ความคิดเห็นที่ 1 อ้าว เซ็งพิมพ์ขึ้นไม่ครบ คือ ROI และ IRR มันคือตัวเดียวกันแหละ แตกต่างกันก็แค่ ROI คือผลตอบแทนรายปี แต่ IRR จะเป็นผลตอบแทนทั้งระยะเวลาของโครงการ ยกตัวอย่างโครงการที่เงินลงทุน = 100 และได้ผลตอบแทน 10, 20, 30, 40, 100 ในปีที่ 1 - 5 จะมี ROI เท่ากับ 10%, 20%, 30%, 40%, และ 100% ในแต่ละปี แต่ IRR จะเท่ากับ 20% ส่วนที่สำคัญที่สุดในการหา IRR / ROI คือความแตกต่างระหว่าง project IRR กับ equity IRR เพราะว่าการที่เรากู้ (leverage) จะทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นได้ และที่มากไปกว่านั้นคือ หากคุณกำลังพยายามทำแผนธุรกิจเพื่อหาเงินกู้ สิ่งที่สำคัญกว่า IRR / ROI / ROE คือความสามารถในการจ่ายหนี้คืนได้ นั่นคือกระแสเงินสด, Debt / equity, Debt / EBITDA, coverage ratio ต่างๆ ยกตัวอย่าง EBIT / interest expense, และก็ debt service coverage ซึ่งสัดส่วนเหล่านี้จะบอกความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของบริษัทได้ แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 52 00:25:49 จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 22 มิ.ย. 52 02:44:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 วิธีคำนวณ ไปหาเอาใน google นะครับ ด้วยตัว indicator ทั้ง 2 ตัวมันก็แตกต่างกันอยู่แล้ว ถ้าเข้าใจวิธีคำนวณของมัน ก็จะเห็นข้อจำกัดของมันทั้ง 2 ตัว ถ้าถามผมว่าอะไรสำคัญกว่า  ผมว่า "ไม่รู้เฟ้ยย!!" ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ถ้าผมเป็นผู้บริหาร  เป็นเจ้าของเงิน  ผมก็คงอยากรู้ทั้ง 2 ตัว หรือ หลายตัว พวก indy กลุ่ม return on  ส่วนใหญ่ก็ดู scale ผลตอบแทนเพื่อเทียบกับอะไรสักอย่างที่เราอยากยึดเป็นหลัก มันสามารถบอกได้ว่าถ้าลง....ไปแล้วได้ผลตอบแทนอย่างไร ถ้าเทียบกับยอดขายควรได้เท่าไหร่  เทียบกับสินทรัพย์ที่ใช้ได้เท่าไหร่  เทียบกับเงินทุนได้เท่าไหร่  เทียบกับส่วนทุนตัวเองได้เท่าไหร่ มันบอกว่าถ้าขายกำไรเทียบยอดขายดี  แต่เทียบสินทรัพย์ห่วย แสดงว่ามีสินทรัพย์เยอะไปไหม (ไม่จำเป็นต้องใช้แต่ต้องไปขุดคุ้ยต่อ) เทียบสินทรัพย์หรือเงินทุนดี  แต่เทียบส่วนทุนตัวเองยิ่งดีไปอีก (นั่นอาจเป็นเพราะ leverage ดี) แต่ที่สำคัญคือ  มันไม่คำนึงปัจจัยด้านเวลา นั่นหมายถึงถ้า project ยาว และ cash flow ปีหลังๆสูงมากๆ indy ตัวนี้ไม่ดีพอ และ อาจทำให้เข้าใจผิดได้ จนตัดสินใจผิด ในขณะที่ IRR มีการคำนึงด้านเวลาเข้ามาเกี่ยว  แต่!!! มันก็ให้ภาพของ อัตราผลตอบแทน ถ้าลงเงินและได้เงินกลับมา (เข้าและออก) จาก asset  (จะมองธุรกิจเป็น asset หนึ่งใน port ก็ได้) เราจะได้เท่าไหร่ เพื่อใช้เทียบกับต้นทุนของเงินที่จะใส่  หรือใช้เปรียบเทียบระหว่าง project ภายใต้ resource จำกัด เพื่อเลือกทำ แต่ถาม ทั้งสองตัวก็ไม่ดีพอ อีกที่จะใช้ตัดสินใจแค่นั้น เช่น มันไม่ Risk Adjusted (ถ้าไม่ทำอะนะ) หรืออย่าง IRR ก็มีประเด็น reinvestment อยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้นยังไม่เห็น scale ของเงินที่เป็น absolute amount ทั้งในส่วนของเงินที่ต้องใส่ไป และเงินที่จะได้กลับมา จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก - [ 22 มิ.ย. 52 07:36:50 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คห2 แจ่ม แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 52 07:58:07 จากคุณ : kongkrapanth - [ 22 มิ.ย. 52 07:57:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เคยเขียนแผนธุรกิจจะส่งออกพวกของแอนแมดอ่ะ  แต่จำไม่ได้แล้ว เพราะเจ้าหน้าที่เป้นคนแนะนำ   ขอไปดูสำเนาก่อนนะ แล้วจะเอามาให้ดู จากคุณ : jslove2428 - [ 22 มิ.ย. 52 09:27:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Oh คห.2 ไม่ทราบว่าท่านเป็น Professor U.ไหนครับนี่ อธิบายซะเทพจิงๆ จากคุณ : Helloha (Helloha) - [ 22 มิ.ย. 52 22:24:12 ]

ความคิดเห็นที่ 6 555  เวอร์ไปครับคห.5   จริงๆเมื่อเช้า  รีบตอบก่อนไปทำงาน ก็เลยตอบไม่ครบ ผมขอกลับมาเน้นที่แผนธุรกิจนะ ในส่วนของ Financial Feasibility  ดูความคุ้มค่าในด้านการลงทุน ผมบอกได้เลยว่าไม่ต้องกังวลเลยกับ indicator (financial ratio) แต่ละตัว คุณจะมีเป็น pack เลยก็ได้  แต่มันจะไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่เข้าใจความหมาย ทีนี้ ratio หรือ indy ตัวไหนจะโดดเด่น เป็นที่อยากรู้ แก่ผู้คน ทั้งเจ้าของเงินกู  หรือ เงินกู้ อย่างแบงก์ มันก็ขึ้นกับลักษณะธุรกิจที่ทำ แล้วก็ค่อยๆไล่ตัวสำคัญไปให้เห็นภาพทั้งหมด เช่น ถ้าเป็นธุรกิจที่ซื้อมาขายไป  Turnover ของ current asset จะสำคัญมาก เพราะ port ตรงนี้สูง ในขณะที่ port ของ non-current asset ไม่ควรสูง ดังนั้น ratio ที่เกี่ยวข้องกับก้อนแรกจะสำคัญ ในขณะที่ ratio ที่สะท้อนการใช้ fixed asset ไม่ควรเยอะ Turnover, cash cycle อะไรพวกนี้ อีกด้านก็ดู profitability  จะดู ROS ROA ROI ROE อะไรก็ว่ากันไป เพราะแต่ละตัวมันก็จะให้ความหมายและผูกพันกันไป ทีนี้ตอนทำแผน แน่นอนว่าเรา project ไปข้างหน้า ค่า indy ทั้งหลายก็จะแสดงเป็นรายปี รวมถึง cashflow ของธุรกิจ แล้วจะเห็นเป็น pro forma จากนั้นก็ค่อยหาชุดของ indy ที่อยากเห็น จะด้านประสิทธิภาพ ด้านการทำกำไร ด้าน funding ด้าน ความเสี่ยง ฯลฯ อะไรก็ว่าไป ดังนั้นการแปลงอะไรนั่น ก็ไม่ได้แปลงอะไร แต่คิดมาจากไส้ตอนที่เราทำงบ ตรงไหนตอบไม่เคลียร์ก็ขออภัย ส่วนถ้ายังไม่เข้าใจแผนการเงิน ก็ search หา google นะครับ จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก - [ 22 มิ.ย. 52 23:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จขกท. อ่านตาลายไปละ เพราะคงไม่ได้เรียน finance - - ศัพท์บางตัวต้องคนเรียนถึงรู้อ่ะ ไม่งั้นอธิบายกันยาว คุณ คห.2 และ 5 น่าจะเป็นพวกนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือไม่ก็คง corporate loan พอดีเคยเรียนมาตัวนึง ถ้าจะบอกง่าย ๆ ก็ IRR กับ ROI สำคัญพอ ๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจที่คุณทำ business plan อยู่มันเป็นธุรกิจอะไร ตัวเลข และอัตราส่วนบางตัวมันสำคัญเฉพาะบางธุรกิจ เช่น ธุรกิจ trading พวก inventory จะสำคัญหน่อย แนะนำให้ไปซื้อหนังสืออ่านดีกว่า คุณมาอ่านแค่ในนี้มันไม่มีประโยชน์หรอก จากคุณ : Sentiment - [ 23 มิ.ย. 52 13:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นคห.7  แล้ว  ผมอยากเขียนเรื่องบางเรื่องสักหน่อย เผื่อจะเป็นกำลังใจให้จขกท.ได้ ตั้งแต่เรียนหนังสือมา  ผมเรียนไฟแนนซ์ แค่ตัวเดียว  (1วิชา 3 หน่วยกิต) เพราะจริงๆเรียน marketing ไม่ได้เป็นพวกนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ไม่ใช่ banker ไม่ได้เกี่ยวกับด้านนั้นสักเท่าไหร่เลย ที่เขียน ผมแค่อยากบอกอย่างนึงว่า ไม่มีอะไรยากเกินเรียนรู้ เหมือนคห.7 ว่าล่ะครับ ต้องขยันอ่านหนังสือเยอะๆ  หาอ่านในเน็ตก็มีให้อ่านเยอะ แต่ต้องคัดสรรดีๆ ข้อสำคัญคือ อย่าไปท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง ต้องมองให้เข้าใจว่าแต่ละตัวหมายถึงอะไร เช่นผมสมมติว่า  eat ratio  คือ  น้ำหนักอาหารที่กินเข้าไป/น้ำหนักตัว ซึ่งมันคงไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ หรือไร้จุดมุ่งหมาย เพราะถ้ามันไร้จุดมุ่งหมาย  เราก็ผ่านมันไป หากผมจะหาว่าผมกับเพื่อนผู้หญิงตัวเล็กๆ ใครกินเก่งกว่ากัน ถ้าเอา  น้ำหนักอาหารที่กินมาวัด   เพื่อนผมที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆอาจจะแพ้ เหมือนช้างกินอ้อย 10 kg.  กับ มด กินทาโกะยากิ 1 ลูก (100g.) มดก็อาจแพ้ถ้าเทียบเฉพาะน้ำหนักอาหาร แต่ถ้าคิดเป็น  eat ratio  ออกมาได้ช้าง  0.01  เทียบกับมด 100 มดมี eat ratio มากกว่าถึง 1 หมื่นเท่า ซึ่งผมอาจใช้ eat ratio แทน "ความสามารถในการกิน" ก็ได้ ในขณะเดียวกันมันก็อาจมี ratio อื่นที่ดีกว่า หรือเจาะบางจุดมากกว่า เริ่มเห็นภาพนะครับ พวก finance ก็เหมือนกัน  ratio ทุกตัวมีความหมาย มีคนคิดขึ้นมาเพื่ออะไรบางอย่าง และก็ตอบคำถามแค่บางคำถาม ไม่ได้มี ratio ตัวไหน ที่จะตอบได้ทุกคำถาม ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะไม่รู้เรื่อง เวลาอ่านก็ไม่ต้องกลัวว่าชื่อมันจะเหนือล้ำมาจากไหน อย่าง leverage ratio หรือ solvency ratio  มันก็แค่ฟังดูยาก แต่พอดูไส้ในการคิด  มันก็ตัวที่เรารู้ทั้งนั้น แล้วก็ค่อยเข้าใจไปทีละอัน ทุกวันนี้ ผมเองก็ทำงานไม่ได้ใช้ finance อะไรกับเขาเลย อาศัยหาอ่าน ทำความเข้าใจ ดังนั้นถ้าเขียนอันไหนยาก ยังไม่รู้  จะผ่านมันไปก่อนก็ได้ ค่อยๆศึกษาหาอ่านไปทีละอัน อย่างเข้าใจ  อีกหน่อยก็พัฒนาตัวเองไปได้ ที่สำคัญ  ถ้าคิดจะทำธุรกิจ ของแบบนี้มันหนีไม่พ้น เพราะจะคุยกับแบงก์  มันก็ต้องมีทำ หา พูดถึงอยู่แล้ว โชคดีครับ จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก - [ 23 มิ.ย. 52 14:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณวิญญาณ ความรัก ความรู้สึก คะ เราเป็นเพื่อนจขกท. น่ะ ฝากเค้ามาตั้ง จะบอกว่าทุกครั้งที่คุณตอบ คุณตอบดีมากมาย ตอบด้วยใจจริง ๆ เคยแบบว่าเสริชหาชื่อ วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก ในพันติ๊บเลยนะ ว่าคุณตอบกระทู้ไหนบ้าง ตามไปอ่านหมดเลย แล้วก็รู้ว่าคุณเป็น Marketer แต่ไม่นึกว่าคุณจะมาตอบในกระทู้นี้ ขอบคุณมากค่ะ อ่อ ล็อกอินโดนยึดไปแล้ว เศร้ามาก ใช้มาตั้งแต่เพิ่งมีสีลม ไม่ตำกว่า 7 ปี .. มีการเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผิดพลาดทางการสื่อสาร ทำใจละ ขอบคุณคุณความเห็น 1 ด้วยค่ะ อุตส่าห์มา edit ตอบซะยาวเหยียดเลย แต่สารภาพว่าอ่านแล้วมีมึนตึ้บอยู่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างค่ะ google มีแต่อ่านแล้วงงอ่ะ มันไม่ใช่ภาษาอธิบาย มันเป็นภาษาแปล พอดีได้สูตรเป็น excel file มา สองไฟล์ แต่ว่า ไฟล์นึงบอก roi (สูตรอันนี้เค้าว่าเหมาะกับยอดขายเยอะ ๆ ) อีกไฟล์บอก irr (อันนี้คำนวณไม่ละเอียดมากนัก) ก็เลยลำบากใจว่าจะเอาอะไรเป็นตัววัดดี เพราะยังไม่ค่อยแม่นเรื่องทฤษฏีตรงนี้เท่าไหร่นัก งงมากกกก สำหรับธุรกิจที่ทำ เป็นลักษณะซื้อมาขายไป แต่เป็นลักษณะเอาสินค้ามาประกอบใหม่ ไม่มี inventory ค่ะ เหมือนเป็นนายหน้าซะมากกว่า จากคุณ : ไม่บอกล็อกอินดีกว่า .. หุ ๆ - [ 23 มิ.ย. 52 17:30:46 A:10.48.1.155 X:202.28.180.202 TicketID:221341 ]

ความคิดเห็นที่ 10 pro forma มันมาจากอะไรคะ แหะ ๆ จากคุณ : .. เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว - [ 23 มิ.ย. 52 18:51:37 A:10.48.1.155 X:202.28.180.202 TicketID:221341 ]

ความคิดเห็นที่ 11 pro forma คือ การทำงบเสมือน ส่วนมากจะเป็นการประมาณการงบการเงินในอนาคตครับ ในฐานะนักวิเคราะห์ผมบอกจริงๆเลย ว่าตัวเลข roe, roi, irr นั้น ผมดูน้อยมากๆๆๆๆๆ เพราะมันขึ้นอยู่กับสมมุติฐานของการประมาณการงบการเงินครับ ที่สำคัญคือการมีแผนธุรกิจที่ดี มีสมมุติฐานที่สมจริง และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจในเชิงภาพรวมมากกว่าตัวเลขที่นั่งเทียนขึ้นมาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนมากผมดูงบพวก capital budgeting ของที่ฝ่ายการเงินบริษัททำเอง (ดูมาเยอะ) ขอบอกว่าส่วนมาก ทั้งทำผิด คือไม่ตรงตามทฤษฎี ไม่ตรงตามมาตรฐานทางบัญชี และที่แย่ไปกว่านั้น คือสมุติฐานไร้สาระ แย่ที่สุด สรุป คิดแผนธุรกิจคุณก่อน แหล่งเงินทุนมาจากไหน การลงทุนมีอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายในการลงทุนสมเหตุสมผลไหม โครงสร้างค่าใช้จ่ายของบริษัทเป็นเช่นไร และท้ายที่สุด ยอดขายจะมาจากไหน อันนี้ ไม่ต้องไปซีเรียสมาก ยังไงก็ต้องโดน stress test ให้มัน growth ต่ำๆอยู่แล้ว 5555 แล้วดูว่าด้วยพื้นฐานของธุรกิจจะไปรอดหรือเปล่า สรุป ทั้ง IRR กะ ROE ผมว่าไร้สาระทั้งคู่ แผนธุรกิจสำคัญที่สุดครับ ปล. ถ้าคุณทำดีๆตามที่ผมแนะนำ บางทีคุณอาจจะเห็นข้อสรุปที่สำคัญที่สุด คือโครงการของคุณอาจจะไม่น่าทำก็ได้ ... มันเป็นสัจจะของโลกนี้ จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 24 มิ.ย. 52 01:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณผู้รู้คะ ขอทราบความรู้เรื่อง capacity ratios บ้างคะ ด่วนมากมายเลยค่ะ ใครทราบกรุณาแชร์หน่อยค่ะ จากคุณ : สงสัยจัง+_+!! - [ 12 ก.ค. 52 01:51:56 A:202.176.139.202 X: ]