับรายจ่ายเพราะเก็บภาษีได้น้อยลง แล้วทีนี้จะทำไงดีล่ะ หารายได้จากการส่งออกและท่องเที่ยวก็ยากเหลือเกินเพราะต่างชาติกระเป๋าก็แฟบ เลยต้องหันมากู้เงินแทน แหะๆๆๆๆ (คงต้องกระตุ้น G แหละ เพราะกระตุ้นตัวอื่นไม่ได้แล้วนิหน่า) ผมว่าดีนะ กับการกู้เงินนี้ในช่วงนี้อะ แต่ผมมองว่ารัฐควรจะเอามาใช้ในการสร้างงานให้ได้มากที่สุดครับ เช่นการทำโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆเช่น การสร้างรถไฟฟ้า การสร้างรถไฟฟ้ารางคู่ในบางช่วง การสร้างสถานีอนามัย การสร้างโรงเรียน ฯลฯ แล้วการก่อสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศด้วย วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะขายได้ด้วย ทำให้เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไปให้ประชาชน แหะๆๆๆ แต่ถ้าการกู้เงินครั้งนี้ เป็นการกู้เงินเพื่อเอาเข้ากระเป๋าของนักการเมือง ผมก็ขอประณามครับผม ปล. ผมไม่ค่อยซีเรียสกับการกู้เงินในวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ครับ แต่ผมซีเรียสกับการใช้เงินมากกว่า (แต่ห้ามกู้เกินตัวนะคร๊าบบบบ) ปล2. อยากให้ประเทศไทยมีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานดีๆแบบต่างประเทศบ้างจังครับ ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ จากคุณ : เด็กไม่รู้ครับ - [ 23 มิ.ย. 52 13:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แล้วคุณหล่ะรู้จักดีแค่ไหน จากคุณ : เนเน่จัง (naymora) - [ 23 มิ.ย. 52 14:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 33 >>  ภาระหนี้สินย่อมตกแก่ลูกหลาน ถ้าหากกู้มาเพื่อใช้จ่ายในการบริโภค ในกรณีที่รัฐบาลทำการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศมาใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในปัจจุบัน ภาระของการก่อหนี้ดังกล่าวย่อมตกแก่ลูกหลานในอนาคต กล่าวคือ ในขณะที่รัฐบาลกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายนั้น คนที่อยู่ในรุ่นนั้นจะเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายของรัฐบาล แต่ในขณะที่ถึงเวลาต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในอนาคต คนรุ่นต่อไปหรือรุ่นลูกหลานต้องเป็นฝ่ายเสียภาษี แล้วส่งไปชำระหนี้ต่างประเทศ ซึ่งเท่ากับว่า จำนวนทรัพยากรที่มีเหลือสำหรับการบริโภคและการลงทุนของคนในรุ่นนั้นมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น คนรุ่นลูกหลานจึงเป็นผู้แบกรับภาระของหนี้สินที่คนรุ่นก่อนได้ก่อไว้ >> ภาระหนี้สินอาจจะไม่ตกแก่ลูกหลาน ถ้าหากกู้มาเพื่อใช้ในการลงทุนที่ให้ผลประโยชน์คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ในกรณีที่รัฐบาลกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้จ่ายในการลงทุน และการลงทุนแต่ละโครงการนั้นก็ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ากับเงินที่ใช้ในการลงทุนนั้น ในกรณีเช่นนี้ การกู้ยืมจากต่างประเทศก็จะไม่เป็นภาระแก่ลูกหลานในอนาคต ตรงกันข้ามคนรุ่นหลังอาจจะเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์เนื่องจากคนรุ่นก่อนได้ทำการลงทุนไว้ให้ จากคุณ : ดีอาร์ (๛จูล่ง๛) - [ 23 มิ.ย. 52 14:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เป็นหนี้   กรณี 8 แสนล้านนี้    ไม่น่ากลัว    ที่น่ากลัว   คือ  คนใช้เงินมากกว่า   เพราะคนของเรา   เราก็รู้ๆ กันอยู่. เอาใจช่วยประเทศ  ละกัน. จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. - [ 23 มิ.ย. 52 15:47:58 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ประเด็นที่ 1 ตาม มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 “หนี้สาธารณะ” หมายความว่า หนี้ที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจกู้ หรือหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยกระทรวงการคลังมิได้ค้ำประกัน สรุปคือ หนี้สาธารณะ ได้แก่ 1.หนี้ที่กระทรวงการคลังกู้ทั้งในและต่างประเทศ 2.หนี้ที่หน่วยงานของรัฐกู้ทั้งในและต่างประเทศ 3.หนี้ที่รัฐวิสาหกิจกู้ทั้งในและต่างประเทศ 4.หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันทั้งในและต่างประเทศ แต่ไม่รวมถึงหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐ ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน ประโยคแรกของ จขกท ก็ผิดอย่างร้ายแรงแล้วท่าน!! ท่านเข้าเวปที่ท่านทำลิ้งค์ไว้จิงอ่ะเปล่า ประเด็นที่ 2 การกู้เงินคืออะไร?... มันก็ครือ การกู้เงินนะสิฟร่ะ แล้วการออกพันธบัตรคืออะไร...มันก็คือ การกู้เงินอยู่ดีอ่ะ เนื่องจาก มันเป็นการที่การที่หน่วยงานหนึ่งๆ (จะกระทรวงการคลังหรือรัฐวิสาหกิจก็ตาม) ระดมเงินจากประชาชนหรือนักลงทุนมา โดยออกกระดาษใบหนึ่งที่สำแดงว่า ท่านผู้ซื้อพันธบัตร มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ และคนที่ออกพันธบัตรให้ มีฐานะเป็นลูกหนี้ ซึ่งเมื่อถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนลูกหนี้คนนี้ ยินดีจะจ่ายเงินต้นคืนให้ท่าน โดยในขณะที่เราทั้งสองเป็นหนี้กันอยู่นั้น ลูกหนี้ตาดำๆคนนี้จะจ่ายดอกเบี้ยให้ท่าน พันธบัตรก็คือการกู้เงินอ่ะ.... แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 52 15:55:36 จากคุณ : เนเน่จัง (naymora) - [ 23 มิ.ย. 52 15:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เดี๋ยวนี้มีคนรู้ไม่จริงมาตั้งกระทู้บ่อยนะ... จากคุณ : nunununu - [ 23 มิ.ย. 52 16:18:09 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ต่อๆๆ ประเด็นที่3 ถ้าท่านเป็นรถเข็นขายข้าวแกงมีรายได้วันละ 1,000 บาท ท่านกู้เงินเพื่อใช้จ่ายสำหรับซื้อผัก หมู เครื่องแกง วันละ 500 บาท ฮืม..ก็ดูเหมาะดีนะ ต่อมาท่านทำข้าวแกงสุดเริ่ด...อร่อยมาก ท่านเปิดเป็นร้านขยายสาขาใหญ่โตมีรายได้วันละ 10,000 บาท แต่ท่านจะยังกู้เงินวันละ 500 อย่างงั้นรึ? ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อ10กว่าปีก่อน...เอาซักปี 2540 ละกันประเทศไทย มี GDP เท่ากับ 4,700พันล้านบาท มีหนี้สาธารณะ 1,600 พันล้านบาท ปัจจุบันปี 2552 ประเทศไทย มี GDP เท่ากับ 9,100 พันล้านบาท มีหนี้สาธารณะ  3,690 พันล้านบาท มันไม่เหมาะสมตรงไหน? ไม่ได้บอกว่าเป็นหนี้มันดี แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นหนี้มันไม่ดี จากคุณ : เนเน่จัง (naymora) - [ 23 มิ.ย. 52 16:19:43 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตัว เลขจีดีพีไตรมาสแรกของปี 2552 อยู่ที่ -7.1% เป็นอัตราหดตัวติดลบมาก ต่ำสุดในรอบ 12 ปี ถ้าผ่านกม.กู้เงินอีก 800,000 ล้านบาทจะก่อหนี้จำนวนมากในอนาคต จะทำให้ยอดหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มจาก 37% เมื่อต้นปี 2552 เป็น 60% ในปี 2555 จะทำให้ประเทศมี Credit Worthiness ลดลงประเทศมีความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีฐานรายได้ต่ำเพียง 15% ของจีดีพี หากพยากรณ์ ยอดหนี้ที่ 60% บนข้อสมมติฐานที่ว่าประเทศจะโตร้อยละ 5.5 และเงินเฟ้อร้อยละ 3.5 หากเศรษฐกิจโลกฟื้นไม่ทัน และ จีดีพี โตเพียง 2-3% ยอดหนี้สาธารณะในปี 2555 จะเป็นที่ 65-70% สูงกว่าปี 2540 รัฐบาลต้องมีกรอบคิดและวิสัยทัศน์ในการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ การกู้เงินจำนวนมากๆ เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกู้เพื่อประชานิยม กู้เพื่อการบริโภค ขาดความชัดเจนในเชิงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์  นอกจากจะไม่ฟื้นเศรษฐกิจแล้วแต่จะสร้างความเสี่ยงการล้มละลายทางเศรษฐกิจด้วย จากคุณ : ดีอาร์ (๛จูล่ง๛) - [ 23 มิ.ย. 52 17:38:28 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มีข้อมูลหนี้สาธารณะของเพื่อนบ้านทั่วโลกหรือเปล่าครับ อยากเห็นแบบเป็นกราฟเปรียบเทียบ แต่ละปีจะดีมาก จากคุณ : tgih - [ 23 มิ.ย. 52 18:06:17 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คคห. 39 คะ 1. List of countries by public debt  http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_public_debt 2. Public debt (% of GDP) http://www.indexmundi.com/map.aspx?v=Public+debt(%25+of+GDP)&lesson=y ลองดูนะคะ จากคุณ : nunununu - [ 23 มิ.ย. 52 18:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ดูแล้ว งงงง  ตัวเลขมันบ่งบอกอะไร? เห็นประเทศหนี้เยอะหนี้น้อย  คละๆกัน จากคุณ : drof - [ 23 มิ.ย. 52 19:15:04 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผมเห็นด้วยกับ  31+33+37 ถ้าเรากู้มาเพื่อเป็นสินทรัพย์ ที่จะสามารถสร้างรายได้ พัฒนาประเทศ การกู้นั้นก็น่าจะเหมาะสม ถ้ามาสร้างสนามบิน สร้างรถไฟ สาธารณูปโภค เพื่อรองรับการขยายตัวเศรษฐกิจ มันก็ไปถูกทาง แต่ถ้ากู้เพื่อเป็นรายจ่าย ใช้หมดไปกับ โครงการใช้งบประมาณที่หายไปกับสายลม บริโภคแล้วหมดไป  อันนี้ถือว่าใช้เงินไม่เหมาะสม ถ้าประเทศโตขึ้น  เราก็ต้องเตรียมอะไรๆ ให้รองรับการขยายตัว ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นให้มันขยายตัวต่อไป ส่วนประเด็นที่พูดเรื่อง bond เพราะ ถ้าภาระหนี้ของประเทศสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ความมั่นคงทางสถานภาพของประเทศก็เริ่มมีความเสี่ยง แน่นอนว่ายังไงก็ตามประเทศก็ยังมีเครดิตพอที่จะไปกู้เพื่อนบ้าน มิตรสหาย ไม่ได้ถึงกับล้มละลาย ไม่มีใครให้กู้ แต่การไปกู้  ไม่มีใครเขาทำบุญ  ทุกคนต่างก็จ้องเราตาเป็นมัน เจ้าหนี้เขี้ยวๆ เค้าก็จ้องจะเอาแลกด้วยสิทธิ ประโยชน์ต่างๆ ที่ต้องยอมทำตามเจ้าหนี้สั่ง (เหมือนที่บอกว่าให้อ่านกระทู้ วอเรน บัฟเฟต์) เมื่อก่อนเราก็เป็นตอน IMF ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียสิทธิอะไรๆให้กับเจ้าหนี้ ก็ยอมให้ประชาชนเป็นเจ้าหนี้เสียดีกว่า แต่ที่เขียนไม่ได้หมายถึง bond ไม่ได้นับรวมในนั้น โดยรวมผมชอบกระทู้นี้นะ  มีสาระดี  ได้ความรู้ด้วย ^_^ จะเอาไปให้น้องอ่าน จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก - [ 23 มิ.ย. 52 20:01:37 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ^ ^ สำหรับความเห็นที่ 41 เค้าเอาตัวเลขหนี้สาธารณะต่อ GDP มาเพื่อเปรียบเทียบให้ดูว่า แต่ละประเทศก็มีหนี้มากน้อยแตกต่างกัน และมีประเทศอีกจำนวนมากที่มีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่าประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ัพัฒนาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น                    หนี้/GPD ญี่ปุ่น              170 % อิตาลี             104 % สิงคโปร์          96.30% อเมริกา          60.80%          ฯลฯ เพื่อจะแสดงตามที่หลายความเห็นได้บอกไปนะค่ะว่า การเป็นหนี้มากหรือน้อยไม่สำคัญ ขึ้นกับว่า คุณบริหารจัดการหนี้นั้นได้ดีแค่ไหน ถ้าคุณกู้มาเงินมาเยอะ แต่ไปลงทุนเพื่อให้เกิดผลประโยชน์งอกเงย ตามที่ความเห็นที่ 37 ยกตัวอย่างเรื่องข้าวแกง ถ้าคุณเอาเงินมาขยายร้าน แม้ตอนแรกคุณจะเป็นหนี้ แต่การขยายร้านจะทำให้คุณมีลูกค้าเพิ่มขึ้น รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นตาม และคุณก็จะสามารถชำระหนี้คืนได้ในอนาคต แต่ถ้าคุณนำเงินที่กู้มาใช้จ่าย บริโภค เงินนั้นก็จะหมดไป แถมยังไม่มีเงินไปชำระคืนหนี้ด้วย ประเทศก็เช่นกันค่ะ ถ้าเรานำเงินกู้เหล่านี้มาสร้างสาธารณูปโภค เช่น รถไฟฟ้า ถนน เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ประโยชน์เหล่านี้ก็จะกลับคืนมาสู่ประชาชนในที่สุดค่ะ จากคุณ : PuNNee - [ 23 มิ.ย. 52 23:40:58 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ดีใจที่มีความเห็นของคนฉลาดๆบ้างในกระทู้นี้ โดยเฉพาะบางคนที่คิดว่าไม่น่าจะคิดได้แบบนี้ แต่ที่สำคัญที่สุด ที่อยากฝากไว้คือ กรุณาใช้เหตุผล วิจารณญาณ และใช้สมองบ้างในการอ่านอะไรที่มันค่อนข้างจะเป็นข้อมูลด้านเดียวแบบนี้ ยกตัวอย่าง จขกท ที่ไปฟังประโยคเดียวจากเพื่อนมา ว่า "หนี้สาธารณะสูง" แล้วเอามาผูกโยงกับอะไรก็ไม่รู้ ไร้สาระไปหมด ไม่มีเหตุผลเลยซักนิด แนะนำให้ไปศึกษาเพิ่มอย่างที่เข้ามาเขียนเพิ่มเติม ในทางทฤษฎี การก่อหนี้คือการระดมทุนรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าบุคคลธรรมดา บริษัท หรือ รัฐบาล หากต้องการสร้างการเจริญเติบโต ดังที่หลายท่านได้พูดไป แต่ที่สำคัญที่สุด คือไม่กู้จนเกินตัว (ซึ่งถ้าหากดู หนี้/GDP ก้อจะเห็นว่าเมืองไทยยังอยู่ในระดับต่ำ) ยิ่งในสภาวะที่การบริโภคของภาคเอกชนห่วยแตกขนาดนี้ ทั้งยังการส่งออก และการท่องเที่ยวที่เละเทะ ถ้าไม่มีการใช้นโยบายแบบขาดดุล ก็ไม่รู้จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างไรแล้ว แต่นั่นคือประเด็นทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติเห็นด้วยว่าทางรัฐอาจทำได้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมทั้งหลาย มันก็ค่อนข้างจะแย่ แต่สิ่งที่สำคัญคือพวก mega projects ทั้งหลาย และ ในเวลาเดียวกันหากเร่งแปรรูปได้ ก็จะสร้างเสริมประสิทธิภาพของประเทศได้อีกด้วย (ปล. ทั้งหมดนี้เรื่อง corruption ก็ต้องช่วยกันสอดส่อง) ส่วนเรื่อง modern trade กับ SME ผมว่ามันงี่เง่ามากเลย ฐานของเศรษฐศาสตร์เลยคือการแข่งขัน ถ้าเกิดคุณอยากไปอุ้มพวก SME ที่ผู้บริหารห่วย ไม่มีความสามารถ ต้นทุนสูง ไม่มีประสิทธิภาพ โดยไปทำให้สภาวะการแข่งขันมันบิดเบี้ยวไป คนที่จะเสียหายในตอนจบ คือผู้บริโภค ที่จะต้องบริโภคของแพง (เพราะว่าพวก SME ขายถูกไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายสูงและไม่มีประสิทธิภาพ) กับเงินภาษีที่ต้องเสียไปเพื่ออุ้มพวกบริษัทที่น่าจะเจ๊งพวกนี้ไป แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องมีกลไกที่จะป้องกันบริษัทที่ใหญ่เกินไปจนผูกขาดตลาด คือเอาง่ายๆ พวก modern trade อัตรากำไรสุทธิ 2 - 3% ยอดขาย 100 ได้ 2 บาท ขนาดมีการประหยัดของขนาดซะขนาดนี้ พวกอาแป๊ะจะสู้ได้เหรอ ผมเกลียดมาก ความคิดแบบปิดประเทศแบบนี้ ขนาดอิหร่านเค้ายังจะปฏิวัติเลย คนแบบนี้สมควรเนรเทศให้ไปอยู่เกาหลีเหนือให้หมด เกลียดมากๆ ไม่ไหวจริงๆ จากคุณ : ! o_o ! - [ 24 มิ.ย. 52 01:20:23 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณ drof คะ ตัวเลขหนี้สาธารณะต่อ GDP มีไว้เพื่อเปรียบเทียบรายประเทศ เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าประเทศไหนหนี้เยอะมากกว่ากันหากดูเฉพาะตัวเลขหนี้สาธารณะ ส่วนการที่บางประเทศมีหนี้เยอะหนี้น้อยหมายถึงอะไรนั้น ดูที่ คคห. 31 + 33 + 43 เลยค่ะ เค้าอธิบายไว้เป็นอย่างดี ป.ล. จขกท กรุณาเข้ามาแสดงความรับผิดชอบที่ให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือเข้ามาอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าเอาข้อมูลดังกล่าวมาจากไหนจะดีมากค่ะ จากคุณ : nunununu - [ 24 มิ.ย. 52 09:52:56 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ปัจจุบันพอใจที่เป็นแบบนี้ (ความเห็นส่วนตัว) จากคุณ : ต้อย - [ 24 มิ.ย. 52 10:41:23 A:125.25.11.47 X: TicketID:213157 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ผมยังเข้ามาดูอยู่เรื่อยๆ ครับ ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ อย่างที่บอกนะครับว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม เพราะผมไม่ได้ศึกษามาทางด้านนี้โดยตรง และผมก็ได้รับฟังมาอีกที การได้รับข้อมูลมา ผมเองก็ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอยู่แล้วครับ และการที่ผมนำมาโพสไว้ในห้องสีลมนี้ ก็เพื่อที่ขยายผลจากข้อมูลที่ผมได้รับฟังมา เปรียบเทียบจากผู้ที่มีความรู้และมีประสบการณ์โดยตรงจากหลายๆ ท่านในที่นี้ล่ะครับ ซึ่งแต่ละท่านที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาในแต่ละส่วนนั้น ผมก็ต้องมาทำความเข้าใจในแต่ละส่วนที่ท่านนำเสนอมากันหลายรอบเลยทีเดียว การถ่ายทอดความรู้ถือว่าเป็นวิทยาทานอย่างหนึ่ง ผิด ถูกประการใด ก็ขอให้ช่วยชี้แนะกันด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณทุกท่านครับ จากคุณ : T-E-N-A - [ 24 มิ.ย. 52 11:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ... คนถือว่าเป็นทุนอย่างหนึ่ง ถ้าลงทุนทางด้านการศึกษา อันนี้เห็นด้วย แต่ขอดูแผนแม่บททั้งหมดว่าจะพัฒนาให้การศึกษาไปในทางไหน  และสร้างองค์ความรู้ที่จะเป็นนวัตกรรมใหม่ในการจดสิทธิบัตรเพื่อจำหน่ายได้มากน้อยแค่ไหน  เพราะทุกวันนี้การศึกษามันมีแต่ปริมาณ คุณภาพมีแต่ถูกกีดกันก็มาก   และโดยมากที่ได้โอกาสมักจะไม่มีคุณภาพ ส่วนเรื่อง ศก.พอเพียง   เป็นแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้ C ในสมการโตอย่างคงที่ (ไม่ได้หมายความว่าตัวเลขจะหยุดชะงักนะ  แต่จะค่อยๆ  โต)  ซึ่งเป็นแนวทางที่ควรนำมาใช้ในสังคมไทยอย่างมาก  เนื่องจากความฟุ้งเฟ้อและแนวคิดที่บิดเบี้ยวทำให้สังคมไทยบริโภคอย่างอเมริกันจนบางคนต้องฆ่าตัวตายไปก็มาก เอาเป็นว่า  ถ้ากู้มาแปดแสนล้าน   ก็ต้องมาดูต่อว่ารัฐจะเอาเงินที่ว่าไปสร้างสินทรัพย์หรือสร้างทุนต่อยังไง  หรือสร้างสาธารณูปโภคที่จะขยายสวัสดิการทางสังคมให้คนในชาติอย่างไรต่อ  ถ้าดี ก็คงต้องส่งเสริม  แต่ถ้าเลว  ก็ต้องคัดค้านตามระบบรัฐสภา   โดยส่วนตัว   ผมยังศรัทธาในระบบรัฐสภาของไทย  แต่ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวสมาชิกของรัฐสภาทั้งสองสภาแต่อย่างใด จากคุณ : ดาราวิปลาส - [ 24 มิ.ย. 52 11:22:57 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล น่าจะลองอ่านหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ไว้บ้างนะครับ จะได้เพิ่มจิตวิญญาณของคนรวยไว้บ้าง เผื่อจะได้ เผื่อแผ่มายังประชาชนคนไทยในประเทศ เพื่อที่ประเทศจะได้รวยขึ้นบ้าง ถึงจะเป็นหนี้สาธารณะก็เป็นหนี้อยู่ดี  แม้ผู้ที่ต้องรับผิดชอบจ่ายหนี้ จะไม่ใช่เอกชนเป็นคนๆ หรือ บริษัทใดบริษัทหนึ่ง หากแต่ ประชาชนทุกคนในประเทศนี้ ที่ต้องกินอยู่ จ่ายภาษี จ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆให้กับรัฐ นั้นแหละ คือผู้ที่ต้องรับภาระหนี้ก้อนนี้ต่อไปในอนาคต การจะมีเงินไปชำระหนี้ได้ นั้น หลักๆ ก็มาจากการเก็บภาษี ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่รัฐเรียกเอากับประชาชน ตั้งแต่ VAT ภาษีเงินได้ ภาษีการค้า และค่าธรรมเนียมต่างๆ ก็ต้องปรับเพิ่มให้เพียงพอที่จะชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้ได้ การที่รัฐกู้เงินมาลงทุนในลักษณะ สร้างโครงการที่อำนวยความสะดวกสบายแก่ประชาชน เช่น สร้างถนน การขนส่ง การสื่อสาร ฯลฯ นั้น ถือว่าผิดหลักในการลงทุนอย่างยิ่ง   แม้ว่าจะพูดได้ว่า เป็นการจ้างงานมากขึ้น มีเงินไหลเวียนมากขึ้น แต่ที่จริงๆ เราต้องมองเรื่อง ดุลการค้าระหว่างประเทศมากกว่า ที่ การลงทุนของรัฐบาลจะทำให้เม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาได้มากแค่ไหน  เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับผม กู้เงินมาแต่งบ้าน ซ่อมรถ ให้ใช้งานได้ดีสะดวก หรูขึ้น ท้ายสุดเงินก็จะจมหายไปกับสิ่งเหล่านี้  ในหนังสือพ่อรวยสอนลูกเขาเรียกว่า  Luxury Cost ไม่ใช่การลงทุน (Investment Cost) ถ้าหากรัฐจะลงทุน ต้องกระทำในเรื่อง สินค้าของไทย ที่จะทำเงินมากกว่า ซึ่งต้องไปเน้นในเรื่องการส่งออกของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นแบบ วัตถุดิบ หรือ แปรรูป  ต้องไปเน้นในเรื่องเปิดช่องทางตลาดการค้าในหลายๆ ภูมิภาคที่เรายังไม่เคยไป ต้องจัดแสดงสินค้า (โดยใช้งบของประเทศ ผู้ผลิตไม่ต้องจ่าย) ในต่างประเทศที่เรามุ่งหวังจะขายกับเขา ต้องจัดตั้งหน่วยงานอำนวยความสะดวกในการค้า ด้วยเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ  ช่องทางการขนส่งที่รวดเร็ว  ลดภาษีส่งออก และเผลอๆ อาจช่วยค่าใช้จ่ายของลูกค้าในต่างประเทศที่สนใจมาชมสินค้าในประเทศไทย อันเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย ที่รองลงไป ก็คือ การศึกษาเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น การให้เงินกู้ยืมเพื่อจัดซื้อ เครื่องมือต่างๆ ในการแปรรูป เพื่อนำส่งขายทั่วประเทศ และต่างประเทศ ครับ จะเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ มีภาพเป็นรัฐบาลของข้าราชการ ของทนายความ อันไม่ใช่ของนักธุรกิจ เหมือนอดีตรัฐบาลทักษิณ  ในขณะที่ โลกในปัจจุบันได้ต่อสู้แข่งขันกันทางธุรกิจเป็นหลัก  ใครที่เชื่องช้า ก็มีแต่จะถอยหลัง และในที่สุดก็จะพ่ายแพ้  มีปัญหาต่างๆมารุมล้อมมากมายครับ สรุป การมีหนี้สาธารณะ นั้นที่จริงไม่สำคัญเท่ากับว่า ได้นำเงินเหล่านี้ไปลงทุนด้านใด หนี้ดี(ก่อให้เกิดรายได้จากต่างประเทศ) หรือหนี้เสีย (ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากต่างประเทศ) ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 24 มิ.ย. 52 14:35:05 ]

ความคิดเห็นที่ 50 คิดง่ายๆ ว่าหนี้สาธารณะเป็นหนี้ของครอบครัว หัวหน้าครอบครัวเป็นคนกู้แต่ทุกคนในครอบครัวต้องเซ็นค้ำประกันเงินกู้ ร่วมรับผิดชอบครับ แล้วหัวหน้าครอบครัว ไปกู้เงินมา แต่กู้เอามาทำอะไรนี่แหละที่เป็นตัวปัญหา กู้มาแล้วเอามาซื้อรถสปอร์ตให้ลูกชาย  ซื้อเครื่องเพชรให้เมีย  ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้ลูกสาว  แล้วบอกว่าจำเป็นต้องกู้ เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีเงินใช้  นี่แหละครับ คือสิ่งที่เป็นปัญหา การกู้เงิน ต้องถามกันก่อนว่ากู้มาทำอะไร กู้มาเอามาลงทุน หรือกู้มาเพื่อบริโภค ถ้ากู้มาบริโภคกู้เท่าไรก็ไม่พอ แถมจะลำบากตอนใช้หนี้ แต่ถ้ากู้มาลงทุน มันก็อีกเรื่องหนึ่ง  ถ้ามีโครงการดีๆ ปรึกษากันแล้วว่าอืม เราจะเอามาลงทุนตรงนี้นะ ทุกคนโอเค ร่วมกันเซ็นชื่อกู้ร่วม แล้วถ้าผลจากการลงทุนมันปรากฎว่าขาดทุน มันก็ต้องยอมรับสภาพ แต่ถ้าการกู้เงินนั้น โครงการลงทุนไม่มี แต่ขอกู้มาก่อน ขอให้มีเงินอยุ่ในมือก่อน โครงการไว้ทีหลัง กู้มามันต้องเสียดอกเบี้ย แล้วโครงการไม่มีแผนงานไม่ชัด นอกจากภาระดอกเบี้ยแล้วยังต้องเสี่ยงกับภาระขาดทุนในอนาคตอีก การกู้เงินไม่ใช่ไม่ดี แต่มันต้องมีโครงการ มีแนวทางการทำงาน รัฐบาลกู้เงินมาแต่ไม่มีโครงการ แทนที่ประชาชนจะได้ประโยชน์กลับกลายเป็นธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ให้รัฐบาลกู้ ได้ดอกเบี้ยไปกินฟรีๆ ดูนโยบายเช็คช่วยชาติ ประชาชนได้ประโยชน์กันคิดเป็นมูลค่าไม่ได้เลย เพราะจ่ายเช็คปุ๊บ เข้าห้างปั๊บ บิ๊กซี คาร์ฟู โลตัสได้ไปเต็มๆ  แล้วชาวบ้านคนอื่นล่ะหวังจะได้เงินสองพันบาทมาช่วยหมุนเศรฐกิจ แต่มันดันวนลูปแค่รอบเดียวเลย  ประชาชนจะได้ผลประโยชน์จากการหมุนเวียนเงินตรงนี้เท่าไรไม่รู้ แต่รู้ว่า ธนาคารกรุงเทพได้ค่าเช็คไปใบละ2 บาทแล้วแปดล้านใบ ก็16 ล้านบาท เงินได้ง่ายๆไม่ต้องทำอะไร จากคุณ : arthure21 - [ 24 มิ.ย. 52 15:09:45 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ประเทศเขี้ยวๆอย่างสิงกาโป  96 จะกู้เงินมาทำอะไรเยอะแยะ  พื้นที่ก็มีอยู่แค่นั้น ศรีลังกา  85 บังคลาเทศ  37 สองประเทศนี้ น่าจะใกล้เคียงกัน  แต่ทำไม  ตัวเลขต่างกันมาก กู้เงินไปซื้ออาวุธเปล่าเนี่ย เศรษฐีน้ำมันอย่างซาอุ    24 อ้าว  ไหนว่าสตางค์เยอะไง   ตัวเลขมันบอกแค่เปอร์เซนต์  ก็ไม่ทราบตัวเงินจริงๆ แถมไม่รู้ด้วยว่าเอาไปลงทุนทำอะไร  สงสัยเฉยๆ จากคุณ : drof - [ 24 มิ.ย. 52 20:50:19 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อยากแชร์ครับ อ่านมานานแล้ว 1.เคยถามชาวบ้านยังครับคุณมาร์ค ว่าเขาอยากเป็นหนี้ร่วมกับคุณใหม คุณเอาความชอบธรรมอะไรมาสร้างหนี้ก้อนโต โดยไม่ถามประชาชนสักคำ คุณไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรงปล้นเขามาก็แย่แล้วนะครับ 2.มาร์คเคยบอกว่าจะทำตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ทำไมต้องกู้ครับ 3.หนี้สาธารณะของแต่ละประเทศไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบอ้างอิงกับประเทศอื่นได้โดยตรง ขึ้นกับข้อจำกัดทางด้านการคลังของแต่ละประเทศ หมายถึงคุณคิดว่าไทยจะมีความสามารถถึงขนาดมีหนี้สาธารณะเท่ากับญี่ปุ่นคือ 170% ของ GDP ได้หรือครับ ตอบเองเลยว่าไม่ได้ ที่ญี่ปุ่นเขาทำได้เพราะสถานะการคลังและรายรับของรัฐบาลเขามากกว่าเรามากมายครับ ตอนนี้สถานะของรัฐบาลญี่ปุ่นคือผู้ให้กู้รายใหญ่ของโลกนะครับ แล้วสถานะรัฐบาลไทยล่ะครับ เป็นผู้ให้กู้หรือครับ พวกคุณหาเงินเก่งแบบญี่ปุ่นหรือครับ การกู้ก็ต้องมีดอกเบี้ย เอาที่ใหนมาจ่ายดอกเบี้ยครับ หรือจะเอาเงินกู้มาจ่ายดอกอีก ทบกันไปอย่างงี้ งูกินหาง อยากเป็นแบบหนี้บัตรเครดิตหรือครับ ต้องการให้ประเทศเป็นแบบนั้นหรือ แล้วสัดส่วนดอกเบี้ยต่องบประมาณแผ่นดินเป็นเท่าไรแล้ว พวกคุณเคยคิดถึงรายรับของประเทศบ้างใหมครับ เคยคิดบ้างใหมว่าจะหาเงินเข้าประเทศยังไง หรือคิดแบบการกู้มิยาซาว่า ง่ายดี กู้แล้วเปิดตูดหนี จะให้แบบนั้นกลับมาหลอนอีกครั้งเหรอครับ 4.ก่อนจะกู้มีเคยแผนดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมให้ประชาชนทราบบ้างครับ การประมาณการรายรัย-รายจ่ายของแต่ละโครงการ ความเป็นไปได้ ความบูรณาการ แต่ครั้งนี้แปลกที่สุด แค่กระทรวงนั้นบอกจะเอาโครงการนี้ งบเท่านี้กระทรวงนี้จะเอาโครงการนั้นงบเท่านั้น เขียนลวกๆ แต่กลับผ่านฉลุย ไม่มีเสียงท้วงติงสักแอะ ประเทศไทยเป็นอะไรไปแล้วครับ รวมหัวกันทำอะไรอยู่ครับ เล่นขายของกันเหรอครับ บางคนกู้ซื้อบ้าน ยังยากกว่าพวกคุณอีก 5.กู้มาลงทุนรับได้ครับ แต่ถ้าจุดประสงค์หลักของการกู้เพราะไม่มีเงินใช้แล้ว หมดปัญญาหาเงินแล้ว จะเอามาโปะการขาดดุลงบประมาณ อันเป็นผลมาจากการกระทำของพวกคุณที่สะสมมาหลายปีก่อนหน้านี้ ไปใกลๆเลยนะครับ ประเทศไทยไม่ใช่ที่ลองงานของเด็กเส้นนะครับ จากคุณ : พวกผีปอบ - [ 24 มิ.ย. 52 22:36:32 A:192.168.1.152 X:58.8.156.9 TicketID:220451 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อ่าสวัสดีครับ ก็เพิ่งทราบไม่นานมาว่า บทความที่ความรู้น้อยๆของผมได้เขียนมาได้มาอยู่ในกระทู้นี้ ก็ตอบขอบพระคุณอย่างมากที่เสียเวลาเข้ามาอ่านนะครับ เนื่องจากมีคนตอบมามากมายขอลำดับตามข้างล่างครับ 1) ขอขอบคุณ กท. 16, 22, 31, 33, 48, 49, 50, 52 ครับที่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมและความคิดเห็นดีๆครับ 2) ไม่ทราบ กท. 4 มีความคิดเห็นเป็นอื่นใด มีตรรกะอย่างไร ผมก็อยากรับทราบความคิดของคุณบ้างนะครับ 3) ต้องขออภัย กท. 35 ด้วยนะครับ ตอนแรกที่ผมเขียนคือเขียนให้อ่านกันระหว่างหมู่เพื่อนเป็นส่วนใหญ่ ผมก็เขียนไปง่วงไป ไม่ได้กะจะยกตำรามาลอกให้เพื่อนๆได้อ่านกัน 4) ขออภัย กท. 45 เช่นกันครับเรื่องข้อมูล ผมไม่ได้กะเขียน thesis ส่งให้พวกคุณอ่าน ผมแค่อยากแชร์อะไรบางอย่างที่ผมรู้มาให้คนอื่นรู้บ้าง กราบเรียนตามตรง ผมเรียนเอกเศรษฐศาสตร์จริงแต่ผม major FX ซึ่งความรู้ด้านอื่นผมก็งูๆปลาๆไม่ได้ต่างจากทุกท่านครับ ข้อมูลที่ผมเขียนไม่ได้อ้างอิงจากที่ได้ ก็ได้จากความจำของผมเมื่อสิบปีที่แล้วบ้าง ห้าปีที่แล้วบ้างครับ 5) ส่วนเรื่องบทความผม เอาจริงๆเลย เป้าผมนะครับแค่อยากให้คนที่ได้อ่าน ลองตั้งคำถามกับบทความที่ผมเขียนแล้วลองไปหาด้วยตนเอง การไปหาอะไรด้วยตนเองนั้นประเสริฐสุดครับ ถ้าคนอ่านบทความเป็นนะครับ บทความผมก็มีแค่นี่เลย หนี้สาธารณะ SME สองอย่างที่เหลือคุนไปหาหลักข้อเท็จจริง ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นหลักทศนิยมกันเอาตามสบายเลยครับ มีมากมายบน internet ที่ผมอยากได้แค่ให้เพื่อนๆของผมคิดเรื่อง หนี้สาธารณะ SME บ้างก็เท่านั้นครับ ส่วนแต่ละคนจะคิดยังไงก็เรื่องของคนนั้นครับ 6) คุน กท.44 ครับ ขอบคุนที่คุณเตือนให้คนในกระทู้นี้ใช้ความคิดในการอ่าน ไม่มีใครฉลาดไปกว่าใครหรอกครับ ทุกๆคนก็ฉลาดเหมือนๆกันนี่ละครับ และข้อมูลผมก็ด้านเดียวจริงๆครับ เพื่อให้คนอื่นๆไปเอาอีกด้านมาถกกันไงครับ ไม่งั้นถ้าเขียน perfect ใครจะมาตอบให้ได้แชร์กันละครับ และอีกอย่างผมว่าคำพูดคุณจะรุนแรงไปนิด ส่วนเรื่อง SME ผมงงเหมือนกันครับ คุณบอกว่ามันต้องมีการแข่งขัน แล้วคุณไม่ช่วย SME เลยเหลือแต่รายใหญ่จำนวนน้อยแล้วมันจะแข่งกันมันส์ได้ยังไงละครับ ผมไม่ได้พูดให้ช่วย SME ทุกราย แต่ควรแก้อะไรบางอย่างเพื่อให้เค้าอยู่รอดได้บ้าง เพื่อให้เค้ารอดวิกฤตออกมาก่อนแล้วมาปรับปรุงเพื่อแข่งขันกับรายใหญ่ต่อไป ถ้าเค้าทำไม่ได้เค้าก็ต้องเจ๊งไปตามกลไกตลาดอยู่แล้วครับ ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : หลวง (luang_36) - [ 25 มิ.ย. 52 04:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ^ ^ โอ๊ะ...สวัสดีครับ หลวง  ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในนี้นะครับ ต้องขออภัยหลวงด้วยนะครับ ที่ผมนำบทความของหลวงมาขยายผลต่อที่พันทิปนี้นะครับ แต่ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมากมายจากหลายๆ ท่านในนี้เลยคึรับ และคงตอบคำถามของ คห. บางท่านได้แล้วนะครับ สำหรับแหล่งที่มาของข้อมูลนี้ จากคุณ : T-E-N-A - [ 25 มิ.ย. 52 08:47:41 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เจ้าของกระทู้จะพยายามสื่ออะไรแอบแฝงรึเปล่าครับ   แล้วที่คุณเนเน่จัง (naymora) บอกมากับที่เจ้าของกระทู้ตั้งควรเชื่อใครมากกว่ากัน? จากคุณ : หมาเห่าดาวเทียม - [ 25 มิ.ย. 52 15:45:17 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ตลกแล้วครับคุณหลวง แค่ดูหมายเลขของความคิดเห็นที่คุณขอบคุณ ก็รู้ได้เลยว่าเจตนาคุณเป็นเช่นไร เนื่องจากในคหส่วนมากที่คุณยกมานั้น ล้วนแต่ไร้ซึ่ง "ความรู้" เป็นเพียงแค่ "ความคิดเห็น" "อคติ" และการคลั่งชาติแบบไร้สาระ โดยปราศจากข้อมูลประกอบ รวมทั้งขาดตรรกะหรือเหตุผลใดๆทั้งสิ้น ขอยกตัวอย่างที่ผมรู้สึกรับไม่ได้จริงๆมาบางกระทู้ ยกตัวอย่างคห 49 ผมว่าคุณน่าจะเก็บความคิดเห็นและการวิเคราะห์ส่วนตัวของคุณไว้เถิด หากความรู้ของคุณมีเพียงแค่ "พ่อรวยสอนลูก" และก็กรุณาเก็บชาตินิยมแบบคลั่งชาติไร้สาระไว้ด้วย ผมเพิ่งเคยเห็นคนแรกนะตั้งแต่เกิดมา ที่บอกว่ารัฐบาลไม่ควรลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน เหตุผลที่รัฐบาลสมควรลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานนั้น นอกจากที่มันจะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความพัฒนาของประเทศ และการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานส่วนใหญ่ นอกจากต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล แต่ผลตอบแทนในทางการเงิน ยังไม่ดีพอที่เอกชนจะทำอย่างเต็มที่ด้วย ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างมากที่รัฐบาลจะเข้ามาช่วยลงทุน ซึ่งเมื่อรัฐบาลลงทุนโครงการเหล่านี้ รัฐบาลต้องคำนึงถึงประโยชน์โดยอ้อมที่มิใช่เพียงแค่ผลตอบแทนทางการเงิน แต่รวมถึงผลประโยชน์โดยอ้อม เช่นความสะดวกสะบาย หรือความจำเป็นในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ เช่นทางด่วน ต้องดูว่าจะประหยัดน้ำมันได้แค่ไหน เพิ่มผลผลิตของประเทศจากการรถติดน้อยลงได้เช่นไร และการสร้างงาน (อันนี้สำคัญมากๆๆๆ) ฯลฯ เป็นต้น ส่วนประเด็นที่ว่าต้องสนับสนุนธุรกิจเฉพาะที่จะเอาเงินจากต่างชาติ ที่จะทำให้เหมือนเราไปเอาชนะต่างชาติ ไปแย่งผลประโยชน์มาจากพวกเค้า อันนี้ฟังแล้วก็อึ้งเหมือนกัน (คือฟังส่วนนี้แล้วคุณจะอ้างว่าคุณไม่คลั่งชาติยังไงก็ไม่มีใครเชื่อหรอก) และก็ไม่มีตำราไหนเคยพูดมาก่อนในจักรวาล คือแบบฟังแล้วอึ้งจริงๆอดเขียนตอบไม่ได้ ความเป็นอยู่ของคนในประเทศ หากมองในด้านของการค้าต่างชาติ มันจริงที่เราควรส่งเสริมการส่งออกให้มากกว่าการนำเข้า แต่ถ้าคุณจะละเลยกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศโดยสิ้นเชิงเลย ผมบอกได้คำเดียวว่าไม่ได้ใช้สมองคิดแน่นอน เพราะเงินที่ทุกวันคุณใช้มาจากไหน มันก็มาจากผลผลิตในประเทศ พอมีการใช้จ่าย ทำให้บริษัทมีรายได้ ทำให้มีเงินจ่ายพนักงาน ทำให้พนักงานมีร้ายได้มาใช้จ่ายต่อ สิ่งที่คุณพูดคือการให้เงินของเมืองไทยแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ (จะได้ชนะไอ้พวกฝรั่งดีใจจังเลย) แต่กลายเป็นว่าไม่มีการผลิตในประเทศ ไม่มีงาน มีแต่การว่างงาน คนไทยไม่มีแดก แต่ชนะฝรั่ง เจริญไหม ส่วนคุณหลวง ผมไม่มีปัญหากับการเขียนเปิดประเด็นโดยไม่มีคำตอบ เช่น เขียนว่าการเป็นหนี้โดยโครงการบางอย่างเช่นโครงการประชานิยมนี่ถูกแล้วหรือ แต่ไม่ใช่การมาโพสโดยที่มีเจตนาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเจตนาที่เอียงเอน บิดเบียน และสนับสนุนให้เกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก และการสร้างชาตินิยมแบบคลั่งชาติไร้สาระ ที่ไม่อิงกับหลักการ เหตุผลใดๆเลย เรื่อง SME ถ้าคุณเป็นนักเศรษฐศาสตร์จริง คุณควรรู้ว่าที่ผมพูด คือ "กลไก" การแข่งขัน ผมเห็นด้วยว่าควรสนับสนุน SME ต่างๆ ให้แข่งขันได้ เช่นการให้ความรู้ การสนับสนุนในการพัฒนาประสิทธิภาพ การส่งเสริมอาชีพที่เป็นทางเลือกอื่นๆ เป็นต้น แต่การที่จะไป "อุ้ม" SME พวกนี้โดยการทำให้กลไกตลาดบิดเบี้ยว มันเป็นอะไรที่แย่มาก ซึ่งจะทำให้สุดท้ายคนที่ต้องเสียคือประชาชน ต้องซื้อของแพง ต้องเอาภาษีไปถมกับ SME ที่สมควรขาดทุน (เช่นพวกสิ่งทอทั้งหลาย) สุดท้ายขอโทษที่หยาบคาย แต่ผมตั้งใจ เพราะผมเกลียดกระทู้ ความเห็น และความคิดแบบนี้มาก จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 25 มิ.ย. 52 22:56:18 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แล้วเรารู้ว่าดีหรือไม่ดีเราทำไรได้ไหม หรือแค่รู้ไว้ เพื่อเลือกตั้งคราวหน้า เขาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ไม่เห็นมีรัฐบาลไหนไม่กู้ไม่ลงทุนเลย จากคุณ : peggo - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 09:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เรียน คห.56 ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะครับ และผมขอโทษด้วยที่บทความผมส่อ เจตนาที่เอียงเอน บิดเบียน และสนับสนุนให้เกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก และการสร้างชาตินิยมแบบคลั่งชาติไร้สาระ ที่ไม่อิงกับหลักการ เหตุผลใดๆเลย คือตอนแรกที่เขียนผมไม่ได้คิดอะไรเลยนะครับสาบานได้ แบบนั่งอยู่บ้านที่ญี่ปุ่นนี่ละ แล้วอยู่ดีๆ มีข่าวของเมืองไทยออกมาให้ได้ชมกัน นั่งฟังไปแล้วคิดว่าอยากเขียนอะไรนิดหน่อยถึงเพื่อนๆกันภายในเมืองที่ผมอาศัยอยู่นี่ละว่าคนอื่นเค้าคิดยังไงกันกับเรื่อง หนี้สาธารณะบ้างและ SME เท่านั้นละครับ แล้งก็ลงมือเขียนโพสในวันนั้นละครับ ส่วนเรื่องความคิดปิดประเทศอืมผมว่าผมไม่ได้ส่อให้ปิดประเทศนะครับ แต่ถ้าส่อก็ขออภัยอาจจะเป็นความคิดวูปนั้นตอนที่เขียนเรื่องนี้ เพราะอย่างที่ได้บอก ผมเองเรียนเอกด้าน Foreign Exchange Rates และทำทีสิสเรื่อง international investment ซึ่งผมก็รักและส่งเสริมการเปิดประเทศมาโดยตลอด ส่วนเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐานผมก็เห็นด้วยที่จะให้มีการลงทุนนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ ผมลุ้นเรื่องรถไฟไทยมากว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นไร ส่วนกระทู้ที่ผมเน้นขอบคุณไปก็ผมไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงนะครับ คนอื่นๆ มาให้ความคิดเห็นของตนเอง ได้มาแชร์กันมันก็ดีไม่ใช่หรือครับ ส่วนเรื่องผมจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคนที่มาให้ความคิดเห็นไว้ผมก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยครับ ไม่เห็นด้วยมากๆก็มี แต่ผมก็คงไม่ไปว่าเค้าหรอกครับ เพราะคนเราแตกต่างกันความคิดเห็นก็ย่อมต่างกัน อันไหนผมไม่เห็นด้วยผมก็อ่านไปงั้นละครับไม่ได้จดจำอะไร ส่วนกระทู้ที่ผมถามกลับก็ด้วยผมสนใจใยแง่คิดและมุมมองผมก็เลยอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติมนะครับ ก็เลยแยกถามไปอาจจะเจาะจงไปหน่อย ก็ขออภัยครับ อย่าเกลียดกันเลยนะครับรักกันมากๆครับ เรียน คห.57 อืมผมก็ไม่รู้ว่าต้องแก้ยังไงเหมือนกันนะครับฮ่าๆๆ คงต้องเน้นที่เหมือนทุกคนให้ความเห็นมาว่า กู้มาแล้วก็นำเงินไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพนะครับ กู้ได้แต่จะเอาไปใช้ทำอะไรคงเป็นประเด็นมากกว่านะครับ แล้วก็รอคนรุ่นใหม่ๆ ไฟแรงๆ ไปช่วยกันในอนาคตละมั้งคร้าบบบ ขอบพระคุณครับ (ยาวอีกละ) แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 52 12:51:55 จากคุณ : หลวง (luang_36) - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 12:50:50 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ใจเย็นๆ กันก่อนนะครับ วัตถุประสงค์ที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพื่อ ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ แน่นอนในทางทฤษฎี ผมหาอ่านได้ในเว็บของ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้อยู่แล้วครับ แต่ในทางปฎิบัติและผลลัพท์จริงๆ นั้น มันไม่ได้ออกมาตรงตามทฤษฎีที่เขียนไว้เลยนี่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงนี้รัฐบาลมีข่าวที่จะกู้เงินเพิ่ม ผมว่าคุณลองถามคนข้างๆ คุณเล่นๆ ดูก็ได้ครับว่า เขารู้ไหมว่ารัฐบาลกู้เงินมาทำไม?  กู้มาทำอะไร? กู้มาแล้วมีผลอะไรกับเราบ้าง? และก็จะมีคนบอกว่า ทำไมต้องกู้  ทำไมไม่รู้จักหาเงิน  ทำไมไม่รู้จักอยู่อย่างพอเพียง ดังที่เห็นตัวอย่างในบางความคิดเห็นในกระทู้นี้ แน่นอน คนที่เขาห่วงใยประเทศ เขาก็ต้องคิดหาทางออกให้กับประเทศเขาหลายๆ ทาง  หลายๆ ความคิดเห็น เราไม่ควรที่จะไปดูถูกความคิดเห็นของคนอื่นเลยนี่ครับว่า ความคิดเขาจะ "ไร้ความรู้" "ไร้ความคิด" และ "มีอคติ" ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ถึงแม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ก็ยอมที่จะรับฟัง และใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลอยู่แล้วครับ จริงๆ แล้ว คุณ (! o_o !) ให้ข้อมูลมามีประโยชน์มากนะครับ แต่ถ้าคุณลดอีโก้ลงสักนิดมันจะทำให้ความน่าเชื่อถือในตัวคุณมีมากขึ้นนะครับ ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : T-E-N-A - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 15:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เห็นว่ารัฐมีโครงการกว่า 8000 โครงการในการลงทุนใช้เงินในครั้งนี้ จากคุณ : Bassism - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 17:47:24 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ประเทศ ก็บริหารด้วยคน เนอะ.. คน คนละคนกัน ใช้เงิน 100 บาท ได้คุ้มค่าต่างกันเยอะ.... คนที่ไม่มีวินัยในการใช้เงิน ใช่จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่นานคงหมดตัว... แต่ถ้ามีวินัยในการใช้จ่าย ใช้เงินไม่เกินตัว เป็นหนี้มันก็ไม่ได้เสียหาย... หลายๆท่านช่วยส่งลิงค์เกี่ยวกับหนี้สาธารณะ มาให้อ่าน... แต่ที่ผมอยากอ่านคือ ที่ไปกู้หนี้ยืมสินเค้ามา มันเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ มีอะไรบ้าง จะมีรายได้จากโครงการเหล่านั้นเท่าไหร่.. และมีแผนจะคืนทุนในกี่ปี... จะใช้หนี้หมดในกี่ปี... จากคุณ : MESMERIC - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 22:49:20 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อยากแชร์ครับ 1.ชาวบ้านเคยถามตัวเองไหมครับว่า จะทำมาหากินยังไงให้มีอยู่มีกินมีเหลือ จะปรับตัวกันอย่างไรเพื่อรับมือกับความเสี่ยงรอบตัว ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ไม่พัฒนา มีเงินไปกินเหล้า เล่นหวย เล่นการพนัน พอสินค้าเกษตรตกต่ำก็ออกมาประท้วง ให้รัฐซื้อหรือจำนำแพง รัฐบาลขาดทุนก็ไปกินเงินงบประมาณที่จะลงทุน มัวแต่นั่งรอนอนรอรัฐบาลให้มาสงเคราะห์ แจกเงินแจกของแบบอัศวินควายแดงอยู่นั่นแหละ อย่ามาอ้างเพราะตัวอย่างคนที่ปรับตัวได้ก็มี ไม่คิดจะเรียนรู้ เกษตรกรบางคนปรับตัว มีที่นาสี่ไร่ ก็สามารถเหลือกินเหลือเก็บปีละเป็นแสน รัฐบาลเขาไม่ได้อยากก่อหนี้หรอก เพราะรู้ว่าก่อหนี้เพิ่มก็ทำให้มีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะไม่ได้คะแนนเสียงกลับมา รัฐบาลเขาไม่อยากเป็นให้พวกคุณมาเป็นหนี้ร่วมกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต้องถามว่า ถ้ารัฐบาลไม่เตรียมเงินจากการกู้ยืมเพื่อลงทุน ส่งเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจเพื่อหมุนเวียน สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน ประชาชนจะเลิกต่อว่าไหมครับ หรือจะรอให้ระบบเศรษฐกิจหดตัวหนักกว่านี้ คนตกงานมากกว่านี้จึงค่อยกู้ครับ นี่ถ้ากู้เงินมาแล้วโยนเข้ากองทุนหมู่บ้านให้ประชาชนกู้ไปซื้อรถ ซื้อมือถือ ซื้อมอเตอร์ไซ คงหุบปากกันหมดใช่ไหมครับ ประชาชน 2.% หนี้สาธารณะต่อ GDP มันไม่มีความหมายหรอกครับ ถ้าประเทศไทยจะกู้สักสองล้านล้านบาท แล้วมีคนให้กู้ ก็กู้ได้ครับ แต่ดอกจะแพง เพราะคนให้กู้เขาคงบวกความเสี่ยงไปเยอะกว่าปรกติ สุดท้ายถ้ารัฐบาลกู้เงินมาแล้วปั่น GDP เป็นสองเท่าของวันที่กู้ % หนี้สาธารณะต่อ GDP ก็ลดลงครึ่งนึงครับ รัฐบาลเขาคงคำนวณว่าไทยจะมีความสามารถแค่ไหน เลยกู้แค่แปดแสนล้าน ประชาชนชอบบ่นว่ารัฐบาลคิดแต่กู้ แต่ไม่คิดเรื่องการหาเงิน ไม่คิดเรื่องรายรับของประเทศ รัฐบาลเขาก็คิดใช้เงินกู้ปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างระบบสาธารณูปโภค เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน อย่างว่า กู้น้อยก็ทำได้แค่บางส่วน ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ทำตามความสำคัญ แล้วประชาชนอย่างคุณเคยคิดที่จะช่วยสร้างสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาถูก มีนวัตกรรมบ้างไหม เคยคิดที่จะลดต้นทุนสินค้า เพื่อที่รัฐบาลจะได้ช่วยขายง่ายๆ บ้างไหม เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเองให้มีมูลค่าเพิ่ม มากกว่าการเป็นแค่แรงงานถูกๆบ้างไหม ง่ายดี แค่ทำทุกอย่างแบบเดิม ไม่พัฒนา แล้วคอยแบมือขอจากรัฐบาล เก่งแต่ด่าแล้วเปิดตูดหนี 3. ก่อนจะกู้ เขามีแผนแน่ๆ เรื่องประมาณการรายรัย-รายจ่าย เพียงแต่อาจจะกว้างมาก แต่คงเพียงพอที่จะรู้ได้ว่า กรอบของการกู้เงินอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ บางอย่างรัฐกู้เพื่อสร้างสาธารณูปโภค เช่นบ่อน้ำ ถนน รถไฟ คงไม่มีรายได้ทางตรง แต่ประชาชนก็อยากรู้ อยากเห็นว่า กู้มาเยอะ รัฐจะโกงกินหรือป่าว ตรวจสอบได้ครับ แต่อย่าคอยเอาแต่จับผิด เอาเวลาว่างๆ มาตรวจสอบ เอาเวลาหลักไปทำมาหากินพัฒนาตัวเองก่อน ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังจะคอยไปดูแลจับผิดคนอื่นอีก ประเทศไทยเป็นอะไรไปแล้วครับ รวมหัวกันแต่จับผิดไม่ทำงานทำการ 4.แหมบอกว่ากู้มาลงทุนรับได้ครับ แต่ถ้าจุดประสงค์หลักของการกู้ จะเอามาโปะการขาดดุลงบประมาณ อันเป็นผลมาจากการกระทำที่สะสมมาหลายปีก่อนหน้านี้รับไม่ได้ ขอโทษครับก่อนหน้านี้กู้มาแล้วไม่ออกดอกออกผลต่อระบบเศรษฐกิจ รัฐเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า ขึ้นภาษี ประชาชนก็ด่า ถ้าไม่กู้แล้วจะมีเงินลงทุนต่อเหรอครับ ทำไมไม่ไปด่าคนกู้ก่อนหน้าว่าไร้ความสามารถ กู้มาลงทุน แจกเงินชาวบ้าน แต่ไม่ทำให้เศรษฐกิจโตอย่างที่ควรจะเป็น พอเศรษฐกิจซบคนมาใหม่ซวย ประเทศไทยเคยเป็นที่ลองงานของเศรษฐีผูกขาด ที่ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้นมากสักเท่าไหร่ ถ้าจะให้ประเทศไทยเคยเป็นที่ลองงานของเด็กสองคน แล้วจะทำไมครับ เขาก็ได้รับเลือกจากประชาชนเหมือนกัน และเขาก็ได้รับเสียงจากในสภามากที่สุดให้เป็นผู้นำประเทศ ไม่พอใจก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป รอเวลาเลือกตั้งใหม่ แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 02:01:06 จากคุณ : trebla - [ 28 มิ.ย. 52 02:00:05 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เศรษฐกิจพอเพียง ท่องไว้ มาร์ก จากคุณ : Superbowl - [ 28 มิ.ย. 52 08:43:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ดีใจครับที่คุณหลวงเข้ามาตอบและขยายความ และต้องขออภัยที่ใช้ภาษาที่รุนแรง ผมเข้าใจเจตนาที่อยากแบ่งปันความรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการเสนอ "ความจริง" บางอย่างแค่ด้านเดียว โดยที่ไม่มองทั้งสองมุม จะเป็นการนำไปสู่การเข้าใจผิด โดยเฉพาะในประเด็นที่คนธรรมดามีอคติอยู่แล้ว และในสภาวะบ้านเมืองปัจจุบันซึ่งสำคัญมากที่จะต้องสมานฉันท์ และพยายามมองโดยไร้อคติ เพื่อความเจริญของบ้านเมืองเป็นหลักครับ จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 30 มิ.ย. 52 02:25:28 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ปรัชญาของหนี้สาธารณะ คือ งบลงทุนในทรัพย์สินถาวร เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เพื่อให้ประชนได้ใช้ประโยชน์ เพราะเด็กในวันนี้จะต้องเป็นผู้ใช้หนี้สาธารณะเหล่านี้ในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้น รัฐควรก่อหนี้สาธารณะเพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนเหล่านี้ เพิ่งจะเรียนมา เลยขอแจมด้วยคะ จากคุณ : เด็กNIDA - [ 1 ก.ค. 52 17:36:16 A:125.27.81.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 66 ปกติการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานนั้นดีเสมอ และควรทำอย่างต่อเนื่อง แต่กับ สภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ในโลกนั้น มีความเสี่ยงมาก ขนาดลงทุนกันเพื่อหารายได้ตรงๆ ยังต้องคิดหนักว่า จะหาเงินมาคืนได้หรือไม่ จะล้มละลาย หรือมีสายป่านยาวพอที่ ให้ก้าวพ้นไปจากช่วงวิกฤติทางการเงินของโลกได้หรือไม่ ยิ่งโดยเฉพาะกับรัฐบาลในปัจจุบันที่ มีภาพความเชื่อมั่นในด้านเศรษฐกิจน้อยมากด้วย  พูดง่ายๆ ก็คือ ประชาชนหลายคนเขาไม่ไว้ใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ในเมื่อรัฐบาลที่เขาเลือกมานั้นถูกโค่นล้มไปแล้ว ด้วยมือที่มองไม่เห็น  จึงทำให้หลายคนกังวลใจในอนาคตอย่างมาก แต่ถึงอย่างไร ประชาชนคนไทยทุกคนก็เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว รัฐบาลผู้ถือหางเสือเรือ จะพาไปไหนก็ต้องไปด้วย เราประชาชนก็แค่ผู้โดยสาร ทำได้ก็แค่ส่งเสียง แต่จะลุกไปคัดค้านอะไรก็คงโดนพวก ลูกเรือ เล่นงานเอาแน่นอน กระทู้นี้ก็แค่มาบ่นให้ฟังเท่านั้นเองแหละครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 ก.ค. 52 15:59:21 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผมไม่เห็นด้วยกับ คห 66 ครับ ที่จริงต้องยิ่งสวนทางกันครับ เศรษฐกิจยิ่งไม่ดี เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน mega projects ทั้งหลาย เพราะมันจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางการสร้างงาน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งจะทำให้เกิด multiplier effect ที่จะทำให้การบริโภคของฝั่งเอกชนเพิ่มขึ้นด้วย ยังไงโปรเจคพวก สาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งหลาย เจ๊งหมดอยู่แล้ว ยิ่งพวกรถไฟฟ้า ทางด่วน ฯลฯ เจ๊งลูกเดียวขอบอก จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 4 ก.ค. 52 01:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ปัญหาของ โปรเจคต่างๆ ที่รัฐบาลสร้างขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนของเงิน นั้นก็คือ วัตถุดิบส่วนใหญ่นั้น จะต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ แม้กระทั่ง ความรู้ทางเทคนิคนั้น เรามักจะต้องจ้างวิศวกร ผู้ดูออกแบบระบบงานจากต่างประเทศในราคาสูง แต่ ถ้าหากใช้วิธีเปิดประมูลให้เอกชนมาลงทุนกันเอง แล้วให้เป็นสัมปทาน โดยเอกชนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก็พอช่วยลดภาระเรื่องการเงินไปได้ เพียงแต่เราต้องเสียโอกาสทำรายได้ให้แก่รัฐ เสียสิทธิ์บางอย่างในโครงการไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง และประชาชนก็ต้องมีภาระในการจ่ายเงินตรงนี้ให้กับผู้ลงทุนตามเงื่อนไขที่เขากำหนด (ใครใช้คนนั้นก็จ่าย) สำหรับโครงการที่รัฐบาลควรทำนี้ น่าจะเป็นพวกโครงการที่ใช้วัตถุดิบและแรงงานของคนในประเทศเท่านั้น แม้ว่าผลผลิตที่ได้จะไม่ต้องส่งออกก็ตาม (ทำแล้วใช้ภายในประเทศ) ก็เช่นพวกโครงการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร โครงการสร้างเครื่องมือ เครื่องจักรทางการเกษตร โครงการปรับเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นพลังงานทดแทนต่างๆ (เพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน) เพื่อบริการแก่คนไทยภายในประเทศเอง โดยสนับสนุนทางด้านการตลาด คล้ายๆกับแบบ OTOP การกู้ยืมเงิน การสร้างอาคารสถานที่ เพื่องานด้านนี้ ตลอดจนบุคคลากร ที่ช่วยชาวบ้านในเรื่องต่างๆ จัดฝึกอบรม ประสานงาน หรือกระทั่งจัดหา บริษัทจัดการให้ด้วย โดยสำคัญ รัฐต้องทำสื่อเพื่อ สนับสนุนสินค้าแปรรูปต่างๆ ที่คนไทยทำด้วยกันเองครับ ถนน โทรศัพท์ อินเตอร์เนต ไฟฟ้า สาธารณูปโภคนั้น ก็มีความจำเป็น แต่ต้องสอดคล้องกับ การดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับสินค้าเกษตร ด้วยครับ อ้อ...การท่องเที่ยวนั้นก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะนอกจาก คนไทยด้วยกันจะได้ใช้บริการมากขึ้น คนมีเงินเขาก็สามารถใช้จ่ายภายในประเทศ ไม่ไปเที่ยวต่างประเทศ  แล้วชาวต่างประเทศที่เข้ามาในไทย ก็เป็นผลพลอยได้ด้วย ครับ  ถนนหนทางในสถานที่ท่องเที่ยว ป้ายบอกทาง องค์กรท้องถิ่นที่รวมตัวกันให้บริการนักท่องเที่ยว และ การดูแลเรื่องความสะดวก ปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ก็เป็นสิ่งที่น่าให้ความสนใจครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 5 ก.ค. 52 12:49:41 ]