การวิเคราะห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพ เวลาที่ใช้งานจริง มันจะมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่เห็น แต่ทั้งหมดยังยืนอยู่บนพื้นฐานเดียวกันทั้งหมดนั่นคือ การเตรียมข้อมูล การปรุง การแสดงผลซึ่งปัญหาต่างๆที่อาจพบเช่นการเตรียมข้อมูล เราต้องเผชิญปัญหาเช่น ข้อมูลไม่อยู่ในรูปที่ใช้ได้ทันที อย่างการแบ่งกลุ่มในครั้งที่แล้ว ก็ต้องทำ flag หรือแยกกลุ่มไว้ก่อน หลายครั้งอาจจะเจอ error ในข้อมูล เช่น ในช่องรายได้ กลับมีข้อมูล text อยู่แทนที่จะเป็นตัวเลขการปรุง การคำนวณ ข้อมูลแสดง error ความซับซ้อนของการผูกสูตร คำสั่งเงื่อนไขการแสดงผล ไม่สามารถนำข้อมูลมาแสดงผลให้เห็นภาพได้อย่างมีประโยชน์โดยปัญหาต่างๆ จะค่อยๆหมดไป ถ้าได้ฝึกฝนมากขึ้น และมีประสบการณ์มากขึ้นเมื่อได้ผ่านโจทย์ง่ายๆแล้วต่อยอดขึ้นไปดังนั้น ทั้ง 2 เทคนิคจึงเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน ที่สำคัญมากๆและในอนาคต เมื่อทำงานไปแล้วจะเจอปัญหาว่า ทั้ง 2 เทคนิคนั้นมีข้อจำกัดเวลาใช้งานการจะทะลุข้อจำกัดนั้นจะอาศัยความเข้าใจการใช้งานของเทคนิคอย่างแท้จริงกลับไปที่หัวข้อรวมในบทที่ 5 ซึ่งได้ยกตัวอย่างในข้อ 1 ไปแล้วนั้นในทางปฏิบัติ การคัดเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงและแม่นยำ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายในการทำธุรกิจไม่เพียงได้ลูกค้าเท่านั้น ยังเป็นการทำอย่างมีประสิทธิภาพ บนต้นทุนที่เหมาะสมถ้าเรานำเสนอคนที่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เราก็จะเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน ไปกับคนที่ไม่ได้ต้องการสินค้าแต่การจะเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ตรงและแม่นยำดังว่า..ต้องการข้อมูลที่เพียงพอ และอาศัยการวิเคราะห์ที่ดีเข้ามาช่วยแหล่งที่มาของข้อมูล ความน่าเชื่อถือของข้อมูล จึงมีความสำคัญมากเพราะส่งผลต่อการนำข้อมูลไปใช้ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีต้นทุนในการได้มาของข้อมูล ที่มีความสำคัญถ้าเราซื้อหรือจ้างคนเก็บข้อมูล ยิ่งเราต้องการได้ข้อมูลเยอะ คนขายก็จะ charge เราแพงขึ้นกิจการส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นในการนำข้อมูลในกิจการของตัวเอง ที่ได้จากการดำเนินธุรกิจแต่ละวัน มาใช้ประโยชน์ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ไม่เพียงจะช่วยให้นำเสนอสินค้ากับลูกค้าเป้าหมาย อย่างในการ x-selling เท่านั้นแต่ในหลายๆครั้งเราจะเห็น "โอกาส" ใหม่ๆ ที่จะเนรมิต "สินค้าใหม่" & "บริการใหม่" หรือ "โปรโมชั่นใหม่" ของเราได้ด้วยตัวอย่างง่ายๆ เช่น น้ำยาอุทัยทิพย์ ที่เดิมใช้ใส่น้ำดื่่มกิน จนมีลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นสาว นำไปใช้ทาริมฝีปากคำถามคือ ทำไมอุทัยทิพย์ถึงรู้ นั่นอาจจะมีการสังเกต ลูกค้าบอก สื่อสารมวลชนนำเสนอข่าว ฯลฯแต่ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น เราจะมีโอกาสรู้หรือไม่ ??คำตอบคือ "มี" เช่นถ้าเราวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายที่จดลงสมุด บันทึกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่มักซื้อ ขนมถุงทีละ 10-20 ถุงไม่ค่อยมีคนซื้อทีละ 1-2 ถุงเราก็อาจพัฒนาขนาดบรรจุที่ใหญ่ขึ้นหรือทำเป็นถุงใหญ่ที่บรรจุถุงเล็ก 10 ถุง (ถ้าหน่วยบริโภคอาจเป็น 1 ถุงเล็ก ที่เหลือเก็บไว้กินทีหลังได้)ซึ่งการทำดังกล่าวอาจช่วยให้เราลดต้นทุนบางอย่างได้ หรือทำให้ลูกค้าชื่นชอบมากขึ้นการวิเคราะห์ดังกล่าว ก็มาจากข้อมูลที่เราเก็บ และนำมาใช้ประโยชน์มุมมอง วิธีคิด ในการค้นหา จะเริ่มจากความสงสัย อยากรู้ สร้างสรรค์ หรือใส่ใจว่าลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละคน มีพฤติกรรมการบริโภคอย่างไร แล้ววันนี้เราสามารถพัฒนาเพื่อตอบสิ่งนั้นให้มากขึ้นได้อย่างไรที่ผมพูดเป็นแนวความคิดของนักวิเคราะห์และวางแผน โดยทั่วไป เพียงแต่ยกด้านการตลาด เป็นตุ๊กตาอย่างด้านการผลิต เราก็สามารถวิเคราะห์จากข้อมูลในแต่ละวันที่เรา่ทำงานได้ว่ามีอะไรบ้างที่วิเคราะห์แล้วจะช่วยให้การผลิตของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้นทุนลดลง เวลาลดลง เป็นต้นทั้งหมดนั้นเพื่อพอจะให้เห็นภาพทั้ง 3 ข้อแรกส่วนในข้อ 4- 5 นั้นผมจะพูดถึงใน ตัวอย่างของตำแหน่งอื่น เนื่องจากทั้ง 2 ข้อนี้นั้นเป็นลักษณะของ กิจกรรม และ เวลาโดยจะขอไปที่ข้อ 8 เพราะจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่กล่าวมาในข้างต้นนะครับสำหรับข้อ 8 ก็จะมีความต่อเนื่องจาก ข้อ 1-3 มา จนคิดไปถึงว่าจะขายอย่างไร จะทำกิจกรรมการตลาดอย่างไรโดยที่การเลือก ตลอดจนการทำกิจกรรมการตลาด ล้วนจะกระทบต่อต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมดถ้าเราไม่ใส่ใจต้นทุนเลย อาจกลายเป็นว่า เราเน้นขายๆๆๆๆ จนกลายเป็นว่ายิ่งขาย ยิ่งกำไรหด หรือยิ่งขาย ยิ่งขาดทุนหากไม่คำนึงถึงต้นทุน ค่าใช้จ่ายเลยดังนั้นเมื่อคิดอะไรแล้ว ต้องคิดบน resource หรือ budget ที่เรามีนะครับ ^_^รายละเอียดผมขออนุญาตเป็นพรุ่งนี้นะครับเพราะต้องเตรียมไฟล์ ตัวอย่างเล็กน้อยและขอเคลียร์สำหรับพรุ่งนี้ก่อนนะครับหากมีำคำแนะนำ ติชม หรือ ติดต่อสอบถาม สามารถ e-mail ได้ที่ LeverageSkill@hotmail.com Create Date : 11 มิถุนายน 2552Last Update : 11 มิถุนายน 2552 21:00:24 น.
จากคุณ : Leverage - [ 21 มิ.ย. 52 21:30:43 ]