ความคิดเห็นที่ 1 |
(ต่อ)
เป็นเรื่องประหลาดมากที่ ครม.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีมติขยายความคุ้มครองสุขภาพโดยให้ลูกและภรรยา-สามีของผู้ส่งเงินประกันสังคมได้สิทธิรักษาพยาบาลด้วย
ฟังดูเกือบจะปรบมือให้ว่าเป็นแนวคิดที่"ยอดเยี่ยม"เพราะรัฐบาลเอาใจใส่ไปถึงสุขภาพของครอบครัวของผู้ประกันตน
แต่ต้องรีบหดมือที่ยกขึ้นจะปรบกลับมาเมื่อคิดได้ว่าสมาชิกในครอบครัวของผู้ประกันตนเหล่านั้นทุกคนได้รับสิทธิการรักษาพยาบาล..ฟรี...จากโครงการบัตรทอง(หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคเดิม)อยู่แล้ว
ประการสำคัญหรือการรักษาตามบัตรทองให้สิทธิประโยชน์"ดีกว่า"ประกันสังคมซะด้วย!!!!
เมื่อเขาเหล่านั้นกว่า 4-5 ล้านคนต้องออกจากโครงการบัตรทองมาอยู่ประกันสังคมแทนตามมติ ครม. ย่อมจะโกลาหลวุ่นวายและเสียสิทธิในการรักษาโรคบางอย่างไป หากบางคนขณะนี้กำลังรักษาอยู่ก็จะซวยซ้ำสองเพราะหากโรคนั้นเคลมประกันสังคมไม่ได้ก็ต้องไปหาจ่ายเงินเองนะซี
ถามว่าเมื่อคน 4-5 ล้านกว่าคนนี้โอนตามคู่สมรสมาอยู่ประกันสังคมแล้วใครจะได้หรือใครจะเสีย?
ก็จะตอบว่ารัฐเป็นฝ่ายได้อย่างเดียวเพราะรัฐได้ประหยัดงบประมาณรักษาพยาบาลของบัตรทองแล้วผลักภาระให้ไป"จ่ายเงินเอง"ตามสิทธิประกันสังคม
อย่าลืมว่าสิทธิและการรักษาพยาบาลของประกันสังคมไม่ได้เป็นของฟรีนะครับ แต่ผู้ประกันตนทุกคนจะต้อง"ถูกหักเงินค่าจ้าง"เดือนละไม่เกิน 750 บาทไปจ่าย โดยแบ่งส่วนหนึ่งไปเป็นค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเดิมเงินส่วนนี้โรงพยาบาลโวยวายอยู่แล้วว่าไม่พอเพียง หากต้องมาจ่ายให้คู่สมรสและบุตร-ธิดาอีกก็คงจะต้องเรียกเพิ่ม เมื่อถูกเรียกเพิ่มผู้ประกันตนก็จะต้องจ่ายเพิ่ม
ผมจึงถือว่ารัฐบาลกำลังนำความซวยก็มาเยือนผู้จ่ายเงินประกันสังคมครับ!!!
ยังมีปัญหาตรงที่หากผู้เอาประกันตนถูกเลิกจ้างตกงานจนไม่มีเงินจ่ายประกันสังคม คราวนี้แทนที่จะซวยตัวเองเพียงคนเดียวอาจจะต้องซวยซ้ำซ้อนไปถึงคู่สมรสและทายาทที่เสียสิทธิรักษาพยาบาลไป ทำให้ต้องไปสมัครเข้าใช้สิทธิบัตรทองใหม่ทำเอาวุ่นวายขายปลาช่อนทีเดียว
ไอ้ที่ชุลมุนกว่านั้นอีกก็คือการรักษาของประกันสังคมเขารักษาเฉพาะเจ็บป่วยไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน หากเจ็บป่วยจากการทำงานให้ใช้สิทธิตามกองทุนเงินทดแทนซึ่งนายจ้างเป็นผู้จ่ายเงิน ก็ยังไม่รู้ว่าจะเคลียร์กันว่าคู่สมรสและลูกของลูกจ้างจะได้สิทธิจากกองทุนนี้ได้หรือไม่เพราะใช้ ก.ม.กันคนละฉบับ
นอกจากนั้นเงินที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนนี้ก็เหมือนการซื้อประกันสุขภาพคือหากเบิกมารักษาพยาบาลมากปีต่อไปนายจ้างจะต้องจ่าย"เบี้ยประกัน"เพิ่ม หากคู่สมรสและลูกของลูกจ้างมาถล่มรักษาพยาบาลกองทุนนี้ได้นายจ้างต้องจ่ายกันอ่วมอีก
อ่านจากข่าวเหมือนกับว่าเรื่องใหญ่โตเกี่ยวพันกับคนหลายสิบล้านคนอย่างนี้ ครม มีมติโดยไม่ได้ศึกษารายละเอียดเพราะแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังงงๆ ผมเข้าใจว่า รมต.แรงงานของพรรค ปชป. ต้องการเอาใจลูกจ้างว่ายุคสมัยของตนได้ขยายสิทธิให้ได้รักษาพยาบาลให้กันทั้งครอบครัว ลูกจ้าสมควรสร้างอนุสาวรีย์ให้ไว้ที่หน้าตึกกระทรงแรงงาน
แต่ท่านลืมคิดไปว่าครอบครัวลูกจ้างไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกแต่มีสิทธิรักษาตามบัตรทองดีกว่าลูกจ้างซะอีก
แถมเงินที่ใช้ในการรักษาพยาบาลครอบครัวลูกจ้างไม่ใช่เงินของรัฐหรอกแต่เป็นเงินของลูกจ้างนั่นเอง
เรื่องโง่ๆทำนองนี้ช่างคิดกันเก่งนัก!!!
ในมุมกลับกันผมมองเห็นว่ารัฐควรลดเงินนำส่งประกันสังคมของลูกจ้างลงด้วยการยกเลิกสิทธิการรักษาพยาบาลของลูกจ้างซะ แล้วให้ลูกจ้างไปได้สิทธิการรักษาพยาบาลตามโครงการบัตรทองแทน เพราะในประเทศไทยเรามีแต่ลูกจ้างเท่านั้นที่ด้อยสิทธิในสวัสดิการการรักษาพยาบาลมากกว่าเพื่อน
คนอื่นเขารักษาฟรีกันโครมๆแต่ลูกจ้างทุกคนจะต้องจ่ายเอง???
ข้าราชการและครอบครัวเจ็บป่วยรักษาพยาบาลรัฐบาลออกเงินสวัสดิการให้จากเงินงบประมาณ(ไม่ใช่จากกองทุน กบข.)
ประชาชนทั่วไปเจ็บป่วยรัฐบาลออกค่ารักษาพยาบาลให้ตามโครงการบัตรทองหรือ 30 บาทรักษาทุกโรคเดิม
แต่ลูกจ้างเมื่อเจ็บป่วยต้องจ่ายเงินรักษาเองจากเงินที่ตัวเองส่งประกันสังคม หากเจ็บป่วยจากการทำงานนายจ้างจ่ายให้จากเงินกองทุนทดแทน นี่รัฐบาล ปชป. จะผลักให้จ่ายเงินรักษาคนในครอบครัวเองอีก
สมแล้วที่บรรดาผู้นำแรงงาน ประธานสหภาพแรงงาน ประธานสมาพันธ์แรงงานทั้งหลายมัวแต่งับเศษเงินที่รัฐจ่ายให้คราวละ 4-5 ล้านในการจัดงานฉลองวันเมย์เดย์
แต่เรื่องที่พรรคพวกของตัวเองต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลเองทั้งๆที่ประชาชนกลุ่มอื่นๆรัฐออกเงินให้หมดกลับไม่เคยคิดจะเรียกร้องแก้ไข มัวไปเรียกร้องแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวของตนอยู่นั่นแหละ
ให้คนบริหารงานไม่เป็นมาเป็นรัฐบาลมันมั่ววุนวายขายปลาแซลมอนอ๊อกฟอร์ดอย่างนี้แหละขอรับ!!!
แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 52 15:56:03
จากคุณ |
:
พาชื่น
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ส.ค. 52 15:38:55
|
|
|
|