ความคิดเห็นที่ 1 กระทู้นี้ผมไม่ได้มีความตั้งใจจะสอนทำบัญชี เพราะผมไม่ได้เก่งด้านี้ เพียงแต่พอรู้เท่านั้น จึงขอเล่าเป็นประสบการณ์ที่ผมเจอเองและได้ยินมา ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่มีความสามารถบัญชีจะแนะนำ เชิญแนะนำได้ในกระทู้เลย เพื่อเพื่อนๆนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่เป็นเรื่องบัญชีจะได้เข้าใจ ทราบความสำคัญและเป็นแนวทางจะเอาไปใช้เมื่อสนใจจะลองลงทุนจริง จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 13:32:09

ความคิดเห็นที่ 2 เรื่องบัญชีนั้น ผมเองก็ไม่เคยจะสนใจจนได้มีโอกาสมีทำธุรกิจส่วนตัวจึงพบว่ามีความสำคัญมากๆครับ บัญชีมันจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าธุรกิจของเราตอนนี้มันเป็นอย่างไร เหมือนเราอ่านหนังสือแล้วทราบว่าเนื้อหาข้างในมันเป็นอย่างไร ฉะนั้นการที่เราไม่สนใจจะทำบัญชี เราจะไม่มีวันทราบได้ว่าธุรกิจที่เราลงทุนไปนี้ มีกำไรหรือขาดทุน ? ต้นทุนจริงๆมันเท่าไหร่ ? การลงทุนของเราเทียบแล้วได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ต่อปี (คิดคล้ายๆฝากแบ๊งค์) และมันจะเป็นข้อมูลพื้นฐานให้เราตัดสินใจขยายหรือลดกิจการ จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 13:37:09

ความคิดเห็นที่ 3 แหงะ  บัญชีเราเละมากเลย  แต่ไม่ค่อยขาดทุนเท่าไร่อะค่ะ -_-' จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 13:45:08

ความคิดเห็นที่ 4 แรกเริ่มที่ผมทำธุรกิจ ด้วยความที่ธุรกิจของผมนั้น margin ค่อนข้างสูง (กำไร/หน่วย) ผมจึงไม่คิดว่าจำเป็นจำต้องทำบัญชีเพระมั่นใจว่าไม่ขาดทุน สิ่งที่ผมทำจึงมีแค่บันทึกว่ารายรับแต่ละวันนั้นกี่บาทเท่านั้น บางวัน 1 พัน บางวัน 3 พัน มากหน่อยก็ 5-6 พัน เดือนแรกหมดไป ผมเอาตัวเลขรายรับมารวบรวมดู ผมมีรายรับ 120k แต่พอผมเปิดดูในกระเป๋าสตางค์ ...ผมงงมากว่าทำไมผมจึงมีเหลือติดกระเป๋าแค่ 3 หมื่นกว่าบาท แล้วอีก 9 หมื่นกว่าบาทมันหายไปไหน ?? ผมลองไล่ทบทวนดูค่าใช้จ่ายที่ผมจ่ายออกไปในเดือนนั้น ทั้งค่าลูกจ้าง ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าไฟ ค่าน้ำ นึกออกบ้าง ไม่ออกบ้าง....ซึ่งผมไม่ได้จดหรือเก็บหลักฐานไว้ รวมยังไงก็ไม่ได้ 9 หมื่นบาท หรือว่าเราทำเงินหาย ? เพราะที่ผ่านมา ผมเก็บเงินไว้ในกระเป๋าเดียว ใช้ก็ใช้ออกไปจากกระเป๋านั้นเก็บก็ใบนั้นมันถึงได้มั่วเช่นนี้ แม่ผมทราบก็ว่าให้ ว่าทำไมไม่แยกกระเป๋า แยกให้ออกว่าอะไรคือค่าใช้จ่ายของร้าน อะไรคือค่าใช้จ่ายส่วนตัว.... ผมบอกว่า ผมขี้เกียจทำ ยังไงๆมันก็คือเงินของผม ผมได้มาวันนี้ จะใช้วันนี้มันก็ได้ ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะสุดท้ายเงินทุกอย่างที่เข้ามาในกิจการก็คือเงินของผม และผมเป็นเจ้าของกิจการแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้วนิ..... จริงครับ ว่าเงินทั้งหมดมันของผม  แต่การทำอย่างนี้มันก็แยกไม่ออกว่าอะไรคือค่าใช้จ่ายของอะไร มันค่าเท่ากับว่า ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าน้ำมันรถ ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหารแต่ละวัน ค่ากินเหล้า ค่าเที่ยวต่างจังหวัด ก็เป็นค่าใช้จ่ายของธุรกิจผมนะสิ..... สรุปแล้ว 9 หมื่นบาทที่หายไป ผมก็ไม่ทราบว่าจริงๆส่วนไหนเป็นค่าใช้จ่ายของธุรกิจ และส่วนไหนคือค่าใช้จ่ายของผม เพราะผมไม่ได้ทำบัญชีแยกแยะไว้ จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 13:48:46

ความคิดเห็นที่ 5 แม่ผมเล่าเรื่องเพื่อนคนหนึ่งของแกเคยทำธุรกิจโรงพิมพ์ เป็นโรงพิมพ์ขนาดกลาง แต่ด้วยความที่แกรู้จักคนเยอะและบิดาก็เคยทำมาก่อนจึงมีงานเข้ามาสม่ำเสมอ ตั้งแต่วันเปิดกิจการแกไม่เคยทำบัญชีอะไรเลย เงินเข้าเงินออก แกจะเปิดเอาจากตู้เก็บเงินอย่างเดียว มีมากก็เก็บไว้ ต้องจ่ายเงินก็เปิดเอาออกมา เริ่มเยอะก็เอาไปฝากแบ็งค์ ถึงคราวตัวเองจะใช้เงินก็เปิดเอาออกมาใช้โดนที่ไม่สนใจว่ามันมีอยู่เท่าไหร่ จะซื้อรถ จะส่งลูกเรียนเมืองนอก จะไปเที่ยวต่างประเทศ จะทำอะไรก็ตามแต่แกก็จะเอาเงินที่มีมาใช้จ่าย โชคดีที่ว่าเงินที่แกหามาได้มันยังมากกว่าเงินที่แกใช้จ่ายออกไปมันจึงยังไม่มีปัญหา แกทำอยู่อย่างนี้อยู่ 3 ปี สักพักกิจการเริ่มมีคู่แข่ง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น โรงพิมพ์ใหม่ๆจะมีต้นทุนการทำงานถูกลงกว่าเดิม ลูกค้าเริ่มมีตัวเลือกมากขึ้นส่งผลให้รายได้แกเริ่มลดลง รายได้โรงพิมพ์ลดลง.....แกไม่รู้เลยว่ารายได้ลดลงเพราะไม่เคยทำบัญชี จนเงินหมด ถึงเพิ่มมารู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ก็เลยเอาที่ตึกแถว ที่ดิน ของกิจการโรงพิมพ์เข้าแบ็งค์เพื่อต่อลมหายใจ เพื่อเอาเงินมาหมุนเวียนในกิจการต่อ พอเห็นว่าตัวเองมีเงินก็สบายใจขึ้น หมุนเงินไปเรื่อยๆเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจว่ารายจ่ายต่อเดือนนั้นมีดอกเบี้ยของแบ๊งค์เพิ่มมาอีก เนื่องจากไม่เคยทำบัญชี  แกจึงไม่รู้ว่า จริงๆตอนนี้แกเป็นหนี้เท่าไหร่ ? กำไรของโรงพิมพ์แกเท่าไหร่ ? ค่าใช้จ่ายต่อเดือนคำนวนแล้วเท่าไหร่ ? ไม่เคยจะรับรู้เลยเพราะไม่มีบัญชี น่ากลัวไหมครับ ต่อมาเงินหมดรอบที่ 2 รอบนี้ไม่มีอะไรให้เข้าแบ๊งค์อีกแล้ว กิจการก็มีแต่ทรุดลงเพราะเจอมรสุมของเศรษฐกิจบวกกับคู่แข่งหน้าใหม่ๆในตลาดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานก็ไม่ได้มีเพิ่มมากขึ้น แกเครียดมาก เมื่อมาปรึกษาแม่ผม แม่ผมถึงกับตกใจว่าคนที่ทำธุรกิจมีรายรับเดือนๆหนึ่งเป็นล้านแล้วไม่เคยทำบัญชีเลยมีด้วยหรือ ? แม่ผมเองก็พยายามจะช่วยเขาทำระบบบัญชีขึ้นมา อย่างน้อยเพื่อจะได้ทราบว่ามีหนี้เท่าไหร่ จะต้องกันเงินไว้ให้ลูกเท่าไหร่ รายจ่ายอะไรมาก่อนมาหลังเพื่อจะได้วางการใช้จ่ายเงินให้ถูกต้องเหมาะสม แม่ผมได้แต่ส่ายหน้า แกไม่มีบัญชีเลยจริงๆ ใช้จ่ายเงินมั่วมาก บิล เอกสารการชำระเงิน สลิปต่างๆก็กระจัดกระจายหายบ้าง ครบบ้าง สุดท้ายแกมีหนี้อยู่ทั้งหมด 40 ล้าน งานในโรงพิมพ์ก็ไม่มีอนาคตลูกค้าหนีหมด รถโดนยึด ส่วนลูกๆที่เรียนเมืองนอก....ผมไม่แน่ใจว่าจะเผชิญชะตากรรมอย่างไร แม่ผมบอกว่า ถ้าแกรู้จักทำบัญชีสักนิด อย่างน้อยจะได้รู้ว่าเงินไหนเป็นของโรงพิมพ์ เงินไหนเป็นเงินส่วนตัวของแกเอง แยกแยะให้ถูกต้องเพราะโรงพิมพ์เองก็ต้องมีค่าใช้จ่ายให้มันมีชีวิตอยู่ . จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 14:16:34

ความคิดเห็นที่ 6 กลับมาที่กิจการของผมนะครับ พอผมเริ่มทำบัญชี ผมก็เข้าใจสภาพธุรกิจของตนเองชัดเจนมากขึ้น มันทำให้ผมทราบว่า - ผมไม่ได้กำหนดค่าแรงหรือเงินเดือนของตัวเอง (กำไรจึงดูเหมือนมาก แต่พอตัดค่าแรงออกปรากฎว่ากำไรผมเหลือนิดเดียว บางเดือนขาดทุนด้วยซ้ำ) - รายจ่ายต่อวัน ผมมีอะไรบ้าง (ลูกจ้าง ค่าที่ น้ำ ไฟ ) - ค่าวัสดุสิ้นเปลือง เท่าไหร่ และอีกนานแค่ไหนจะต้องสั่งมาอีกรอบ (ทำให้ผมคำนวนถูกด้วยว่าในแต่ละรอบว่าผมควรจะสั่งวัตถุดิบมาสต๊อกมากน้อยแค่ไหนเพื่อให้สมดุลกับการใช้) - กำไร - ขาดทุนเป็นเท่าไหร่ และอะไรอีกหลายๆอย่างครับ จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 14:22:53

ความคิดเห็นที่ 7 ผมก็บัญชีมั่วมากๆ     มีแต่บัญชีลูกหนี้  กะ  บัญชีเจ้าหนี้  ที่พอป็นรูปร่างหน่อย กำไรค่าใช้จ่ายก็ประมาณๆเอา   สงสัยต้องคิดใหม่ จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 14:24:19

ความคิดเห็นที่ 8   อีกอย่างที่สำคัญของบัญชีคือ บัญชีจะทำให้วางแผนและบริหารภาษีได้ดีมาก จะทำให้ค่าใช้จ่ายเรื่องภาษีถูกลงเยอะมาก ธุรกิจกำไรสูง ๆ แต่วางแผนภาษีไม่ดีจะทำให้โดนภาษีกินหมด ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปอย่างน่าเสียดาย จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 14:50:23

ความคิดเห็นที่ 9 คุณอาคนเล็กของผมที่ทำบ่อกุ้งล้มเหลว ส่วนหนึ่งเพราะแกไม่สนใจจะคำนวนต้นทุน เงินหมุนเวียนและทำบัญชีให้ชัดเจน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแกจึงมาเบียดเบียนเงินที่ควรจะนำมาลงทุน ถ้าวางแผนการเงินและทำบัญชีดีๆเสียตั้งแต่แรก มันก็สามารถป้องกันให้เราไม่ใช่เงินเกินที่มีอยู่จนไปเอาเงินลงทุนไปเลี้ยงเหล้าสาว แล้วธุรกิจจะเดินหน้าได้อย่างไร ถ้าไม่มีเงินหมุนเวียน ใช่ไหมครับ ฉะนั้น ใครที่จะลงทุนใหม่ๆ ทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้ละเอียดนะครับ มันจะช่วยทำให้เราวางแผนธุรกิจได้อย่างดีทีเดียว จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 14:57:37

ความคิดเห็นที่ 10   กิจการของเรา โชคดี มีแฟนคอยช่วยทำบัญชีให้ จากคุณ : by nameless เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 15:04:09

ความคิดเห็นที่ 11 ครับ ทำบัญชีสำคัญ แม้ว่าไม่ได้ทำธุรกิจ ก็สามารถนำมาใช้กับชีวิตประวันวันเราได้ เราจะได้รู้รายรับซึ่งบางคนก็อาจแน่นอนถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือไม่แน่นอนถ้าทำธุรกิจ และรายจ่ายหมดๆไปกับส่วนไหนมากที่สุด เมื่อทราบแล้วก็จะได้วิเคราะห์และแก้ไขโดยลดรายจ่ายตรงนั้นได้ ผมนี่แหล่ะที่แต่ก่อนใช้เงินซื้อความสุข ท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่มาวันนี้ต้องทำบัญชีส่วนตัวแล้ว เพราะสงสัยว่าทำไมไม่มีเงินเก็บเลย มีแต่หนี้ จากคุณ : Athlons เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 15:53:44

ความคิดเห็นที่ 12 ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องที่เราสามารถประมาณการขึ้นมาได้ ส่วนรายรับ ถ้าเป็นธุรกิจใหม่ๆ ยังคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ถ้าคุณเตรียมตัวให้พร้อม มันจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากครับ กำไรหรือขาดทุนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังทำธุรกิจใหม่อย่างนึง คำนวนแล้วมีค่าใช้จ่ายรวมเบ็ดเสร็จทุกอย่างเดือนละ 1 ล้านบาท ถ้าคุณสำรองค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเวลา 3 เดือน คือ 3 ล้านบาท คุณได้ทำบัญชีล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วครับ ถ้ามันเกินกว่าที่คุณสำรอง คุณรู้ทันทีเลย เพราะเงินมันจะไม่พอและคุณก็จะวิ่งหาต้นเหตุเองโดยธรรมชาติ ส่วนรายรับในช่วงระยะเวลา 3 เดือนแรก ไม่ต้องยุ่งกับมัน ทำบัญชีรายรับไว้แล้วเอาเงินใส่ธนาคารอย่างเดียว พอครบ 3 เดือน ถ้าเงินที่สำรองไว้ยังเหลือ เอาไปรวมกับรายรับ ถ้าเงินในบัญชีคุณมีมากกว่า 3 ล้านบาท นั่นแสดงว่าธุรกิจมีกำไรเบื้องต้นจากการดำเนินงาน ถ้ามีน้อยกว่า 3 ล้าน นั่นคือคุณขาดทุนการการดำเนินการ อันนี้เป็นตัวอย่างแบบง่ายๆนะครับ จริงๆมันซับซ้อนกว่านี้เยอะ จากคุณ : NinthOfApril เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 16:09:41

ความคิดเห็นที่ 13 โดยส่วนตัว หัวข้อนี้ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะมีความสำคัญในอันดับต้นๆ เพราะผมมองว่าบัญชีนั้น ถึงแม้จะมีความสำคัญ แต่มันคือหลังบ้าน ที่ป้องกันการรั่วไหล หรือบริหารเงินผิดเป็นหลัก ส่วนตัวผมจะให้ความสำคัญกับเรื่อง Key Success ของธุรกิจเป็นอันดับแรกๆ ครับ แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะรอตอนต่อๆ ไปแล้วกันนะครับ มาแทรกตอนนี้ เดี๋ยวจะมีหลายประเด็นในกระทู้ เดี๋ยวรอตอนต่อไปครับ จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 17:32:09

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ แม้สำหรับธุรกิจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด แต่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน และด้านอื่นๆมากครับ รอตอนต่อไป จากคุณ : Fuzien เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 19:19:07

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่าการทำบัญชี เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการทำธุรกิจ จะมีจะจนก็เรื่องนี้แหล่ะ เหนื่อยใจมากครับกับพวกสรรพากร การเสียภาษีอื่น ๆ ที่เรียกเก็บมากมาย ค้าขายกำไรก็ไม่มาก คนขายอยู่ในตลาดเสียแค่ค่าเช่าแผง ส่วนคนจะทะเบียนการค้าทำทุกอย่าง ต้องเสีย 7 เปอร์เซ็นต์ เสียรายเดือน เสียครึ่งปี เสียหนึ่งปี ไหนจะค้าของขวัญ ค่าสปอนเซอร์อื่น ๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมัน ค่าขยะ ค่าจ้างลูกน้อง ค่าอยู่ค่ากิน ของเสีย ของหาย...ฯลฯ อ๊วกครับพี่น้อง.. จริง ๆ ไม่ได้ว่านะครับว่าการเสียภาษีไม่ดี แต่การเสียภาษีก็ควรจะมีความเหมาะสม ถ้าบีบให้คนอยู่ไม่ได้ ผมว่ารัฐบาลก็หนักเอาการเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะมีเสื้อไรออกมาอีก.. แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 52 21:12:27 จากคุณ : khunzola เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 21:11:31

ความคิดเห็นที่ 16 แนะนำวิธีทำบัญชีแบบง่ายๆนะคะ  สำหรับคนกินเงินเดือน  รายได้พิเศษ  เจ้าของกิจการคนเดียว  เราจะแบ่งบัญชีเป็น3อัน 1. รายได้ - รายจ่าย สำหรับธุรกิจยัดรวมในกระเป๋าเดียวกัน  สิ้นเดือนเงินเหลือเท่าไหร่  แปลว่าเดือนนั้นเราได้กำไรเท่านั้น  ทำแบบชุ่ยสุดขีด -_-'  เพราะบางเดือนซื้อของเยอะเป็นหมื่นกำไรก็น้อยค่ะ  บางเดือนแทบไม่ซื้อของเลยกำไรเยอะ 5555 2. เหลือเงินจากข้อ1  เราจ่ายให้ตัวเองก่อนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว  มีสมุดอยู่เล่ม  เขียนทุกบาทที่จ่ายไป (บางทีก็มีลืมบ้างคะแต่ไม่เยอะ)  ดูตามภาพประกอบได้เลยจ้า  ส่วนใหญ่เดือนนึงจะใช้1แผ่น  หน้าหลังน่ะ  ที่เห็นในภาพเป็นด้านหน้าค่ะ 3. ผ่อนบ้าน+ให้แม่ จดใส่สมุดอย่างละเอียด  อันนี้ขออนุญาตไม่ถ่ายรูปให้ดูนะคะ  แต่คร่าวๆคือที่จดคือ 3.1 ให้แม่ - จดแค่ให้วันไหน  กี่บาท  เท่านี้พอ 3.2 ผ่อนบ้าน - วันที่จ่ายเงิน / จำนวนเงินที่จ่าย / เงินต้นคงเหลือ / ดอกเบี้ยต่อวัน ย้ำ ต่อวันค่ะ  คำนวณว่าวันนึงต้องจ่ายดอกกี่บาทแบบละเอียดยิบเลย -_-'  จากนั้นก็เอาใบเสร็จตัวจริงไปให้แม่จ้า พอสิ้นเดือนก็เอา เงินให้แม่กับผ่อนบ้านมารวมว่าเราจ่ายไปกี่บาท @^ 0 ^@ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 21:52:59

ความคิดเห็นที่ 17 อยากให้คนไทยทุกคน หรือผู้ประกอบการทุกรุ่นไม่ว่ารุ่นเก๋า รุ่นเดอะ รุ่นใหม่ เปลี่ยนความคิดเรื่องของบัญชีว่า ไม่ใช่แค่เพื่อส่งงบกรมพัฒน์ และกรมสรรพากร เพราะบัญชีให้อะไรมากกว่าที่คุณคิดเยอะ แม้จะไม่ได้ให้เป็นรูปธรรมก็ตาม จากคุณ : Wittayu เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 23:05:36

ความคิดเห็นที่ 18   นึกถึงเวลาคุณขับรถ แล้วไม่มีเกจน้ำมัน ความเร็ว ความร้อน อ่ะคับ อาจจะขับได้ถ้ารถยังดีอยู่  หรือมีน้ำมันเยอะอยู่  แต่เราก็ไม่รู้ว่าน้ำมันจะหมดเมื่อไหร่ จะขับไปได้อีกไกลแค่ไหน เครื่องยนต์ยังปกติดีหรือเปล่า วิ่งเร็วไปไหม ยิ่งรถคันใหญ่ยิ่งมีเกจวัดค่า อุปกรณ์วัดค่าอะไรเยอะแยะไปหมด เพราะรถยิ่งใหญ่ ยิ่งต้องดูแลรักษาเยอะกว่ารถเล็กๆ เพราะมีชิ้นส่วนเยอะกว่า แล้วถ้าเป็นคุณ  คุณจะขับรถแบบมีเกจคอยบอกค่าต่างๆ หรือขับรถแบบไม่มีหน้าปัด บอกค่าอะไรเลยดีอ่ะคับ ^ ^ จากคุณ : PeBoyBan (PeBoyBan) เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 00:34:04

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ ^ ขับรถไม่เป็นคะ  เกจน้ำมัน ความเร็ว ความร้อนคืออะไร ??? ยกตัวอย่างอื่นได้ไหมเจ้า -_-' จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 00:38:43

ความคิดเห็นที่ 20 แนะนำหนังสือบัญชีครับของสำนักพิมพ์ส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญีุ่่ปุ่น "ร้านไหนกำไรมากกว่ากัน" ของ Atsumo hayashi เล่มนี้เหมาะกับมือไหม่ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบัญชี และไม่รู้ว่า ตัวเลขหรือรายการต่างๆ ในบัญชีคืออะไร เชื่อมโยงกับธุรกิจอย่างไร หนังสือเล่มนี้ ช่วยคุณในขั้นต้นได้ดีเลยครับ จากคุณ : Portillo เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 03:16:22

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามาดู ... จากคุณ : D_YONG เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 09:00:44

ความคิดเห็นที่ 22 จริงนะ บัญชีสำคัญมาก แต่ก่อนไม่เคยสนใจ มาเอะใจก็เพราะได้เงินมาเยอะแต่ทำไมเงินไม่เคยเหลือ พอทำบัญชีแล้ว รู้เลยว่าเงินเราออกไปทางไหนบ้าง ทำให้คุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็นได้ ตามอ่านตอนต่อไปค่ะ จากคุณ : The Sphinx เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 09:24:24

ความคิดเห็นที่ 23   รอเจ้าของกระทู้อย่างเดียวเลยครับ ไล่ชื่อตามคนโพส์ตเลย ถ้าจะมัวอ่านของคนอื่น กลัวหลงประเด็น ชักจะกลายเป็น "รวมมิตร" รีบๆ มานะครับ รออ่านอยู่ จากคุณ : ไอ้ลิงกัง เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 10:42:56 A:125.26.221.187 X: TicketID:187224

ความคิดเห็นที่ 24 เข้าใจว่ายังมีคนที่เข้าใจผิด ประเด็นที่ผมพูดถึงอยู่อีกมาก แต่ถ้าเราไปดูกรณีของผู้ประกอบการใหม่ที่ล้มเหลวส่วนใหญ่นั้น เกิดจาก รายได้ไม่เป็นไปตามที่คาด ซึ่งหมายถึงรายรับ และก็มีรายละเอียดประเด็น ที่ต้องเข้าใจว่า ทำไมถึงไม่เป็นไปตามคาด ในกรณีที่มีผู้กล่าวถึงการขับรถนั้น รับราย ก็เหมือนกับเครื่องยนต์ที่จะ ขับเคลื่อนรถไปข้างหน้าได้ ถ้าไม่มีเครื่องยนต์และน้ำมัน(เงินทุน) เราก็คงไม่ต้องไปพูดถึงเกจวัดอะไรต่างๆ นั่นนะครับ ประเด็นที่คุณ Kenny G กล่าวถึงประเด็นแรกนั่นถูกแล้ว คือมองอะไรง่ายๆ ซึ่งมันก็มาถึงตรงนี้แหละ คือการทำนายยอดขายผิดพลาด หรือสร้างยอด ขายไม่ได้ตามเป้า เพราะไม่เข้าใจธุรกิจนั้นและไม่เข้าใจการคาดการณ์ ยอดขาย ว่ามันใช้หลักการอะไร ส่วนใหญ่มองแบบคิดเอาเอง ประมาณเอา เอง เลยทำให้ผิดไปจากที่คิดเยอะ เอาแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะยาวไปซะอีก และจะกลายเป็นการถกในกระทู้ พอดีเห็นมีผู้แสดงความเห็นค้านประเด็นของผม ซึ่งก็ยินดีรับฟังครับ เพียงแต่ว่า ผมคิดว่าประเด็นที่มองยังผิดพลาดอยู่ เลยยกตัวอย่างที่กล่าวถึง มาชี้ให้คิดอีกมุมหนึ่งครับ ว่าลำดับอะไรสำคัญกว่าในการขับรถ จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 10:43:33

ความคิดเห็นที่ 25 มีประเด็นในเรื่องการทำบัญชีแนะนำนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากเป็นผู้ที่เรียนบัญชี มา 7 ปี บวกกับทำงานมา รวมๆ ก็เกือบ 10 ปี แนะนำว่าให้แยกเล่มการบันทึก ออกเป็น 5 เล่ม ดังนี้ค่ะ (ในแต่ละเดือน) 1. บัญชีรายรับ 2. บัญชีรายจ่าย 3. บัญชีลูกหนี้ 4. บัญชีเจ้าหนี้ 5. บัญชีสรุปยอด (รายรับ-รายจ่าย) (ลูกหนี้ คงเหลือ และ เจ้าหนี้คงเหลือ) (เหมือนการทำงบกำไรขาดทุน และ งบดุล แหละค่ะ แต่เพียงว่าเราได้ทำในขอบเขตที่เราเข้าใจ หรือสามารถเข้าไป Down Load โปรแกรมบัญชี ฟรีได้ ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cherrysay&month=03-2009&date=20&group=1&gblog=1 จากคุณ : ทิวลิปสีเงิน (ทิวลิปสีเงิน5800) เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 11:00:45

ความคิดเห็นที่ 26 ตามมาลงชื่ออีกกระทู้ค่ะ โหวตให้แล้วน๊าาา ----------------------------------------------------- อิดิท: อยากถามเพิ่มหน่อยอ่ะค่ะ ใครก็ได้ คือว่าเราก็ขายของเป็นรายได้เสริมอยู่นะ พวกเครื่องประดับแฮนด์เมด คริสตัลอะไรเทือกนี้ แต่ด้วยความที่ทำคนเดียวเลยตัดเรื่องลูกจ้างออกไป แถมทำ online แบบไม่แพงมาก ค่า host ก็แค่หลักร้อย แต่ด้วยควาทมที่เราไม่เคยเรียนบัญชีเลยยยยยยยย เรียนแต่สายภาษามาตลอด ทุกวันนี้สิ่งที่เรา "คิดว่า" มันเป็นบัญชีของร้านเลยมีแค่ 1 มีวัตถุดิบเหลือในสต๊อคเท่าไหร่จากเดือนที่แล้ว คิดเป็นเงินแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่ 2 ต้องซื้อเพิ่มอีกเท่าไหร่ (ตั้งเป้าไว้ หามาเติมแค่ครบ) 3 ค่าเดินทางในการไปซื้อของแต่ละที 4 สินค้าที่เป็นรูปร่างแล้วในสต็อคเหลือเยอะมั้ย คิดเป็นมูลค่า 5 ขายได้เท่าไหร่ เอามาหักลบกับ 1-4 แล้ว ก็ได้เป็นกำไรออกมา ไม่ทราบว่ามีตรงไหนต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขมั้ย ขอแบบที่คนทั่วไปไม่เข้าใจบัญชีเลยอย่างเราจะพอเข้าใจได้น่ะค่ะ่ ^^" แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 52 11:27:57 แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 52 11:26:26 จากคุณ : เลดี้ลิลิ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 11:16:29

ความคิดเห็นที่ 27 ประเด็นที่คุณ Jimmy Walker  พูดถึงก็คงคล้ายๆกับการบริหารโรงแรม เจ้าของกิจการโรงแรมใหม่ๆมักจะให้ความสำคัญกับการบริหารภายใน โรงแรม เช่น ระบบการทำงาน งานบริการ ความสะอาด ความสวยงามเป็นอันดับแรก แต่มักจะลืมว่าถ้าไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้นำมาใช้เลยครับ และมองว่าการจ้างฝ่ายการตลาดเป็นเรื่องสิ้นเปลือง ถ้าโรงแรมเราดี เดี๋ยวลูกค้าก็บอกต่อๆกันไปเอง อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆครับ ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจโรงแรมอย่างเดียว แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 52 12:14:41 จากคุณ : NinthOfApril เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 12:14:08

ความคิดเห็นที่ 28 ยอดเยี่ยมมากๆครับ ขออีก @^^@ จากคุณ : anandingdong (anandingdong) เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 12:19:35

ความคิดเห็นที่ 29 ผู้เริ่มต้น ธุรกิจใหม่ ส่วนมากจะทำ บัญชียากครับ ปัญหาหยิบย่อยเยอะมากๆ ยิ่งเป็นร้านขายของแล้วยิ่งปวดหัว เช่น - ราคาต้นทุนตอนแรก ปกติจะแพงกว่า ต้นทุนในอนาคต (เพราะยังไม่เจอแหล่งที่ถูกจริงๆ หรือ ปริมาณการสั่งสินค้ายังไม่ถึง) - ค่าใช้จ่าย จิปาถะจะเยอะ ค่าตกแต่งที่ ค่าอุปกรณ์ออฟฟิต ค่าเดินทางหาลูกค้า หาแหล่งวัตถุดิบ ค่าอะไรหยิบย่อย  เยอะ - การเริ่มลง ทำ บัญชี มันไม่ใช่แค่ รายรับ รายจ่าย แต่ต้องทำ รายการสินค้า Stock สินค้า ซึ่งมีเพิ่มตลอด - ระบบเงิน ถ้าทุนไม่หนา จริงๆ จะเป็นแนวหมุน ไม่ใช่การที่พอของขายออก หักต้นทุนสินค้าไว้สั่งตัวเดิม คือต้องเอาเงินไปหมุนสั่งอย่างอื่นไปเรื่อยๆ หากมัวทำแบบหักต้นทุนเดิมรอของเดิม รับรองไปไม่รอดแน่ๆ - ส่วนลดหน้าร้าน อัตราความผันผวนของราคาสินค้า ตามราคาตลาด การลดหรือเพิ่มราคาขายสินค้า แรกๆ ตอนเริ่ม ผมพยายามใช้ ระบบคอมพิวเตอร์ ทำโน่นทำนี่ แต่แปลกครับ กลับวุ่นวายกว่าเดิม ยิ่งระบบสำเร็จรูป ยิ่งปวดหัว ( อาจเพราะไม่เก่ง ) สุดท้าย ปัญหาจบลงที่ สมุด 1 เล่ม จดให้หมดรายรับรายจ่าย บิล อะไรก็เก็บๆๆ จดๆ สิ่งสำคัญ สำหรับ บัญชี ผมว่า คือ เรากำไรเท่าไหรต่อเดือน ( หักรายจ่ายหมดแล้ว ) ถ้าเราหาส่วนนี้ได้แล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ต้องหาได้ แน่นอน (เพราะมันต้องมีทุกส่วนถึงจะทราบส่วนนี้) จากคุณ : เด็กสิงห์ (Gappiatty) เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 14:19:52

ความคิดเห็นที่ 30 เดือนนี้ ผมทำบัญชีให้แม่คราวๆ แค่ครึ่งเดือนแรก รายรับของธุรกิจแม่ 120,000 กว่าบาท แต่รายจ่าย 100,000 บาท พอเอาให้แม่ดู แทบช๊อค เห้ย รับๆ มานี่จ่ายเยอะขนาดนี้เลยหรอ จากคุณ : pert for play เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 00:49:27

ความคิดเห็นที่ 31 ผมคิดว่าเข้าใจ  คุณ  Jimmy Walker  และเห็นด้วยกับ คุณเด็กสิงห์ ในเรื่องการให้น้ำหนัก ผมคิดว่า  การทำบัญชีเป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งที่ควรทำในการทำธุรกิจอยู่แล้ว แต่การไม่ทำบัญชีอย่างละเอียด   ก็ไม่ใช่ปัจจัยแฟกเตอร์   ที่จะชี้ว่า การเริ่มธุรกิจจะเริ่มไม่ได้และจะต้องเจ๊งเสมอไป... แต่ที่คุณ  Kenny G  จะพูดโดยรวม  ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ทำไมนักธุรกิจใหม่ๆ ทำธุรกิจแล้วภึงเจ๊ง  นี่เราพูดถึงการเริ่มทำธุรกิจสำหรับมือใหม่ใช่ไหมครับ   ผมเลยมองว่าคุณ  Kenny G   พูดถูก  แต่ให้นำ้หนักไม่ถูก สำหรับนักธุรกิจใหม่  อาจทำให้หลงประเด็น คิดว่า  ทำบัญชีแล้วจะไม่เจ๊ง   ไม่ทำบัญชีจะต้องเจ๊ง   ซึ่งมันแปลกๆ  และไม่ใช่  แฟกเตอร์ที่ถูกต้องนัก ผมคิดว่า  วิสัยทัศน์  การมองธุรกิจ    แบบหัวข้อที่แล้ว   มาเป็นอันดับแรกถูกต้องแล้ว   อย่ามองอะไรง่ายไป   การประเมิณความเป็นไปได้ของธุรกิจ  ช่องทาง  ยุทธศาสตร์  ข้อควรระวัง วิสัยทัศน์ต้องเป็นตัวนำ   บางทีการทำบัญชีละเอียดๆ   ก็ทำยากสำหรับมือใหม่     หนือทำละเอียดแต่หลงตัวเลข   ก็ทำให้หลงทางได้  ทำให้ธุรกิจเจ๊งได้เหมือนกัน.... คุณ  Kenny  G   เขียนหัวข้อขึ้นมา แล้วยกตัวอย่างมา   ที่ทำเจ้าของโรงพิมพ์ทำแล้วเจ๊งเพราะไม่ทำบัญชี  แต่กรณีนี้   ผมว่าถึงทำบัญชีก็เจ๊ง   เพราะเจ้าของขาดวิสัยทัศน์  ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีเปลี่ยน ขาดการวางแผนรับมือ   บางครั้งการมองตัวเลขบัญชีมันไม่ทันกับสถานการ์ณ   เช่นเรื่องโรงพิมพ์ตัวเลขบัญชีก็ดีๆอยู่ เพื่อนสร้างโรงงานใช้เทคโนโลยีใหม่เตรียมบุกตลาดมาเป็นปียังไม่รู้ตัว   เพื่อนเปิดเมื่อไหร่  ก็เจ๊งเมื่อนั้นเป็นต้น ผมว่าการทำบัญชี  มันเป็นแค่เครื่องมือ   ก็เพื่ออุดรอยรั่ว  เป็นเครื่องมือในการวางแผนอนาคต   บางครั้งไม่ใช้ก็วางลง   บางครั้งใช้มาไม่มากก็ทำไม่มาก ใช้มากก็ทำมาก   แต่ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่า  ไม่ทำแล้วจะต้องเจ๊งแน่ๆ ส่วนตัวก็เห็นด้วยว่า  บัญชีต้องมี  ควรต้องทำ   แต่คิดว่าน้ำหนักประเด็น.... เอาเรื่องบัญชี  มาชี้ปัจจัย  เริ่มธุรกิจให้รอด  ให้ได้   มันยังมีข้อสงสัยอยู่  ครับ วิสัยทัศน์   ยุทธศาสตร์   นโยบาย   การบริหารจัดการ....... ผมว่า  ข้อสอง   น่าจะตามมาด้วย   ยุทธศาสตร์   จะสวย ไม่ซีเรียสนะครับ  มาแจม  อิๆ   แต่ก็ต้องขอ   ขอบคุณ  kennyG  เอาประเด็นเหล่านี้   มาถกเถึยงกัน   แบบ  ชาวบ้านๆนะ    ซึ่งมีประโยชน์....  ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 10:55:35 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 10:38:53 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 10:33:15 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 10:24:14 จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 03:05:42

ความคิดเห็นที่ 32 ^ ^ ขออนุญาตแสดงความเห็นแย้งสักนิดนึง กรณีตัวอย่างเจ้าของโรงพิมพ์ผมกลับเห็นว่า ถ้าเขารู้จักทำบัญชีสักนิด พอกำไรเริ่มหดลงเพราะมีคู่แข่งเข้ามา เจ้าของโรงพิมพ์ คงจะเริ่มตื่นตัวแล้วล่ะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นส่งผลถึง การวางแผนคิดอ่านหาทาง แก้ไข เพราะโดยส่วนตัวเจ้าของโรงพิมพ์ขาดวิสัยทัศน์ที่จะมองออกได้ก่อน ซึ่งโดย ส่วนใหญ่ผมว่าคนปกติทั่วไปก็เป็นแบบนั้น ดังนั้นการทำบัญชีจึงเป็นเครื่องมือในการ สะกิด ผู้ประกอบการให้รู้ต้วก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินไปน่ะครับ จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:21:50

ความคิดเห็นที่ 33 ผมว่าการความทำเข้าใจในธุรกิจ สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ น่าจะเป็นธรรมชาติของธุรกิจนั้นก่อนมากกว่าครับ สินค้าเป็นอย่างไร แนวโน้มตลาดเป็นอย่างไร กลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไร คู่แข่งมีแค่ไหน ฯลฯ นับไม่ถ้วนครับ เมื่อคุณคำนวนถึงความพร้อมต่างๆ ได้ พร้อมที่จะลงตลาด มีแผนรับมือสำหรับปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว คุณลงมือทำธุรกิจ ตอนนั้นจึงวางแผนบัญชีเพื่อประเมินทั้งรายรับ รายจ่าย ต้นทุน ผลกำไรครับ ทำไปพร้อมกัน บัญชีเป็นเหมือนหลังบ้าน ถ้าหลังบ้านเละ หน้าบ้านก็มีปัญหา แต่การทำธุรกิจ ถ้าคุณไม่เตรียมหน้าบ้านให้ดีก่อน คงไม่มีรายรับมาถึงหลังบ้านหรอกครับ ตอนผมเริ่มธุรกิจ ผมมองดูตัวสินค้าก่อนว่าจะไปรอดมั้ย จะขายใคร จะจ้างใครผลิต จะได้กำไรเท่าไหร่ แล้วช่วงไม่มีลูกค้าจะทำยังไง จะไปหาลูกค้าเพิ่มที่ไหน ผมคิดถึงพวกนี้ก่อนน่ะครับ อาจจะไม่ได้ถูกต้องไปซะหมด แต่ผมว่าตรงนี้เป็นพื้นฐานก่อนครับ ส่วนหากเทียบธุรกิจกับการขับรถยนต์ อย่างแรกคุณต้องหัดขับรถให้เป็นก่อนครับ จากนั้นก็ศึกษาเส้นทางว่าจะเดินทางไปทางไหนดี คุณขับรถใหม่ๆ ไม่คล่องก็ต้องหาทางโล่งๆ ก่อน ออกเช้าๆ รถได้ไม่ติด ได้ขับง่าย ตามองถนนครับ ไม่ต้องมองหน้าปัด รถเสียคุณจอด รถชน คุณเจ็บครับ ^_^ *แก้คำผิด* แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 09:43:47 จากคุณ : คนรู้มาก เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 17:49:35

ความคิดเห็นที่ 34 อ่านมาตั้งแต่กระทู้แรก เป็นความรู้ดีจริงๆ จะติดตามประสบการณ์ของทุกท่านต่อนะครับ จากคุณ : หมาข้างถนนคนบ้าการ์ตูน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 19:51:03

ความคิดเห็นที่ 35 บัญชีสำคัญนะครับ เป็นตัวนึงที่ทำให้พังได้เหมือนกัน  แต่เรื่องรายได้ และลูกค้า เป็นหน้าด่านแรกเหมือนกัน  อย่ามาเถียงกันเลยว่า สมองหรือปอดสำคัญกว่ากัน  ผมว่าขาดอันไหนก็ตายเหมือนกัน จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 20:30:16

ความคิดเห็นที่ 36 เราทำร้านเกมเล็กๆ ยังทำบัญชีเลยค่ะ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนบัญชีพื้นฐานแค่ตัวเดียว นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว ลืมไปหมดแล้วต้องมารื้อฟื้นกันใหม่ ตอนนี้ใช้โปรแกรมฟรีของ Smartbiz อยู่ ซึ่งค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยาก จริงๆ เหมาะกับองค์กรใหญ่ๆ มากกว่า ของเราจะลงแค่ รายรับ-รายจ่าย การซื้อ-ขาย แล้วก็สินทรัพย์เท่านั้น ข้อดีของมันคือ ทำให้เรารู้ว่าเราลงทุนไปเท่าไหร่ เรามีสินทรัพย์อะไรบ้างเป็นมูลค่าเท่าไหร่ ในแต่ละเดือนเราต้องหักค่าเสื่อมของคอมพิวเตอร์และเฟอร์นิเจอร์อะไรบ้าง เพราะคอมพิวเตอร์พออายุ 3 ปีก็เริ่มตกรุ่นและช้าแล้ว จะได้มีเงินมาอัพเกรดหรือซื้อเครื่องใหม่ สำหรับเราคิดว่าบัญชีมีประโยชน์มากๆ สำหรับธุรกิจ จริงอยู่ว่าการทำบัญชีไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าเราจะรุ่งหรือเราจะเจ๊ง แต่บัญชีช่วยให้เราเห็นภาพรวมของธุรกิจและการหมุนเวียนของเงิน เหมือนที่คุณ Generals บอกน่ะแหละค่ะว่าบัญชีช่วยสะกิดให้เจ้าของกิจการรู้ว่าตอนนี้สภาพรวมของเราเป็นอย่างไร ถ้าเราเริ่มแย่ จะได้รีบปรับกลยุทธ์ด้านการผลิต การบริการ การตลาดให้ทันกับกระแสโลกและคู่แข่ง ป.ล. จากการที่ได้คุยกับเพื่อนๆ ในวงการร้านเน็ตด้วยกัน มีน้อยรายที่จะทำบัญชี ส่วนมากจะใช้วิธีได้เงินมาเก็บใส่ลิ้นชัก พอจะใช้อะไรเช่นจ่ายค่าเน็ต ค่าไฟ ซื้อขนมมาขาย กินข้าว ไปเที่ยว ก็หยิบในลิ้นชักไปใช้ พอมีเงินเยอะหน่อยก็เอาไปฝากธนาคาร ที่สำคัญ กว่าครึ่งไม่หักค่าแรงออกจากรายได้ เลยแลดูเหมือนมีกำไรเยอะ บางทีเปิดร้านไปเป็นปี เงินหายไปไหนหมดหว่า เพราะหยิบเข้าหยิบออกมั่วไปหมด เราติดนิสัยมนุษย์เงินเดือน พอสิ้นเดือนทีจะต้องทำบัญชีเลยว่า ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่า ค่าเน็ต เงินเดือน ค่าเสื่อม เป็นเงินไหร่ มีรายได้เท่าไหร่จากทางไหนบ้าง หักแล้วเหลือกำไรเท่าไหร่ก็ไปฝากธนาคาร ส่วนค่ากินอยู่ ประกันชีวิต ให้พ่อให้แม่ เงินเก็บให้หักไปจากเงินเดือนเลย ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเงินของร้านค่ะ มาสนับสนุนให้เพื่อนๆ ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ทำบัญชีค่ะ ถ้าเป็นธุรกิจซื้อมาขายไปอย่าลืมทำระบบสต๊อคด้วยนะคะ จะได้รู้ว่าสินค้าอะไรขายดี สินค้าอะไรไม่มีการเคลื่อนไหว จะได้นำมาจัดโปรโมชั่นเพื่อระบายสินค้าให้มีเงินเข้ามาหมุนบ้าง สินค้าอะไรขายดีจะได้ประมาณการในการสั่งของให้มากพอกับความต้องการของลูกค้า เพื่อป้องกันสินค้าขาดสต็อคจนเสียโอกาสในการขายค่ะ^^ จากคุณ : แมวเหมียวขนฟู เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 22:12:51

ความคิดเห็นที่ 37   ควบคู่กันไป ทั้งบัญชีและการขาย ทำบัญชีก็ชี้ให้เห็นโอกาสการพัฒนาธุรกิจได้ด้วย รู้สภาพของตัวเอง ขาดไม่ได้ จากคุณ : ก เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 23:24:53 A:125.24.224.204 X: TicketID:142605

ความคิดเห็นที่ 39   จริงๆด้วย จากคุณ : 45 (chuk007) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 19:22:16

ความคิดเห็นที่ 40 บัญชีของผม รายได้ -  รายจ่าย = กำไร  - - ' จากคุณ : fourbot เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 21:33:42

ความคิดเห็นที่ 41 หวังว่าคุณ Kenny G คงจะไม่น้อยใจนะครับ เพราะผมคิดว่าทุกคนก็คงจะ เข้าใจในเจตนาดีของคุณในการเขียนกระทู้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าอาจจะ คิดต่างไปในบางเรื่อง บางมุม ซึ่งจริงๆ ก็ดังที่กล่าวไปทีแรกว่า ก็ไม่อยาก จะแย้งในกระทู้ให้เสียอรรถรส แต่เมื่อมีความเห็นที่ 18 ที่พยายามชี้เหตุผลแย้งผมกลับมา ผมจึงต้อง อธิบายให้เห็นความหมายที่ผมต้องการสือ คือ "ไม่ใช่บัญชีไม่สำคัญ แต่ผมมองว่ามันน่าจะเป็นเรื่องรองๆ ลงไป" และอีกประเด็นที่ผมพยายามคิด ก่อนที่จะตอบก็คือ "เมื่อผมซึ่งก็มีประสบ การณ์มาบ้าง ทั้งกรณีของตัวเอง และการศึกษากรณีของคนอื่น เห็นต่าง ออกไป ผมควรจะนำประเด็นมาเสนอเพื่อถกกัน เพื่อการพัฒนาทางความคิด หรือว่าควรจะไปปล่อยไป ตามมารยาทของการอ่านกระทู้ และการให้เกียรติ ผู้เขียนกระทู้" ซึ่งคำตอบของผมมันออกมาว่า ประโยชน์ของเวบบอร์ด น่าจะอยู่ที่ "ประโยชน์ของผู้อ่าน" ที่ได้รับมุมมองที่หลากหลาย เพื่อการ พัฒนาทางความคิดมากกว่า ผมจึงอาจดูเสียมารยาทไปบ้าง เมื่อมาคิดแย้ง ในกระทู้ ก็หวังว่าคุณ Kenny G และอีกหลายๆ ท่านคงจะเข้าใจนะครับ จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 06:56:20

ความคิดเห็นที่ 42 ผมว่า คนเขียนกระทู้ เขา ก็แยกออกมาแล้วชัดเจนดีครับ แบ่งเป็นตอนชัดเจน ตอนหนึ่ง มองอะไรง่ายเกินไป ตอน2ต่อมา เรื่องบัญชี เขาไม่ได้เน้นสำคัญเรื่องบัญชี เพียงแต่ตอนที่2เขาพูดถึงบัญชีเขาก็ต้อง อธิบายเน้นบัญชี ที่สำคัญเขายังนำเสนอไม่จบเลย ก็เริ่มจะขัดซะล่ะ จริงๆถ้าคนที่เคยมีประสบการณ์ก็คงมองออกว่าต่อไปมีอะไร แต่ถ้าเป็นคนเริ่มใหม่ การมองอะไรเป็นขั้นเป็นตอน แบบ ทีละชิ้น แล้วนำมาทำ หาคนอธิบายให้ฟังได้ยาก ส่วนมากก็ อธิบาย แบบบ้าตำรา บริหาร เอามาใช้จริงได้ยาก แต่ มันก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่จะต้องมีการโชว์พาว เมื่อ เห็นคนอื่นนำเสนอ ซึ่ง หาได้ในพวก เก่งๆเทพๆทั้งหลาย หวังว่าเจ้าของกระทู้ จะกลับมาเขียนต่อ ปล จาก พ่อค้า รากหญ้า จากคุณ : ชื่ออะไรดี เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 08:58:01

ความคิดเห็นที่ 43 เจ้าของกระทู้ เขาพูดถึงความสำคัญของบัญชีในการทำธุรกิจ ไม่ใช่อะไรสำคัญกว่าบัญชี อย่าออกนอกประเด็นซิครับ จากคุณ : ตื่นเช้าได้แล้ว (driving-man) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 09:30:45

ความคิดเห็นที่ 44 สวัสดีค่ะคุณ kennyG ติดตามอ่านเรื่องราวของคุณตั้งแต่ห้องสินธรใช่ไหมคะเรื่องตอนนั้นรู้สึกว่าเปงเรื่องความรักของคุณกับน้องน้ำใช่ไหมคะ คือว่าติดตามอ่านถึงแค่น้องเค้าหายไปแล้วก็หากระทู้ไม่เจออีกเลยถ้าใช่ก็อยากอ่านต่ออีกเพราะชอบมากค่ะ ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆมาให้อ่านนะคะ จากคุณ : Autobot_Goo เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 11:17:41

ความคิดเห็นที่ 45 มีตอนสามไหม จะรออ่าน จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 14:53:44

ความคิดเห็นที่ 46 ผมก็ต้อง  ขออภัย  จขกท ด้วย ถ้ามีความเห็นต่างบ้างในบางกรณี   ผมก็ไม่ได้มีความเห็นว่า  บัญชีไม่สำคัญ แต่อาจะมีข้อประเด็น ควรระวัง  ในการทำ  และเชื่อสิ่งใดๆว่าถูกต้อง บางทีมันไม่ใช่  จึงมีข้อแสดงความเห็นปลีกย่อยออกมา   อย่างเช่นทำบัญชี แล้วจะอ่านบัญชียังไง  ตีความหมายว่ายังไง  ซึ่งในแต่ละธุรกิจจะแตกต่างกัน  ถ้าทำบัญชีกำไรทำให้โลภแล้วตีความหมายผิด   แทนที่จะได้ประโยชน์  กลับอาจจะได้โทษ  เป็นอีกสิ่งที่น่าจะระวัง เช่น   เห็นบัญชี  กำไรต่อเนื่อง  อาจะทำให้ไปสู่กับดัก  เหมือนปีที่แล้วตัวเลขสินค้าขายได้กำไรทั้งปี หลงดีใจสำหรับการทำธุรกิจใหม่ๆ อาจจะไปสู่การลงทุนเพิ่ม กู้เพิ่ม  ขยาย โดยการตัดวิเคราะห์ส่วนอื่นๆไป  อะไรทำนองนั้น จนวันนึงมันลงเหวโดยที่ไม่มีโอกาสฟื้นอีกเลย    การทำธุรกิจอาจะต้องมองรอบๆด้านหลายๆมุม   ผมคิดว่าการถกเถียง  แย้งในการทำธุรกิจ เสนอแง่คิด เป็นเรื่องปรกติ  ไม่มีใครอยากโชว์พาวเวอร์หรอกครับ......... แต่ในการทำงานหลายๆคนอาจจะไม่เหมือนกัน   สำหรับตัวผมเอง ใครมีข้อสงสัยอะไร  ไม่เห็นด้วยอะไร มีข้ออะไรเพิ่มเติม  พูดได้เลยตรงๆ จะได้ข้อคิด สรุป หลายแนวทาง     ผมก็คิดว่า จขกท  คงจะมีอีกหลายตอน  ถ้ามีเวลาจะตามมาลงอีก เพื่อครอบคลุม..... ขอให้กำลังใจ  จขกท  การเป็นผู้นำ  ริเริ่ม  สิ่งดีๆ   จะรออ่านตอนต่อไปนะครับ...... จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 00:59:37

ความคิดเห็นที่ 47 รออ่านต่อไปค่ะ ตามอ่านมาตั้งแต่กระทู้แรกแล้วนะคะ มีประโยชน์ดีมากค่ะ ขอบคุณ จขกท นะคะ จากคุณ : ++ชีโร่++ฟิชโช่++โจได๋++ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 11:04:45

ความคิดเห็นที่ 48 สวัสดีครับ ไม่ได้เข้ามาดูหลายวันยังมีคนติดตามอ่านเรื่อยๆ ^^ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยแบ่งแนวคิดและประสบการณ์ครับ ถ้าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านก็แนะนำมาได้ครับ ลำพังผมเองคงไม่ริอาจสอนใครได้ คงเป็นในลักษณะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแบบนี้ สำหรับบัญชี .... เห็นด้วยครับว่าการไม่ได้ทำบัญชี ไม่ได้แปลว่าคนที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ๆจะเจ๊งนะครับ ไม่ได้ต้องการจะสื่อเช่นนั้น (หรือว่าสื่อแบบนั้นไปแล้ว  ? 55 ^^  ) ..... แต่ในลำดับขั้นต่อๆไปหลังจากเริ่มเดินหน้ากิจการไปแล้ว คงมีปัญหาแน่ๆไม่มากก็น้อยถ้าไม่รู้จักทำบัญชี  ใช่ไหมครับ ซึ่งการไม่สนใจจะทำบัญชีให้เป็นระบบระเบียบก้มีคนเจ๊งไปแล้ว อย่างน้อยที่ผมทราบก็ 1 ตัวอย่างแล้วที่แม่ผมเล่าให้ฟัง (อาจมีปัจจัยอื่นๆด้วย คงไม่ใช่เพียงแต่บัญชีอย่างเดียวแน่นนอน เพราะการที่คนเราจะเจ๊งมันมีหลายสาเหตุรวมๆกัน) ทั้ง 2 ตอนที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่ได้จะตั้งเป็นกระทู้ที่จริงจังมาก ตั้งใจว่าจะลองรวบรวมสิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ๆ อาจจะพลาดไปในการทำธุรกิจ ซึ่งจริงๆมันมีหลายอย่างครับ บางอย่างก็เป็นสิ่งที่สำคัญ บางอย่างอาจจะไม่เด่นชัดมากก็คงแล้วแต่กรณีแล้วแต่ชนิดของธุรกิจแล้วแต่มุมมองนะครับ ดีใจครับที่มีหลายๆคนให้ความสำคัญและมีส่วนร่วม ยังไงก็เชิญแนะนำกันได้เต็มที่นะครับเพื่อประโยชน์ของคนที่แวะเวียนมาอ่าน แม้อาจจะเป็นแค่กระทู้เล็กๆ แต่ถ้าคนที่สนใจจะลงทุนได้อ่านแล้วเขาสามารถคิดและวางแผนทำธุรกิจได้ดีขึ้นแม้สักนิดเดียวก็ถือว่ามีประโยชน์มากมายแล้วครับ ช่วงนี้ยุ่งๆ ยังไงตอนที่ 3 ยังคิดไม่ออก ลองเสนอดูมาได้นะครับ ^^ ปล. giveหมด แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 22:15:28 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 12:23:48 จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 12:23:13

ความคิดเห็นที่ 49 บัญชีสำคัญอยู่แล้วครับ  อาจไม่เท่าส่วนหาเงิน แต่บริษัทใหญ่ ๆ นั้น  CFO ก็ใหญ่รองจาก CEO เกือบทุกบริษัท  ดังนั้นน่าจะบอกอะไรได้บางอย่าง เจ้าของกระทู้เขียนดีมากครับ  ยกตัวอย่างแบบเข้าใจง่าย  ใครอ่านก็เข้าใจ  ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อะไรมาก จากคุณ : kazama เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 18:43:36

ความคิดเห็นที่ 50 เห็นด้วยกับ ความคิดเห็นที่ 18 บัญชีนั้นทำหน้าที่วัดผลออกมาเป็นตัวเลข เพื่อนำไปใช้ในการประเมิน นักเศรฐศาสตร์ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "หากเรามิอาจวัดค่าผลได้แล้วจะประเมินผลได้นั้นอย่างไร" (ถ้าผมจำผิดต้องขออภัยด้วยครับ) เครื่องมือการวัดผลไม่สามารถคิด วิเคราห์ และตัดสินใจแทนได้ โปรดอย่างนำประเด็นด้านการวิเคราะห์และตัดสินใจมารวมเลยครับ คุณ Jimmy Walker และคุณ นิ้วจิ้ม จากคุณ : ฮีโร่ดอย เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 18:51:17

ความคิดเห็นที่ 51 ขออนุญาตนะครับคุณ Kenny G จขกท. ที่จริงผมก็ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด แต่ก็ยังเห็นบางคนไม่ยอมจบ และก็พยายามหยิบประเด็นนี้มาพูดถึงต่อ  ฉะนั้นผมจึงคงต้องขออนุญาตชี้แจ้งให้ละเอียดไปเลยว่า ที่ผมไม่เห็นด้วยนั้นเพราะอะไร หลังจากที่ผมตอบกระทู้ไปแล้วมีคนแย้งมาว่าไม่เห็นด้วย ผมก็ยังไม่แน่ใจเรื่องประเด็นและกลับไปอ่านดูหัวข้อกระทู้อีกครั้งว่า ผมอ่านผิดหรือไม่ หัวข้อกระทู้มีว่าอย่างนี้ครับ " มือใหม่ทำธุรกิจเจ๊ง " ซึ่งนั่นไม่ได้หมายถึงการที่ธุรกิจที่ดำเนินมาหลายปีแล้วเจ๊ง และการทำธุรกิจหรือสานต่อธุรกิจที่เรียกว่าบริหารธุรกิจ กับการเริ่มธุรกิจนั้นก็ไม่เหมือนกัน ความรู้ความสามารถที่ใช้ในการริเริ่มในช่วงแรก กับความรู้ที่ใช้ในการรัน ธุรกิจที่ดำเนินไปจนอยู่ตัวแล้วนั้นต่างกันมาก ผู้บริหารหลายคนที่ประสบความสำเร็จในงานประจำ(งานบริหาร)หลายคนพอออกมาทำธุรกิจแล้วจึงประสบกับความล้มเหลวจำนวนมาก อย่างประเด็นที่คุณ Kenny G กล่าวไว้ในกระทู้แรกนั้นถูกครับ คือมองอะไรง่ายๆ คิดอะไรง่ายๆ ก็เป็นภาพรวมๆ และน่าจะกล่าวถึงโดยละเอียดต่อไปว่าอะไรบ้างที่พวกเขามองง่ายๆ เรียงลำดับไป การเริ่มต่อประเด็นด้วยความสำคัญของบัญชีจึงผิดลำดับ เพราะบัญชีจะเกิดขึ้นเมื่อกิจการได้เริ่มต้นไปแล้ว มีรายรับ-รายจ่าย แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของมือใหม่ทำธุรกิจเจ๊งนั้นเริ่มผิดพลาดตั้งแต่กระบวนการตัดสินใจแล้วว่าควรจะลงไปธุรกิจที่คิดไว้ดีหรือไม่ หรือพวกเขาควรจะทำธุรกิจอะไร ถ้าเกิดคิดอยากจะทำธุรกิจ ซึ่งมันก็มีวิธีคิดของมัน อย่างประเด็นที่คุณ จขกท.ยกตัวอย่างเรื่องโรงพิมพ์ซึ่งดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง แต่ประสบปัญหาหลังจากมีคู่แข่ง นี่จึงเหมือนกับการเก็บตัวอย่างผิด เพราะเรากำลังพูดถึงผู้ประกอบการใหม่ ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่า มากกว่า 70% ผิดตั้งแต่แรกเริ่มตัดสินใจแล้ว เพราะไม่รู้จักตัวธุรกิจที่จะทำดีพอ ไม่มีปัจจัยที่เหมาะสม หรือกระทั่งไม่เข้าใจเรื่องการทำธุรกิจโดยภาพรวม ซึ่งเป็นเรื่องแรกๆ ที่คนที่สนใจจะทำธุรกิจจะต้องรู้ ก่อนที่เมื่อข้อแรกๆ เหล่านี้ผ่านไปแล้ว จึงจะไปถึงเรื่องการประเมินในรายละเอียด เช่น การคำนวน หาBreak Even (ยอดขายที่เป็นจุดคุ้มทุนในแต่ละเดือน) และถ้ากำไรได้ตามเป้า จะมีระยะเวลาคืนทุนที่กี่เดือน กี่ปี ซึ่งตรงนี้เค้าเรียก ว่าแผนการเงิน จะได้คำนวนเงินลงทุนและเงินสำรองได้ถูก แต่หากวางแผนผิด ยอดไม่เป็นไปตามเป้า(เมื่อเริ่มกิจการแล้ว) การมีความรู้เรื่องบัญชีมันก็ไม่อาจช่วยให้กิจการไปรอดได้ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องการตลาด ไม่มีทักษะในการขาย ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องหน้าบ้าน ซึ่งผมถึงคิดว่าความรู้เรื่อง เหล่านี้มันต้องมาก่อน เพราะมันคือเครื่องมือในการแก้ปัญหา(ถ้ามีปัญหา) หรือเป็นเครื่องมือในการหาเงิน(ถ้าไม่มีปัญหา) บางคนที่พยายามเอาเรื่องบัญชีไปฝากไว้กับฝ่ายการเงินก็เป็นเรื่องการ พยายามบิดเบือน บัญชีคือตัวชี้วัด ส่วนการเงินนั้นต้องเรียนรู้เรื่องแผนการ บริหารการใช้เงิน ถ้าในองค์กรใหญ่ๆ จะมีทั้งผู้จัดการฝ่ายบัญชี และผู้จัดการ ฝ่ายการเงิน ซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายการเงินจะสำคัญกว่า แต่ถ้ามองไปให้มากกว่านั้น CEO ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดนั้น ในองค์กรเชิงรุก ที่ต้องการการเติบโต เขาจะเน้นให้มาจากสายการตลาด ไม่ใช่สายการเงิน ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียงลำดับมาได้เลยครับ เป็นธุรกิจที่โตเพราะการ ตลาด ผู้ประกอบการที่ร่ำรวยที่สุดเกือบทั้งหมด มี skill เป็นนักการตลาด และนักขาย แม้กระทั่ง วอร์เรน บัฟเฟต ที่บางคนอาจบอกว่าเข้าข่ายคล้ายๆ มาทางนักการเงิน แต่จริงๆ แล้ววอเรน (ซึ่งรวยอันดับสองของโลก) นั้นเป็น นักลงทุนทางธุรกิจที่ไม่เน้นเรื่องการทำเอง เขาจะเชี่ยวชาญเรื่องการมอง โครงสร้างของธุรกิจ และประเมินราคา(ราคาหุ้น)กับมูลค่าที่แท้จริงและ โอกาสในอนาคตของธุรกิจ ถามว่ามีใครที่เป็นนักบัญชีแล้วบริหารธุรกิจจนรวยสุดๆ ถ้าไม่ใช่บริษัทบัญชี ยักษ์ใหญ่ แล้วก็แทบไม่มีเลย แน่นอน บัญชีสำคัญ แต่ความสำคัญจะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจสามารถหารายได้ เข้าบริษัทได้แล้ว ซึ่งปัญหาการหารายได้เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า เหมือนสอน ให้คนเก็บเงิน แต่ถ้ามันมีรายได้เดือนละ 5,000 ประหยัดสุดๆ มันจะเหลือ เท่าไหร่ และถ้าเราไม่สนใจเรื่องการเรียงลำดับความสำคัญ เราก็คงจะหยิบ เอาเรื่องกฎหมายแรงงานมาพูดได้(สำคัญเหมือนกันนะ) หรือการหยิบเอา เรื่องการบริหารองค์กรมาพูด ทั้งที่บริษัทำงานกันอยู่สองสามคน มันไม่ใช่ครับ มันไม่ถูกประเด็น หลายคนที่แย้งผมเชื่อได้เลยว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีกิจการไปได้แล้ว(อย่างน้อยในระดับหนึ่ง) จึงมองจากตัวเอง จนลืมมองประเด็นของเรื่องกระทู้ ซึ่งกำลังพูดถึงมือใหม่ที่ทำธุรกิจเจ๊ง(ตามสถิติทั่วไป ธุรกิจใหม่ 90% จะเจ๊งในปีแรก อีก 5% เจ๊งในอีกสองสามปี และที่เหลือจึงเป็นพวกที่ไปตลอดรอดฝั่ง ซึ่งก็เติบโตแตกต่างขนาดกันออกไปอีก) ที่แม้ว่าปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นบ้างก็คงไม่มากนัก แต่ที่สำคัญคือ พวกเขาจะเจ๊งภายใน 1 ปี ซึ่งถ้าเราไปดูจริงๆ แล้วจะเห็นว่ากิจการเหล่านี้แทบไม่มีทางเยียวยาเลย เพราะปัจจัยมันไม่ครบ มันแก้ยาก มันไม่เกี่ยวกับบัญชี ที่กำลังพูดว่ามันเป็นตัวชี้วัด ผมถึงบอกว่าเราควรพูด เรื่องอื่นก่อนเรื่องบัญชี(ซึ่งหมายถึงเรื่องพวกนี้แหละ) ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี่ก็เพราะผมศึกษามาเยอะ (เป็นความสนใจเฉพาะตัว) จนผมเข้าใจเรื่องโครงสร้างของการทำธุรกิจเกือบหมดแล้ว (แต่ไม่ใช่แบบวิชาการที่เรียนกันในมหาลัย ผมเห็นว่าวิธีสอนแบบนั้นยังมีข้อบกพร่อง) ซึ่งผมก็เขียนหนังสือเรื่องนี้ไปเล่มหนึ่ง และกำลังผันตัวเองไปเอาดีทางด้านการเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ (เพราะมันตรงกับความถนัดของผม แต่เดี๋ยวก็หาว่าโชว์พาวอีก ก็ขอบอกไว้อีกนิดว่า ผมก็ไม่รู้จะโชว์พาวในห้องนี้ไปทำอะไร ในเมื่อผมกำลังไปสร้างการยอมรับในคนอีกระดับหนึ่ง - ใครรู้จักตัวจริงผมจะรู้ว่าผมไม่ใช่คนขี้คุยนะ และก็ไม่ชอบคนขี้คุยด้วย แต่ก็รำคาญความคิดบางคนที่มองการเสนอความคิด เป็นเรื่องการโชว์พาว ขี้คุย ขี้โม้ หรือชอบที่จะจมปลักอยู่กับความคิดของตนเองก็ไม่ทราบได้) ที่จริงผมเขียนเรื่องการทำธุรกิจไว้ในบล๊อกนะ เข้าไปดูได้ และที่ไม่เขียนลงเป็นกระทู้ก็เพราะเบื่อคนที่หาว่าผมอยากดัง กับเบื่อพวกที่แย้งโดยไม่รู้จริง จำไว้นะครับ ทุกเรื่องในโลกนี้ ต้องศึกษาถึงจะรู้จริง การเอาคอมมอนเซนส์มาคิด มันก็เหมือนที่กระทู้คุณ Kenny G กระทู้แรกพูดไว้นั่นแหละ คือ มองอะไรๆ ง่ายเกินไป แต่นิสัยคนมันชอบที่่จะวิจารณ์ไปทุกเรื่อง คิดว่าตัวเองรู้ไปทุกเรื่อง ทั้งที่ไม่เคยศึกษาให้ลึกซึ้ง ถ้าคุณศึกษาเรื่องอะไรบางอย่างจนลึกซึ้งและเชี่ยวชาญ คุณจะรู้เลยว่า สิ่งที่คนทั่วไปมองนั้น มันคนละโลกกันเลยกับที่คุณรู้ จำไว้ว่าคนเก่งๆ จะคิดต่างจากคนส่วนใหญ่เสมอ ถ้าคุณกำลังคิดเหมือนคนทั่วไป คุณก็กำลังเป็นคนทั่วไปคืออยู่กลางๆ หรือล่างๆ ของปิรามิดครับ (คำสอนนี้เป็นของวอเรน บัฟเฟตด้วยนะครับ) ขออภัยที่ตอบยาว รกกระทู้ แต่ผมจะตอบเป็นกระทู้สุดท้ายในห้องนี้แล้วครับ ลังเลอยู่บ่อยๆ เรื่องตอบกระทู้ห้องนี้ ตอนนี้ตัดสินใจได้แล้วครับ จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 23:16:54

ความคิดเห็นที่ 52 ได้อ่านข้อความของคุณ  Jimmy Walker  ได้แง่คิดที่ผมคิดไม่ถึง และมีประโยชน์มากครับ     และความเห็นของอีกหลายท่าน ก็ทำให้มีหลายมุม  ก็ดีกว่ามีมุมเดียว...... สำหรับตัวผม      ไม่อนุมัติให้คุณ     ลาออก......... จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 00:35:13

ความคิดเห็นที่ 53 ขอเสริมนิดนึงนะครับ  เรื่องบัญชี  ตอนจบใหม่ ๆ เคยไปทำเป็นที่ปรึกษาในส่วนบัญชีก๊อกแก๊ก ๆ อยู่ปีนึง  แต่มันก็ผ่านมาหลายปีมากแล้ว  ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่เจอในตอนนั้น  ผู้บริหารจนถึงเจ้าของบริษัทส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับบัญชี  และตัวเลขมาก  อย่างที่บอกว่า  ทำไม CFO ถึงใหญ่รองจาก CEO ที่มีหน้าที่ตัดสินใจทิศทางของบริษัท  เพราะข้อมูลที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจและสามารถวัดผลออกมาได้ง่ายที่สุดคือข้อมูลตัวเลขทางบัญชี บริษัทที่เป็นส่วนการผลิต  หรือแม้แต่บริษัทแบบอื่น ๆ ถ้าไม่มีข้อมูลทางบัญชีมาอ้างอิงแล้ว  ก็เท่ากับว่าไม่รู้อะไรเลย   เจ้าของบริษัทบางคนถึงกับพูดว่า  เขายังไม่รู้เลยว่าที่ผลิต ๆ ออกมาขายเนี่ย  ตัวไหนกำไรขาดทุนเท่าไหร่   บางทีตัวที่ขายดีที่สุด  อาจเป็นตัวที่ผลิตออกมาแล้วขาดทุนก็ได้  ยิ่งขายได้เยอะ  บริษัทยิ่งแย่  ยิ่งโหมโปรโมทหาทางให้ขายดีมากขึ้น  บริษัทนั้นก็ยิ่งจะขาดทุนกำไรไปเรื่อย ๆ นอกจากดูงบการเงิน  เผื่อดูการเคลื่อนไหวแบบคร่าว ๆ  บัญชียังมีวิธีที่จะช่วยดูเฉพาะจุด  เฉพาะอย่าง  เช่นการผลิตสินค้าแต่ละตัวว่ามีต้นทุนอะไรเท่าไหร่  ก็ใช้วิธี ABC (Activity Based Costing) มาช่วย  มาวัดผล  ทำให้รู้ว่าต้นทุนแต่ละชนิดสินค้าเป็นเท่าไหร่  การทำ budgeting การเข้าใจ cashflow ถือเป็นกลยุทธสำคัญที่จะวางแผนในการบริหารได้เป็นอย่างดี จากคุณ : kazama เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 12:44:11

ความคิดเห็นที่ 54 จะบอกว่าการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจนั้น  แม้ว่าเราจะเก่งในบางเรื่องขนาดไหนก็เถอะ  แต่ถ้าวัดผลออกมาไม่ได้ก็ลำบาก  ไม่ว่าจะเก่งการตลาด  เก่งการบริหาร  จะบอกผู้บริหารบริษัทให้ทำตาม   ถ้าพูดไม่เก่งจริง  ผู้บริหารไม่เชื่อใจเราจริง ๆ  ยากที่เขาจะ่ทำตาม  ยิ่งเขาอยู่กับบริษัทมากี่ปี  คลุกคลีกับธุรกิจนั้นมาเท่าไหร่  อยู่ดี ๆ เราเป็นใครจะไปแนะนำเขาให้มาเปลี่ยนตามแบบเรา   เหมือนกับว่าที่ผ่านมาเขาทำไม่ถูก   เหมือนเราไปหักหน้าเขากลาย ๆ  ยิ่งนิสัยคนไทยด้วยแล้ว   เราเนี่ยจะโดนกลับมาไม่ใช่น้อย - -'  แม้ว่าสิ่งที่เราบอกจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่ถ้ามีตัววัดผล  ซึ่งก็เป็นตัวเลขทางบัญชีเนี่ยแหล่ะ ทำ forecasting ทำ budgeting ให้ดู  และใช้งบการเงินที่ผ่านมา  บอกว่ากำไรขาดทุนเท่าไหร่  และถ้าเราเปลี่ยนหรือเริ่มในสิ่งใหม่ ๆ นี้  ใช้เงินเท่าไหร่  และผลที่ได้กลับมานั้นคาดว่าจะเป็นเท่าไหร่   สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริหารคล้อยตามได้ง่าย   และเป็นตัววัดผลที่มีที่มาที่ไปแน่นอน  ถ้าเขาจะไม่ทำตามเราก็ต้องหาสิ่งมาหักล้างกับข้อมูลตัวเลขที่เรามี แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 13:01:31 จากคุณ : kazama เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 13:01:08

ความคิดเห็นที่ 55 บัญชีมันลึกซึ้งมากขนาดคนที่เรียนบัญชีมา 7 ปี ยังเข้าใจไม่หมดเลย จากคุณ : ลูกจ้าง (Nrosida81) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 14:03:42

ความคิดเห็นที่ 56 บัญชีมันลึกซึ้งมากต้องใช้เวลานานในการศึกษาและสำคัญเชื่อครับ ก็ศึกษาให้มันลึกซึ้งครับผมว่าดีจะได้เป็นที่ปรึกษาทำงานให้บริษัทใหญ่ ตำแหน่งจะได้ก้าวหน้า   หรือเปิดบริษัทรับทำปรึกษาบัญชีก็ได้ แต่ที่พูดในที่นี้ ทุนระดับ พันล้าน จะเริ่มธุรกิจ  คงไม่ได้เข้ามาถาม คิดเอาเองว่าคงเป็น  คนทุนน้อย  ประสบการ์ณน้อย  เบื่องานประจำ  อยากทำงานส่วนตัว  เช่น  ขายก๋วยจั้บ   จะเริ่มยังไงดีไม่ให้เจ๊ง   ที่พอแนะนำได้บ้าง เป็นต้น    ผมว่าคงไม่ต้องถึงขนาดไปศึกษาการทำบัญชีก่อนซักห้าหกปีครับ..... เหมือนเรื่องที่หลายท่านเคยอ่าน   ด็อกเตอร์   นักสมุทรศาสตร์  เก่งเรื่อง ทะเล รู้ละเอียดยิบ  รู้ทุกอย่าง   บอกว่า คนเรือโง่จังอยู่บนเรือมาตั้งนานไม่รู้เรื่องทะเลบัางเลยหรือนั่งยิ้มอยู่ในใจ    แต่  วันหนึ่งคนเรือบอกวิ่งมาบอก นักสมุทรศาสตร์  น่าตาตกใจเกิดเรื่องใหญ่ครับท่าน   แต่คิดว่าท่านคงเอาตัวรอดได้นะ  นักสมุทรศาตร์ถามเรื่องอะไร   คนเรือบอก  เออ  คือเรือกำลังจะจม   ท่านคงว่ายน้ำเป็นนะ   นักสมุทรศาตร์ บอก ช  ห ตูว่ายน้ำไม่เป็นโว้ย....... ผมคิดเอาเองนะครับว่า   ไม่ว่าจะเป็นนักบัญชีระดับเซียนทำมาหลายสิบปี  ถ้าคิดจะเริ่ม  เป็นเบอร์  หนึ่งคือทำธุรกิจของตัวเอง อันแรกสุด  ต้องหลุดออกมาจากกรอบ  ของ  เบอร์สอง   ก่อนครับ.... จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 18:17:51

ความคิดเห็นที่ 57 มารออ่านตอน 3 ฮะ จากคุณ : fourbot เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 19:44:46

ความคิดเห็นที่ 58 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 21:43:28

ความคิดเห็นที่ 59 ผมคิดว่าผมให้เกียติผู้ที่ผมแย้งด้วยการเอ่ยชื่อ และกล่าวอย่างสุภาพนะครับ ผมเองไม่ได้เอ่ยถึงว่าคุณ Jimmy Walker อยากดัง หรือแสดงข้อความดูถูกดูแคลนแต่อย่างใด เพียงแต่ผมไม่เห็นด้วยที่นำประเด็นด้านการวิเคราะห์และตัดสินใจมารวม แต่คอมเม้นที่คุณ Jimmy Walker เขียนกลับมา _____________________________________________________ ขออนุญาตนะครับคุณ Kenny G จขกท. ที่จริงผมก็ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด แต่ก็ยังเห็นบางคนไม่ยอมจบ และก็พยายามหยิบประเด็นนี้มาพูดถึงต่อ  ฉะนั้นผมจึงคงต้องขออนุญาตชี้แจ้งให้ละเอียดไปเลยว่า ที่ผมไม่เห็นด้วยนั้นเพราะอะไร _____________________________________________________ ที่จริงผมเขียนเรื่องการทำธุรกิจไว้ในบล๊อกนะ เข้าไปดูได้ และที่ไม่เขียนลงเป็นกระทู้ก็เพราะเบื่อคนที่หาว่าผมอยากดัง กับเบื่อพวกที่แย้งโดยไม่รู้จริง จำไว้นะครับ ทุกเรื่องในโลกนี้ ต้องศึกษาถึงจะรู้จริง การเอาคอมมอนเซนส์มาคิด มันก็เหมือนที่กระทู้คุณ Kenny G กระทู้แรกพูดไว้นั่นแหละ คือ มองอะไรๆ ง่ายเกินไป แต่นิสัยคนมันชอบที่่จะวิจารณ์ไปทุกเรื่อง คิดว่าตัวเองรู้ไปทุกเรื่อง ทั้งที่ไม่เคยศึกษาให้ลึกซึ้ง ถ้าคุณศึกษาเรื่องอะไรบางอย่างจนลึกซึ้งและเชี่ยวชาญ คุณจะรู้เลยว่า สิ่งที่คนทั่วไปมองนั้น มันคนละโลกกันเลยกับที่คุณรู้ จำไว้ว่าคนเก่งๆ จะคิดต่างจากคนส่วนใหญ่เสมอ ถ้าคุณกำลังคิดเหมือนคนทั่วไป คุณก็กำลังเป็นคนทั่วไปคืออยู่กลางๆ หรือล่างๆ ของปิรามิดครับ (คำสอนนี้เป็นของวอเรน บัฟเฟตด้วยนะครับ) _____________________________________________________ ดูถูกคนอื่นเป็นชุดๆ แถมยังกล่าวถึงบุคคลทางอ้อมอีกด้วย ครับ ความเห็นคุณถูกต้องเสมอ ใครก็แย้งไม่ได้ ใช่สิครับ ผมมันแค่เด็กอมมือกล้าดียังไงไปแย้งความเห็นผู้เชียวชาญอย่างคุณ เห็นคุณในห้องสีลมมาตั้ง 4 - 5 ปี พึ่งกระจ่างวันนี้เองครับ จากคุณ : ฮีโร่ดอย เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 02:28:52

ความคิดเห็นที่ 60 ตอนแรกติดตามผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ดูเหมือนจะดีน่ะครับ แต่พอ ตามอ่านเรื่อยๆ ก็เหมือนจะยิ่งรั่วๆ สงสัยเขาคงจะเป็นคนประเภท อ่านและ ศึกษาอย่างลึกซึ้งแต่คงจะไม่ได้เป็นประเภททำและรู้อย่างลึกซึ้งมั้งครับ คนที่เซียนจริงเขาไม่มาเสียเวลานั่งหลงตัวเองและดูถูกคนอื่นอยู่หรอกครับ ยกเว้นพวกที่แกล้งทำเป็นเซียน จากคุณ : driving-man เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 09:27:43

ความคิดเห็นที่ 61 เห็นด้วยกับจขกท.นี้ค่ะว่าบัญชีเป็นเรื่องสำคัญมากของการทำธุรกิจไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ดิฉันทำธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงพอสมควร แน่นอนว่าเป็นเงินโอดีแบงค์ส่วนหนึ่ง ช่วงเศรษฐกิจดีๆมีรายรับสูง กำไรแบบอยู่ได้สบายๆ แต่ก็มีช่วงที่แย่ๆขาดทุนทุกวัน เพราะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งค่าพนักงาน ค่าใช้จ่ายอื่นๆจิปาถะ รวมไปถึงดอกเบี้ยแบงค์ด้วย สองปีก่อน ดิฉันขายที่ไปแปลงหนึ่ง ได้กำไรพอสมควรที่สามารถไปปิดโอดีได้ ก็คิดว่าจากนี้ไปคงจะทำธุรกิจแบบสบายๆไม่ต้องเครียดเรื่องหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยแล้ว แต่ในความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นแค่ระยะเวลาไม่นาน ช่วงที่ขายไม่ดี หมุนเงินไม่ออก ก็ต้องกลับมาใช้เงินแบงค์เหมือนเดิม ทุกวันนี้พยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนเราหาเงินได้มากเท่าไร แต่มันแทบจะไม่มีเหลือเลย เวลาจ่ายอะไรไปแต่ละอย่างเหมือนเล็กน้อย แต่ถ้ามีการลงบัญชีที่แน่นอนจะทำให้เรารู้ว่าเงินมันหายไปไหน จากคุณ : jomo (jomoland) เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 09:30:51

ความคิดเห็นที่ 62 ## มือใหม่ทำธุรกิจเจ๊ง ตอนที่ 2 "ไม่เห็นความสำคัญของบัญชี" ผมก็พึ่งเจอปัญหาเหมือนกันเร็วๆนี้   พอดีมีเพื่อนทำงานฝ่ายบัญชีให้บริษัทนึง ทำมาสิบกว่าปีแล้วก็ระดับหัวหน้า   เงินเดือนก็สูงขึ้นตอนนี้คล้ายๆจะโดนบีบ เดี๋ยวจะย้ายบ้างอะไรบ้าง อึดอัด  ถามผมมาหลายรอบ  อยากจะทำธุรกิจส่วนตัวแบบผม   ช่วยแนะนำแนวทางให้หน่อย แล้วผมจะแนะนำเพื่อนคนนี้ยังไงดี............. จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 09:42:31

ความคิดเห็นที่ 63 เข้ามาชี้แจงกับคุณฮีโร่ดอยอีกครั้งนะครับ ปกติ ผมจะชอบตรวจสอบความคิดของตัวเองเสมอ และยินที่จะมีคนคิดต่าง จากผม แต่ที่ผมไม่ชอบเลยในความคิดเห็นของหลายๆ คนก็คือ มีการเสียดสี อยู่ในที กลับไปดูความเห็นแรกของผมที่คัดค้าน ผมก็ยังให้เกียรติคุณ จขกท. และไม่เคยจะกล่าวอ้างถึงเครดิตของตัวเอง ที่ผมก็ศึกษามาอย่าง ลึกซึ้งเหมือนกัน เพราะผมถือว่า คุณจขกท. ควรจะได้รับเกียรติ เพราะมีเจตนา ที่ดีในการเสนอความรู้ และความเห็น เรื่องความเห็นของคุณนั้นบ่งชัดว่า กำลังจะบอกว่า วิธีคิดที่ใช้การวิเคราะห์ ของผมและคุณนิ้วจิ้ม นั้นผิด เรียกว่าหาว่าผิดตั้งแต่วิธีคิดเลยครับ ถ้าคุณจะแย้ง ผมคิดว่าพยายามหาเหตุผลมาแย้งแบบของคุณ KAZAMA ใน #53 และ # 54 จะยังดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าผมไม่อยากจะมาแย้ง ในกระทู้นี้แต่แรกแล้ว เพราะแย้งมากไป ก็จะกลายไปตำหนิหรือขโมยซีน ไปจากคุณ Kenny G เจ้าของกระทู้(ซึ่งให้เกียรติด้วยใจจริง)เสียมากกว่า และจะทำให้กระทู้เสียไปด้วย ในความเห็นแรก ผมจึงบอกว่า ผมขอรอ กระทู้ต่อไปดีกว่า (แต่ก็ยังมีการหยิบประเด็นของผมมาพูดไม่จบ เหมือน บีบให้ผมต้องออกมาอธิบายทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง) เรื่องความเชี่ยวชาญนั้น ยอมรับว่าบางครั้ง รำคาญการแย้งจากบางคนซึ่ง ส่วนใหญ่มักเป็นพวกไม่รู้ลึก แต่ชอบแฝงอารมณ์เหน็บแนม (ถ้าคุณรู้ลึก ในเรื่องอะไรสักเรื่อง คุณจะรำคาญคนประเภทนี้มากที่สุด ผมเชื่อว่าเป็น กันทุกคนแหละ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้โต้เถียงด้วยการให้เกียรติคุณเลย) มีคำหนึ่งที่ผมเองยังใช้พูดติดปากเสมอ เวลาผมสงสัยในสิ่งที่ผมไม่ค่อยรู้ ต่อคนที่รู้ ก็คือ “นี่ผมสงสัยด้วยความไม่รู้นะครับ” ซึ่งมันจะทำให้ผู้รู้อยาก จะตอบขึ้นอีกมาก แทนที่จะไปแสดงอาการเหมือนตั้งคำถามแย้งแบบ ที่ไม่รู้จริง (สมัยก่อนเคยมีสมาชิกบางคนที่หยาบคายกับผม แต่รู้จริง ผมก็ว่ายังน่าตอบ น่าคุยซะมากกว่า เพราะอย่างน้อย ผมก็ยอมรับความเห็น บางอย่างของเขา เพราะเขารู้จริง) มีคนเก่งๆ หลายคนที่เป็นสมาชิกห้องรุ่นเดียวกับผม หรือก่อนหน้าผม เลิกเล่น ห้องนี้ไปนานแล้ว เพราะต้องมาเจอกับการคุยแบบหยาบคาย แทนที่จะสนทนา แบบสุภาพ ให้เกียรติ เพื่อประโยชน์ในองค์ความรู้ ซึ่งแน่นอนว่า ผมคงไม่ จำเป็นต้องให้เกียรติคนที่ไม่ได้ให้เกียรติผมเช่นกัน ที่คุณกล่าวว่าเห็นผมมา 4-5 ปี ก็อาจจะแค่เห็นผ่านๆ เท่านั้นแหละครับ เพราะถ้าติดตามอ่านของผมจริงๆ จะรู้ว่า วิธีคิดของผมจะเป็นขั้นตอนและ ถนัดในเชิงวิเคราะห์ หรือกลยุทธ์เป็นพิเศษ ฉะนั้นคุณน่าจะรู้ดีว่า การแย้ง ของผมคงไม่ใช่การคิดเลื่อนลอย แต่มีการคิดเป็นระบบมาก่อน การกล่าวว่าผมใช้วิธีคิดผิดในสถานการณ์นี้ จึงอยากให้กลับไปจับประเด็น ที่ผมพูดให้ชัดเจนเสียก่อน จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 09:48:32

ความคิดเห็นที่ 64 ส่วนข้อชี้แจงของคุณ KAZAMA ในสองอันสุดท้าย ผมบอกแล้วว่า จากการ ศึกษาที่ผมพบ ปัจจัยของการเริ่มธุรกิจ กับการบริหารธุรกิจ(ที่เริ่มต้นมาแล้ว) นั้นแตกต่างกันมาก เรียกว่าต้องใช้ความสามารถแตกต่างกันเลยทีเดียว ความสำคัญของบัญชีจึงแตกต่างกันตามสภาวะเวลาด้วย เมื่อธุรกิจมียอดขาย อยู่ตัวอย่างในธุรกิจใหญ่ๆ นั้น การให้ความสำคัญกับเรื่องการเงินหรือบัญชี จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันเลยเรื่องการตลาดไปแล้ว แต่แน่นอนว่าการคำนวนกำไรคร่าวๆ เช่น กำไรต่อชิ้น หรือกำไรหลังหักค่า ใช้จ่าย ในช่วงประเมิน ก่อนลงมือทำธุรกิจก็คงจะเป็นเรื่องจำเป็น(ซึ่งก็คง ไม่ถึงกับเรียกว่าบัญชี) และถึงอย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของผม ขั้นตอน แรกก่อนที่จะไปถึงการคำนวณทางการเงินหรือคุ้มทุนนั้น ก็ยังมีสิ่งสำคัญ สิ่งแรกที่คนที่จะทำธุรกิจจะต้องมีหรือต้องเข้าใจ ก็คือ วิธีการหาเงิน หรือ ความเข้าใจว่าพวกเขาจะขายสินค้าได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ผู้ประกอบการ ทุกคนต้องเข้าใจก่อน ถ้าคุณขายของไม่เป็น ไม่เข้าใจการตลาด ไม่มีคอนเนคชั่น ฯลฯ หรืออะไร ที่เกี่ยวกับการขายสินค้าของคุณ เรื่องเหล่านี้ คุณไม่สามารถแก้ไขหรือทำ ความเข้าใจได้ในไม่กี่วัน มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ การประเมินความ เป็นไปได้ของธุรกิจระหว่างคนมีประสบการณ์กับคนไม่มีประสบการณ์ จึงแตกต่างกันอย่างมาก เพราะมันประกอบไปด้วยหลายเรื่องที่ต้องรู้ก่อน จะทำให้เกิดมุมมองทางธุรกิจที่คมชัด ในขณะที่บัญชีเบื้องต้น คุณสามารถ เรียนรู้(เท่าที่จำเป็น) ได้ในไม่กี่วัน คนที่จะเริ่มธุรกิจจึงต้องเข้าใจเรื่องวิธีการที่จะทำให้สินค้าขายได้เป็นอย่าง แรก ต้องเข้าใจพฤติกรรมการซื้อที่แท้จริงของลูกค้า ไม่ใช่คิดเอาเอง (พฤติกรรมการซื้อของแต่ละธุรกิจนั้นแตกต่างกัน คนจะทำธุรกิจใหม่ จึงต้องรู้เรื่องในวงการนั้น)และต้องไม่ลืมในมุมของการแข่งขัน (สินค้า ไม่ได้มีของคุณเจ้าเดียว) ผมขอย้ำอีกครั้ง ผมชอบที่จะแลกเปลี่ยนกับคนอื่น และยินดีที่จะตอบ คำถามกับคนที่ถามหรือแย้งแบบสุภาพ ส่วนเรื่องการดูถูกนั้น ใช่ครับ ผมดูถูก คนไม่รู้ที่อวดรู้ แต่ยินดีสนทนากับผู้ไม่รู้ที่ถ่อมตน หรือผู้รู้ ที่แลกเปลี่ยนความคิดอย่างสุภาพชน ในฐานะของผู้ที่เชื่อมั่นว่าตนเอง รู้จริงในบางเรื่อง ผมก็คงไม่ค่อยอยากจะให้หรือแชร์ความรู้ที่ผมมี กับคนที่ไม่ได้ให้เกียรติผมเลย ขออภัยคุณ Kenny G จขกท. อีกครั้ง แม้ว่าผมจะคิดต่างกับคุณ ในเรื่องนี้ แต่ผมให้เกียรติคุณเสมอนะครับ จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 09:50:02

ความคิดเห็นที่ 65 ผมเล่นห้องสีลมตั้งแต่วันแรก ๆ ทีเปิด บรรยากาศตอนเปิดมีแต่คนมาแชร์ประสบการณ์  แลกเปลี่ยนความรู้กัน เพราะต่างคนก็ต่างคนใหม่กันทั้งนั้น สิ่งที่เขียนใน #53  #54  คือประสบการณ์ที่ตัวเองเคยผ่านมา   ไม่ได้ดีอะไรมาก  แต่กับคนที่ไม่ได้รู้เรื่องทางบัญชี  ก็คงพอถือเป็นความรู้ใหม่ได้ ผมบอกได้ว่า ไม่ต้องเถียงเอาชนะกันหรอกครับ เรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่า   คนที่มาอ่านมาเขียน ก็ได้ประสบการณ์ของแต่ละคนไป win-win กันทั้งหมด ต่างคนต่างได้ความรู้ใหม่ ๆ ของอีกคนไป   ทั้งคนที่มาแลกเปลี่ยน  ทั้งคนอ่าน การจะเถียงให้ชนะกัน  ไม่เห็นประโยชน์ครับ จากคุณ : kazama เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 12:42:35

ความคิดเห็นที่ 66 เรียนคุณ Jimmy Walker หากคุณคิดว่าผมเข้าใจประเด็นที่คุณต้องการสื่อผิดทำไมไม่ขยายความ ประเด็นที่คุณต้องการสื่อละครับ ผมว่าเจ้าของบทความย่อมเข้าใจได้ดีกว่า ผู้ที่มาอ่านภายหลัง ฉะนั้นผมขออนุญาตขยายความในส่วนบทความของผม _____________________________________________________ เครื่องมือการวัดผลไม่สามารถคิด วิเคราห์ และตัดสินใจแทนได้ โปรดอย่างนำประเด็นด้านการวิเคราะห์และตัดสินใจมารวมเลยครับ _____________________________________________________ ที่ผมต้องการสื่อ - หัวข้อกระทู้นี้เกี่ยวกับกระบวนการ การใช้งาน และประโยชน์จากบัญชี ประเด็นด้านการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจควรจะเอาไปรวบยอดยังกระทู้อื่น เนื่องจาก หากยังไม่เข้าใจกระบวนการ การใช้งานและประโยชน์จากบัญชี ก็จะไม่เข้าใจถึงการนำตัวเลขทางบัญชีมาคิดวิเคราห์และตัดสินใจ ประเด็นของกระทู้ที่ว่า"ความสำคัญของบัญชี" จึงมีจุดประสงค์ ที่ต้องการให้ผู้อ่านเรียนรู้เข้าใจ การบวนการ การใช้งานและประโยชน์จากบัญชีครับ ด้วยความที่คุณมีประสบการณ์ ทำให้รายละเอียดเหล่านี้สามารถข้ามไปได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยจับธุรกิจแล้ว เป็นเรื่องที่เข้าใจยากครับ ยิ่งเป็นความรู้ทางด้านศิลป์แบบที่คุณกล่าวมา เกรงว่าจะทำให้มือใหม่ทั้งหลายที่เข้ามาอ่าน งง เป็นไก่ตาแตกกลับไป แค่ด้านศาสตร์ยังหน้ามืดลมจับกันแล้ว ค่อยๆไปทีละก้าวดีกว่าครับ กระทู้ยังอีกยาวไกล พึ่งขึ้นตอนที่ 2 เอง ผมขอติคุณ Jimmy Walker เป็นการส่วนตัวนิดหนี่ง ผมถือว่าการติเป็นการวิจารณ์เพื่อชี้ให้เห็นถึงจุดบอด และให้เกิดประโยชน์จึงควรระบุชื่อผู้ที่ต้องการติลงไปด้วย อีกทั้งยังเป็นการแสดงว่าผู้ติรับผิดชอบต่อคำตินั้นๆ กรณีที่เจอบุคคลไม่พึงประสงค์ ในโลกไซเบอร์นี้ได้มีประโยคสากลอยู่ว่า "Don't feed the trolls" ซึ่งเป็นทุกที่ครับ ไม่ใช่แค่พันทิพ สุดท้าย ตัวผมเองไม่ได้เป็นเชียวชาญเรื่องใดๆ ผมก็แค่คนชอบศึกษา ซึ่งทุกครั้งที่ผมคิดว่ารู้มากแล้วมักจะมีผู้ที่รู้มากกว่าผมเสมอ จากคุณ : ฮีโร่ดอย เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 18:45:52

ความคิดเห็นที่ 67 เรียนคุณฮีโร่ดอย ผมไม่แน่ใจว่าคุณพิมพ์ตกหล่นอะไรไปในคคห. 50 หรือไม่ แต่จากที่ผมอ่าน เหมือนคุณกำลังจะบอกผมว่า ผมไม่ควรจะนำหลักคิดเชิงวิเคราะห์มาใช้ในกระทู้นี้(ซึ่งหมายถึง กระทู้ทั้งชุดที่จะพูดถึงเรื่องมือใหม่ทำธุรกิจเจ๊งนี้) โดยเฉพาะคำว่า"โปรดอย่า"มันฟังแล้วเหมือนผมกำลังทำอะไรผิด และยิ่งคุณไม่ได้ชี้แจงต่อลงไป ผมเลยเข้าใจประมาณนี้ ซึ่งยอมรับว่ารู้สึกไม่ค่อยพอใจ เพราะเหมือนการถูกวิจารณ์เชิงวิธีคิด มากกว่าเนื้อประเด็นของเรื่องจริงๆ หลายๆ ท่านที่อยู่มาหลายปี รวมทั้งคุณ kazama ก็น่าจะทราบดีว่าผมอยู่ห้องนี้มา ก็ทะเลาะกับคน(เชิงความคิด)มาเยอะ จากหงุดหงิดตื่นเต้น(แรกๆ) จนกลายเป็นชินและเฉยๆ จนกลายเป็นเบื่อที่จะทะเลาะถกเถียงกับใคร แต่สิ่งที่บางท่านอาจจะเห็นผมโต้ตอบรุนแรงทุกครั้ง ก็คือการกล่าวหาประเภทมีผลประโยชน์ ปั่นกระทู้ตัวเอง อยากดัง หรืออะไรที่เป็นการกล่าวหาตัวผม มากกว่าการถกที่ประเด็นคิด อย่าง # 43 ก็เป็นอันนึงที่ผมเห็นว่า ยังเข้าใจประเด็นที่ผมพูดไม่เคลียร์ แล้วยังมาหาว่าผมออกนอกประเด็น (ส่วน #42 คงไม่ต้องให้อธิบายใช่มั๊ยครับ ว่าผมอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร) ประเด็นที่ผมพูดถึง หลังจากออกมาอธิบายโดยชัดเจนแล้วว่าผมคิดอย่างไร กับหัวข้อกระทู้นี้ ก็เพราะว่าลำดับของหัวข้อนั้น สำคัญครับ และยิ่งถ้าลำดับมันข้ามไปมาก เช่น ความสำคัญลำดับ 7 เอามาพูดถึงเป็นอันแรก มันย่อมผิดแน่นอน เพราะนอกจากระบบการจำของคนจะจำแม่นผิดหัวข้อแล้ว(แทนที่จะจำแม่นสิ่งสำคัญก่อน) ก็ยังทำให้เกิดการจัดเรียงทางความคิดของผู้ที่จะเรียนรู้ผิดไป เหมือน mind map ที่ก่อนสอนคุณต้องวางลำดับอะไรอย่างดี เพราะทุกอย่าง จะถูกจัดเรียงไปตามที่กล่าวถึงนี้ และประเด็นที่ผมเห็นว่าสำคัญจนที่จริงมันสมควรจะแย้งแต่แรก(แต่ผมก็ไม่อยากจะแย้งมาก กลัวจะไปขัดกระทู้ตามที่กล่าวไปทีแรก) ก็เพราะว่า จากการศึกษาของผม เรื่องบัญชีจะมีความสำคัญอยู่ในลำดับชั้นขอบเขตชั้นที่สอง ไม่ใช่ชั้นแรก (ถ้าเราจัดลำดับความสำคัญเป็นวงๆ ออกไป) การสลับข้อที่มีความสำคัญระดับเดียวกันมาขึ้นก่อนหลัง นั้นไม่เท่าไหร่ เพราะทำได้ แต่การสลับเอาสิ่งที่มีความสำคัญน้อยกว่าในการเริ่มต้นธุรกิจมาพูดก่อน ผมคิดว่ามันน่าจะผิด และมันจะทำให้ผู้อ่านลดความสนใจต่อหัวข้อที่ควรจะเน้นย้ำด้วย กลายเป็นสิ่งที่ควรจะเน้น ก็ถูกลดความสำคัญ สิ่งที่ควรเป็นอันดับรอง กลับขึ้นมาสำคัญ ซึ่งจะมีผลต่อการวางแผนทำธุรกิจจริงๆ ครับ (ถึงตอนนี้ เห็นหรือยังครับ ว่าลำดับการกล่าวถึง ทำไมถึงสำคัญ) สำหรับผม ถ้ามีใครมาปรึกษาเรื่องการทำธุรกิจ ผมก็คงจะต้องถามว่า 1.ทำธุรกิจอะไร ทำไมถึงเลือกธุรกิจนั้น(ไม่ใช่ใครจะทำธุรกิจอะไรก็ได้ มันต้องมีเหตุผลรองรับ) 2.คุณจะขายสินค้าได้อย่างไร เพราะอะไรลูกค้าจะต้องซื้อสินค้าจากคุณ แทนที่จะเป็นของคู่แข่ง 3.ผมจะพยายามวิเคราะห์ดูพื้นฐานความรู้และความถนัดของตัวผู้ประกอบการว่ามีมากน้อยเพียงใด เป็นปัจจัยเพียงพอที่จะทำธุรกิจหรือไม่ เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ยังมีข้อสำคัญที่ต้องเรียงลำดับไปอีกหลายข้อ เพื่อที่จะประเมินว่า โครงการธุรกิจนั้น จะมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือไปรอดเพียงใด ซึ่งจะไม่มีเรื่องบัญชีเลยในอีกหลายข้อถัดไป ผมถึงบอกว่า บัญชีเป็นความสำคัญชั้นสอง ที่เป็นตัวป้องกันไม่ให้ธุรกิจที่ขายได้และกำลังจะไปได้ดีเจ๊ง แต่ก่อนอื่น คุณต้องทำให้สินค้าของคุณขายได้ซะก่อนที่จะไปคิดถึงขั้นนั้น และจริงๆ แล้วจากกรณีศึกษาที่ผมศึกษามา ถ้าสินค้าคุณขายได้ และธุรกิจทำกำไรได้มากจริงๆ แม้บัญชีคุณจะมั่วๆ หน่อย มันก็ยังไม่ถีงกับเจ๊งไปง่ายๆ แค่มันรั่วไหลเยอะเท่านั้นเอง แต่นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้เจ๊งได้ง่ายครับ กรณีที่ผมพบว่าเจ๊งเพราะบัญชีนั้น แทบไม่เจอเลย ถ้าการหาเงินเค้าทำได้ดี นอกจาก รายได้ก็ไม่เข้า บัญชีก็มั่ว(มองไม่เห็นรายจ่าย) อันนี้ก็หมายถึงเจ๊งเร็วขึ้น นี่แหละครับ ความสำคัญของลำดับหัวข้อ และการพูดถึง โดยเฉพาะเรื่องบัญชี ที่ผมไม่เห็นด้วยจริงๆ สำหรับกรณีนี้(มือใหม่ทำธุรกิจเจ๊ง) และทีว่าบัญชีคือขั้นที่ 1 นั้นไม่ใช่ครับ มันคือขั้นที่ 2 เรื่องที่ว่า สิ่งที่ผมกล่าวเป็นศิลป์จนอาจเข้าใจยากนั้น ขออธิบายแบบนี้ครับ การทำธุรกิจให้รอด คุณไม่อาจเริ่ม"จากศูนย์" เพราะคุณต้องมีความสามารถหรือความถนัด หรืออะไรบางอย่าง ธุรกิจมันจึงจะรอด ฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ที่ผมกล่าวไป คนๆ นั้นก็ยังไม่ควรจะทำธุรกิจตอนนี้ แต่ต้องใช้เวลาศึกษาจนดีพอก่อน อย่าลืมนะครับ ธุรกิจคือการแข่งขัน มันไม่สามารถเทรนด์คนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่กี่วัน แล้วจะออกไปทำธุรกิจแข่งกับคนอื่นได้ (นอกจากโชคช่วยจริงๆ) มันต้องมีศักยภาพกันอยู่บ้างครับ จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 22:20:38

ความคิดเห็นที่ 68 อันนี้ขอ  ก็อบ  มาแปะน่าจะเกี่ยวโยงกับหัวข้อ   .........มือใหม่ทำธุรกิจเจ๊ง.......   และน่าจะมีประโยชน์    ใครเคยอ่านแล้วก็ขออภัยด้วย http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B8225218/B8225218.html#2 . จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 52 03:04:24

ความคิดเห็นที่ 69 ผมมีบัญชีทั้งหมด ห้าเล่ม รายรับ รายจ่าย เจ้าหนี้ ลูกหนี้ สรุป เจ้าหนี้ ลูกหนี้ กำไร คงเหลือ ผมเรียน วิศวมา แต่ออกมาค้าขาย จากคุณ : pumee_23 (pumee_23) เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 52 09:52:40

ความคิดเห็นที่ 70 เรียนคุณ  Jimmy Walker การสื่อสารบ้างครั้งคำๆเดียวกันอาจมีความหมายต่างกันเมื่อมองต่างมุม อย่างที่ผมพูดไปครั้งแรกนั้น ผมเองก็มองว่าเป็นประโยคที่สั้น ตรงประเด็น และสุภาพที่สุด ในแต่มุมมองของคุณคำว่า"โปรดอย่า"กลายเป็นคำดูหมิ่นไป กลับเข้าประเด็น ผมเห็นด้วยเรื่องบัญชีนั้นเป็นมีความสำคัญอันดับ2 เป็นเรื่องของการป้องกัน และนั่นทำให้ผมเห็นด้วยกับจขกท. ที่จะนำบทความนี้นำเสนอก่อน เหมือนกับการเรียนขับรถ หากเราฝึกเร่งรถไปข้างหน้าก่อนฝึกเบรก คงไม่ดีแน่ ถ้าต้องก้มมองหาที่เบรกขณะที่รถแล่น เฉกเช่นผู้ประกอบการ หากเราไม่ประเมินต้นทุนที่แท้จริงแล้ว จะตั้งราคา จะกำหนดเป้าการขายจากอะไรละครับ ผู้ประกอบการนั้นควรจะทำงบประมาณการน้อย 1 ไตรมาส ก่อนจะตัดสินใจลงทุนลงเงินด้วยซ้ำไป เพื่อประเมินว่า สิ่งที่เห็นว่าโอกาสนั้นเป็นความจริงหรือภาพลวง จุดประสงค์นั้นไม่ใช่รับประกันความสำเร็จ แต่เป็นการเข้าใจความเสี่ยงและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หลายคนลงทุนแบบหมดตักในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง โดยมองในแง่ดี สุดท้ายก็มาอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งจขกท นั้นมุ่งเน้นไปยังประเด็นการเจ๊งอันเนื่องมาจากการไม่ใส่ใจในบัญชี อันเป็นเรื่องที่ค่อยส่งผลในระยะยาว แต่สามารถยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ชัด สิ่งที่คุณ Jimmy Walker เป็นห่วงและยกตัวอย่างมานั้นผมเห็นด้วยนะครับ เพียงแต่ยังเร็วไปนิดที่จะนำเสนอ เดียวเกิดมีใครคึกเอาไปทำก่อนเรียนจบ มันจะมีปัญหากันยาวครับ สุดท้าย นี่เป็นเพียงความเห็นของผม หากท่านไม่เห็นด้วยหรืออย่างใด ก็พร้อมรับฟังครับ เพราะความเห็นนั้นไม่มีจริงไม่มีเท็จ ส่วนตัวผมเป็นพวกลงทุนสายเฝ้าบ้าน อาจมีมุมมองในแง่ลบและขี้ระแวงมากซักนิด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ จากคุณ : ฮีโร่ดอย เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 52 22:47:10

ความคิดเห็นที่ 71 บัญชี - -" วันพุธนี้จะสอบบัญชีซะด้วยสิ   ยังไม่ได้รู้เรื่องเลย 555+ เห็นด้วยกับ คุณเจ้าของกระทู้ บัญชีนั้นสำคัญนักแล จะ A BC ก็ บัญชีนี่แหละ เอิ๊กๆ 555 บัญชีเหมือนกัน จากคุณ : shinkyo เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 52 00:11:58

ความคิดเห็นที่ 72   ขอบคุณมากค่ะที่ตั้งทู้นี้ขึ้นมา..... เดี๋ยวจะเริ่มทำบัญชีบ้างแล้วค่ะ....... (อยากให้กิ๊ฟแต่ให้ไม่ได้..... Y_Y) จากคุณ : antzBZ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 52 13:33:32

ความคิดเห็นที่ 73 เอาเถอะครับ คุณฮีโร่ดอย จริงๆ ผมก็ไม่ซีเรียสจริงจังมากอะไรแต่แรกแล้ว ถึงบอกว่า กระทู้นี้แม้จะผมไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เดี๋ยวผมรอเสริมกระทู้ต่อไป ดีกว่า และผมก็รับความคิดเห็นมุมมองที่แตกต่างได้ รวมทั้งบางครั้งมันก็เป็นสไตล์ ที่แต่ละคนมี แต่ละคนเน้นไม่เหมือนกัน ก็ว่ากันไป บางเรื่องคุยกันมันก็ ไม่จบ เพราะมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน เพียงแต่ที่ออกมาโต้ตอบแรง หน่อยในคคห.หลังๆ ก็อาจเป็นเพราะในบางคคห.ของบางท่านนั้น ไม่เพียง คิดต่างแต่กลับมีกลิ่นอายเสียดสีเข้ามาด้วย ซึ่งผมคิดว่าเราไม่น่าจะใช้กันใน สังคมแห่งปัญญา ผมเองก็ต้องขออภัยเช่นกัน ถ้าอ่านเจตนาของคุณในคคห.นั้นผิดไป อันเนื่อง จากข้อความที่เขียนมานั้นสั้น และอาจเพราะผมรู้สึกไม่ดีมาจากคคห.ข้างบน บางอัน เลยทำให้รู้สึกไวเกินไป ขออภัยนะครับ ยังไงยังรอกระทู้ต่อไปนะครับ คุณ Kenny G และคิดว่าหลายๆ ท่านก็คงจะ รออยู่เช่นเดียวกัน จากคุณ : Jimmy Walker เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 52 13:52:06

ความคิดเห็นที่ 74 มารอคุณ kennyG และทุกๆ ท่าน มาต่อใน ตอนที่ 3 นะครับ แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 52 14:34:34 จากคุณ : ดช กระต่าย เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 52 14:33:40

ความคิดเห็นที่ 75 จบได้ด้วยดี ดีใจจัง จากคุณ : fourbot เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 52 20:21:23