Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องจริงที่อยากจะมาเล่าให้พี่พี่ฟัง เกี่ยวกับกระทู้เรื่องคนที่ประสบความสำเร็จ{แตกประเด็นจาก B8200167}  

ผมมีเรื่องจริงที่อยากจะมาเล่าให้พี่พี่ฟัง หลังจากได้อ่านกระทู้นึงที่บอกว่า "เจ้าของกิจการที่กิจการประสบความสำเร็จแล้ว วันๆนั่งกินดอกผลอย่างเดียว เค้าจะเบื่อบ้างไหมครับ หรือว่ามันมีความสุขมาก "

  ก่อนอื่นผมอยากจะให้พี่พี่อ่าน แล้วลองคิดเป็นมุมกลับกันน่ะครับ รบกวนอ่านต่อให้จบ แล้วจะได้แง่คิด และกำลังใจมากๆ

   ครอบครัวของผม ทำกิจการเป็นของตัวเองครับ เป็นโรงงานขนาดกลางเมื่อเทียบกับโรงงานขนาดใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับหลายๆโรงงานของเพื่อนๆผมแล้ว ถือว่าใหญ่มากเลยทีเดียว พ่อกับแม่บอกผมเสมอครับว่า เค้าตั้งตัวกันด้วยเงินไม่กี่พันบาท หลังจากที่พ่อขอแม่แต่งงาน แล้วตอนนั้นทางญาติของคุณแม่ก็ไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ครับ เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ฐานะคุณแม่ดีกว่าเยอะมากครับ  พ่อเริ่มสร้างโรงงานด้วยสังกะสี เป็นเพลิงหมาเหงาอยู่ในซอยๆนึง ซึ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าในราคาถูกแสนถูก มีคนงานแค่ 6 คน และทำมาตลอดจนถึงปัจจุบันก็ 30 ปีได้ เพราะตอนนี้พ่ออายุประมาณ 51 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่วางมือเลย แต่มีพี่ชายช่วยสานต่ออย่างเต็มตัวพ่อสมควรแล้ว ผมจะเล่าต่อในสองมุมมองให้ฟัง แล้วลองคิดตามน่ะครับ

หลายๆคนคิดว่าพ่อของผมประสบความสำเร็จ  ที่มีโรงงาน มีบ้านมีรถมากมาย  และพวกผมก็มีชีวิตความเป็นอยู่สบาย แต่ในความคิดของพ่อผม เค้าก็ยังคิดว่าตัวเค้าเองยังไม่ประสบความสำเร็จ  เพราะ สมมุติว่าพ่อผมมาถึงจุดหนึ่งแล้วบอกจะพัก แต่พอเดินมาถึงจุดนั้นแล้ว พ่อก็จะพยายามเดินต่อไปถึงอีกจุดหนึ่ง และก็เป็นแบบนี้มาตลอด พอ่ของผมพยายามหาธุรกิจต่างๆเพื่อลงทุนทำ หวังว่าจะมีเงินมากขึ้น ซึ่งการที่จะลงทุนทำธุรกิจใหม่ๆ โดยที่เรายังไม่มีประสบการณ์ เราก็ต้องอาศัยทุนทรัพย์ พ่อของผมพยายามหาธุรกิจใหม่ๆทำเพื่อความก้าวหน้ามากขึ้น  ทั้งฟาร์มกุ้ง หมู่บ้านจัดสรร และอีกหลายๆกิจการ แต่ทุกอย่างก็ล้มไม่เป็นท่า จนเหลือแค่กิจการที่เป็นอยู่ซึ่งเคยปิดกิจการไปพักใหญ่ก่อนที่จะมาสู่ต่อจนถึงวันนี้ โดยได้พี่ชายของผมช่วยทุกอย่าง
 ส่วนในตอนที่พวกเราล้ม เราลำบากขนาดไหนหรอครับ ! ถ้าเทียบกับคนทั้วไป เราดีกว่ามากครับ แต่ถ้าเทียบกับสังคมของเราแล้ว มันถึงทางตัน เรียกว่าแทบจะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อนั่งนิ่งๆ บางทีนําตาไหล แม่ของผมก็พยายามบอกให้พวกเราให้กำลังใจพ่อ เพราะกลัวพ่อจะคิดสั้นครั้บ
ทรัพย์สินที่พวกเรามีอยู่ ขายเกือบหมด ทั้งบ้านขนาด เกือบ 2 ไร่ รถยนต์ 11 คัน มูลค่าไม่ตํากว่า 30 ล้าน ขายจนเหลือรถเก๋งแค่ 2 คัน จากที่ผมเคยนั้งรถยุโรปไปโรงเรียน กลายเป็นระกระบะ และรถเมล์สาย 96 ในที่สุด ที่ดินหลายแปลงโดนยึด หน้าตาทางสังคมของทางครอบครัวแทบไม่เหลือ ตอนนั้นผมอยู่ชั้นม. 5 และคิดว่าทุกอย่างจบแล้วครับ ผมคงไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยดีดี ในทุกๆวันหลังเลิกเรียนผมจะไปนั่งขายของ ที่ตลาดปัฐวิการณ์ และทุกเช้าเสาร์ อาทิตย์ ผมจะไปขายนําหอมขวดละ 38 บาทที่เคหะแห่งหน่ง โดยมีแม่เพื่อนสนิทมาช่วย ผมรักแม่เพื่อนคนนี้มากๆครับ

 ตอนนั้นผมรู้ว่าพ่อกับแม่ท้อมาก แต่ก็พยายามสู้ต่อ จนใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี กอบกู้ทุกอย่างขึ้นมา โดยวัดจากรถยนต์ที่มีมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นรถญี่ปุ่นซ่ะแล้ว  แต่พี่พี่รู้มั๊ยครับว่า ช่วงเวลาเกือบ 2 ปีนั้น พวกเราเหนื่อยกันมาก เสียนําตาไปก็มาก เรียกว่าแต่ละวันที่ผ่านไป มันผ่านไปอย่างช้าๆ โดยที่แทบจะไม่มีความหวังว่า ทุกอย่างจะเหมือนเดิม พวกเราผ่านการโดนคนรอบข้าง ดูถูก มีครั้งนึงที่พี่ชายขับรถกระบะแล้วไม่ทันมองรถเลนท์ข้างๆ แล้วเปลี่ยนเลนท์ออกมา ทันใดนั้นมีลูกคนรวย นิสัยแย่ ขับรถสปอร์ตคันงามปาดหน้า และจอดกลางถนน ลงมาพูดว่า " บ้านเมิงอยู่แถวนี้หรอว่ะ! แล้วเมิงรู้ม่ะกรูเป็นใคร ? พี่ชายผมได้แต่ขอโทษ มันก็ยังไม่จบ กระชากคอเสื้อ แล้วบอกว่า เมิงระวังตัวให้ดี ! ผมแทบนําตาไหล ที่เราทำอะไรไม่ได้ เพราะเรากลัวครับ กลัวจะมีเรื่อง กลัวจะเสียเงิน กลัวหลายอย่าง มันเป็นอะไรที่ผมจำมาจนทุกวันนี้เลย
  และพอหลังจากผ่านไป 2 ปี ชีวิตพวกเราดีขึ้นเรื่อยๆครับ เรามีบ้านหลังใหม่ขนาดพอดี มีรถยนต์หลายคัน มีโรงงานหลังใหม่แต่เล็กกว่าเดิม ไม่ได้มากอะไร มีความระวังตัว

    แต่มีโอกาสที่ดีที่สุดเมื่อเกือบ สองปีที่แล้ว พอของผมขายที่ดิน ได้เงินสด 121 ล้านบาท จำได้ว่าวินาทีนั้น ผมตื่นเต้นจนตัวชา พ่อโทรหาผมทุกวัน แล้วบอกว่า ไม่อยากจะเชื่อตลอด ! และเราก็ได้รู้ว่า การอยู่แบบสบายจริงๆมันเป็นยังไง ครอบครัวเราพักยาวอยู่เกือบ 2 เดือน โดยพ่อก็เข้าโรงงานบ้าง ไม่เข้าบ้าง  อยากได้อะไรแทบจะเสกเอาเลยแหละครับ เดินเข้าออกธนาคารอย่างราชา  เรียกว่าสบายมาก สบายจนฟุ้งซ่านครับ และที่สำคัญรอบตัวก็จะมีแต่คนลำบาก โทรมาเยอะมาก เด๋วโน่น เด๋วนี่  
    และแล้วความสบายก็เปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่าย แม่ของผม แม่บอกว่าแม่เบื่อมากๆ คิดอะไรก็ไม่รู้ทุกวันเครียดครับ เพราะวันๆตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้จะทำอะไร นั้งดูทีวีก็แล้ว ซักผ้าเองก็แล้ว ล้างห้องนํา จัดสวน เป็นแบบนี้จนเครียดครับ ส่วนพ่อก็อยู่ในช่วงพักผ่อน ก็เลยติดพนันไปพักใหญ่ พ่อผมบินไปเล่นพนันบนเรือสำราญเป็นว่าเล่น จนหมดไปเกือบ 10 ล้านภายใน ไม่ถึง 1 เดือน เรียกว่าตอนนั้นครอบครัวเราร้อนเป็นไฟเลย พ่อทะเลาะกับแม่บ่อยมาก พี่ชายก็ไม่คุยกับพ่อ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง  แม่บอกว่า รู้แล้วว่าผีพนันเข้าสิงเป็นยังไง เรียกว่า โห่ ! สุดจะบรรยายในวินาทีนั้นเลย จนทุกอย่างก็จบลงได้ เพราะผม ทะเลาะกับคุณพ่อ อย่างแรงมาก และพ่อก็ร้องไห้ เค้าบอกว่า ป๊าพลาดไป ป๊ารู้ หลังจากนั้นพ่อก็กลับมาทำงานอย่างหนักเหมือนเดิม และไม่ไปบ่อนอีก แต่พ่อก็พยายามคิดจะทำธุรกิจใหม่ๆตลอด อันนี้แหละครับ เริ่มน่ากลัวอีกแล้ว!!

  ผมเคยได้ยินพี่คนนึงสอนมาว่า จริงๆแล้วค่าของคนอยู่ที่การทำงาน ผมว่าจริงน่ะครับ ตอนที่แม่ทำงาน แม่เครียด แต่แม่ก็ไม่ฟุ้ง เพราะมันจะมีปัญหาให้แก้ไปเรื่อยๆ แต่มันก็ดีกว่านั่งเฉยๆ จนไม่รู้ว่าวันนึงตื่นขึ้นมาแล้วจะทำอะไรดี...


  ได้อ่านเรื่องของผมแล้ว ผมคิดว่าคงจะมีประโยชน์กับพี่พี่หลายๆคนน่ะครับ ผมว่าของทุกอย่างในโลกนี้มันมีทั้งดี และโทษในตัวมันเองเสมอครับ... บางทีตอนเรามีเงิน แล้ววันนึงเราไม่มี เราก็จะมีแต่คนสมนําหน้าบนความทุกข์ของเรา และบางทีที่คนรู้ว่าเรามีเงิน ก็จะมีแต่คนรุมล้อมจนน่าปวดหัว จะมีแต่คนเดือดร้อน แต่ไม่ใช่เพื่อนของผมหรอกครับ เพราะตราบจนวันนี้ เพื่อนๆยังไม่รู้เลยว่า ครอบครัวเราขายที่ได้ แต่ที่เพื่อนๆคุณพ่อรู้ เพราะคุณกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแหละครับ ดันไปประกาศซ่ะนี่!!

 ฉนั้นแล้ว พี่พี่ก็สู้ต่อไปเถอะครับ อย่าไปท้อ มันต้องมีวันของเราสักวันครับ!!

จากคุณ : เก้าอี้สีเทา
เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 14:29:25




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com