ความคิดเห็นที่ 1 อืม   ไม่รู้ว่าตอบแบบนี้จะได้ประโยชน์   หรือทันเวลาหรือเปล่า     คำถามคือ จะขายใคร   ขายอะไร   และขายอยางไร    คุณรู้จักลูกค้าคุณดีพอมั้ยปัญหาไม่ได้อยู่ทีว่ามีร้านคุณร้านเดียวแล้วทุกคนจะตองมาซื้อของคุณนะ การจัดร้านนี้ถือสำคัญอีกอย่างนึงนะสำหรับร้านเสื้อผ้า   แต่เอาไว้ก่อนขอตอบปัญหาที่จขกทถามเป็นข้อๆก่อน  1ควรไปขายตลาดนัดและพยายามไปครับเหนื่อยไม่ใช่ประเด็น   ขายไปก็โปรโมทไปด้วยว่าวันอื่นพี่ขายอยู่ตรงนั้นตรงนี้ทำนามบัตรแจกโปรโมทร้านไปในตัว   2 อยากเพิ่มยอดขาย-ลงทุนเพิ่มไม่ใช่การแก้ปัญหาครับ    อยากเพิ่มยอดขายต้องเรียกลูกค้าเข้าร้าน  แนะนำให้นะครับ  sale  sale  และsale  แต่ทำอย่างไรต้องไปทำการบ้านเอาเองครับ  ขายเสื้อผ้าเราต้องรุ้ว่าเทรนด์ตอนนี้มันเป็นยังไง  หาของใหม่มาบาง่วนเพื่อให้รู้ว่าเราตามกระแสไม่ใช่ร้านป้าท้ายตลาดที่ยังขายเสื้อแขนบานขาบานอยู่   3 เห็นด้วยที่จะเอาของเก่ามาระบายแล้วเอาทุนไปทำอย่างอื่น    สภาพคล่องจะได้ดีขึ้น  การทำธุรกิจเจ๊งไม่ใช่เรื่องใหญ่   แต่คุณต้องหาข้อบกพร่องของที่ผ่านมาด้วยไม่ใช่ผิดแบบเดิมซำไปมาอย่างงี้ทำไรก็เจ๊ง   ไอ้ที่รวยๆทุกวันี้ก็เจ๊งกันมาก่อนทั้งนั้น   ทักษินยังเคยปีนหน้าต่างหนี้เจ้าหนี้มาแล้ว    ทำธุรกิจเงินหมดยังพอหาทางหมุนได้      อย่าหมดกำลังใจ  ไม่มีใครบังคับให้คุณทำแต่คุณเลือกที่จะทำเองเพราะฉะนั้นต้องสู้ครับ    ขอเป็นกำลังใจก็แล้วกัน ทำธุรกิจส่วนตัวเหมือนกัน จากคุณ : ปฏิบัติดี เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 23:22:06

ความคิดเห็นที่ 2 ใจร้อน เลย ร้อนใจ ทำอะไรก็อยากให้ได้ดั่งใจ ไม่ได้ดั่งใจ ก็ทุกข์ใจ... ทำเลเป็นร้านขายเสื้อผ้าเดิม ซึ่งคุณก็มาเปิดทับลงไป ดังนั้นความแตกต่างจังไม่เกิดอย่างที่คุณว่า ดังนั้น ประเด็นของคนเข้าร้านแบบปกติ น่าจะมาจากความเคยชินของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งถ้าต้องการซื้อถึงจะเข้ามาดู ในลักษณะนี้ คุณต้องสร้างความสดใหม่ของร้านขึ้นมา อาจจะเป็นป้ายประกาศว่าร้านเปิดใหม่ สินค้าคุณภาพในราคาสุดคุ้ม อะไรทำนองนี้ ซึ่งต้องสร้างความแตกต่างเป็นป้ายปิดประกาศ หรือ เสื้อตัวใหญ่ๆ ทำเป็นป้ายร้าน (กรณีมีงบ) เพื่อเชื้อเชิญกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาซื้อมากขึ้น ในลักษณะของสินค้าก็ได้กำไรบ้างไม่มาก ดังนั้น ถ้าสามารถดึงให้คนเข้าร้านได้อย่างสม่ำเสมอ หรือ บ่อยขึ้น หรือ จำนวนมากขึ้น ย่อมจะทำให้โอกาสในการอยู่รอดน่าจะเป็นไปได้มาก ดังนั้น คุณอาจจะทำการตลาดทางด้านการให้ซื้อซ้ำจากการสะสมแต้ม หรือ อะไรก็ตาม น่าจะช่วยได้อีกทางหนึ่ง วันจันทร์และอังคารมีตลาดนัดกลางคืนในย่านนี้ ไม่มีคนเข้าร้านเลย(สักคนเดียว)   wbj:- คำถามสุดฮิตซึ่งคุณต้องหาคำตอบเองคือ ทำไมเขาถึงไม่เข้าร้านคุณ ? ... ผมได้แต่วิเคราะห์ให้คุณเห็นได้เพียงว่า ความขลังของตลาดนัดคือความรู้สึกว่าสิ่งของที่ขายในตลาดนัดจะมีราคาที่ถูกกว่าสินค้าที่อยู่ในร้านค้า ดังนั้น การที่เขาไม่เข้าร้านคุณก็อาจจะเกิดจากสาเหตุนี้ ทั้งนี้หากต้องการให้เขาเข้าร้านคุณ ก็คงต้องมีกลวิธีที่ต้องดึงดูดคนให้เข้ามาซื้อ คราวนี้คุณคงต้องสังเกตุเพิ่มอีกสักนิดว่า โดยปกติในตลาดนัดเขาขายสินค้าประเภทใดได้มากๆ เช่น บางแห่งขายของกินมาก บางแห่งขายของใข้ได้มาก บางแห่งขายของไม่ค่อยได้แต่ถ้ามีการละเล่นเช่น ปาลูกโป่งเอาของรางวัล คนแถวนั้นจะชอบมาก นั่นคือการหาบุคคลิกของกลุ่มเป้าหมายของคุณว่าเป็นอย่างไร ก่อนที่จะคิดในเชิงวางกลยุทธ์ต่อไป... ถ้าได้คำตอบก็เมล์มาคุยกับผมก็ได้ครับ... ดิฉันไปขายตลาดนัดแค่วันอังคาร และวันเสาร์ที่ฝนไม่ตก เพราะเหนื่อยขนของ และเลิกงานเย็นไม่ทันจองที่ ควรทำอย่างไรคะ wbj:- ทำไมคุณไม่ส่งให้ Sub ไปขายให้คุณ หมายถึง ถ้ามีใครที่อยากขายเสื้อผ้า ก็ให้เขามารับกับคุณไปขาย ซึ่งอาจจะให้เขาตัวละ XX บาท เป็นต้น แล้วให้เขาขายให้คุณ พร้อมทั้งแจกนามบัตรของคุณให้ด้วย ซึ่งแรกๆ คุณอาจจะต้องตรวจสอบ Sub ของคุณมากหน่อยเพื่อให้แน่ใจกัน ทั้งจำนวน ทั้งเงิน ซึ่งอาจจะเป็นการเสี่ยงหน่อย แต่ถ้าคุณได้คนดีมาทำร่วมกับคุณ ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นหนทางออกของคุณในการกระจายสินค้าออกไปได้มาก ดิฉันต้องการเพิ่มยอดขาย เสื้อผ้าดิฉันหามาเพิ่มตลอดเลย จะลงทุนเพิ่ม คนรู้จักกันที่ขายเสื้อผ้าอยู่บอกว่าอย่าเพิ่ง เเฟชั่นมันไหลมาก เดี๋ยวจะเอ๊าท์เร็ว ของจะไม่ทันออก ควรทำอย่างไรคะ + เสื้อผ้าที่เริ่มเอ๊าท์จะเอามา sale พอได้ทุนคืนเพื่อหมุนเวียนสินค้า หรือไปขายตามตลาดนัดบ้านนอกแบบถูกๆ เพื่อเอาทุนคืน ดีหรือไม่ดีคะ เพราะทำตลาดนัดที เหนื่อย wbj:- อันนี้เป็นเรื่องจริง และ เป็นสัจจธรรมของสินค้าที่มีสต๊อก การซื้อสินค้ามาเพื่อหวังที่จะขาย คุณอาจจะขายได้หรือไม่ได้ ซึ่งการเพิ่มยอดขายด้วยการเสี่ยงกับเงินลงทุน ผมคิดว่ามันไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไหร่โดยเฉพาะหากมีเงินทุนน้อยๆเพราะจะทำให้เงินจม เมื่อเงินของคุณเข้าไปอยู่ในสต๊อก ก็จะทำให้คุณขาดสภาพคล่อง เมื่อเงินขาดมือ ก็จะเกิดความเครียด และมีความหวังว่าจะได้เงินชดเชยจากกำไรที่จะเข้ามา ดังนั้น สินค้าของคุณก็จะมีราคาแพงขึ้น ทำให้สินค้าขายไม่ออก หรือ คุณจะพยายามขายสินค้าให้ออกไป ด้วยการลดกำไรคุณลง ซึ่งทำให้ราคาถูก คนจะเข้ามาซื้อ แต่กำไรอาจจะไม่พอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งก็เท่ากับว่าคุณจะขาดทุน และเมื่อมีการขาดทุนสะสม สินค้าก็จะไม่มี เงินก็ขาดสภาพคล่องก็จะกลายมาเป็นเลิกกิจการในที่สุด... นี่เป็นปัญหาและห่วงโซ่ของสต๊อกสินค้าที่ไม่ได้มีการวางแผนหรือการควบคุม แต่การใช้ใจในการตัดสินการเพิ่มสต๊อกสินค้า... เพิ่มสต๊อกสินค้า = เงินจม => ขาดสภาพคล่อง => เครียด => หวังกำไร => สินค้าราคาแพงขึ้น => ขายไม่ออก => พยายามขายออกไป => ราคาต่ำ => กำไรไม่พอค่าใช้จ่าย => ขาดทุน => ขาดทุนสะสม => เลิกกิจการ หวังว่าคำตอบอาจจะช่วยคุณได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ... จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 00:15:58

ความคิดเห็นที่ 3 1.1 ลองศึกษาดูครับว่า ปัจจัยสำคัญของกลุ่มเป้าหมายคุณคืออะไร (ถ้าเพราะตลาดนัดและย่านนักศึกษาที่เงินน้อย ก็น่าจะเป็นเพราะราคาสินค้า) ตกแต่งหน้าร้านให้ดึงดู ปรับปรุงมนุษยสัมพันธ์ ทำให้ลูกค้ารู้สึกชอบและเป็นลูกค้าประจำให้ได้ครับ 1.2 อย่าไปหลวมตัวลดราคาแข่งกับตลาดนัดมากนักนะครับ เพราะเราอาจจะตายเองได้ ให้ลองหาร้านฝากขายตามตลาดนัด หรือ หาแผงเองให้ได้ครับ ไม่มีวิธีอะไรมากมาย นอกจากความพยายาม ความตั้งใจและความอดทนครับ 2. ก่อนอื่น ถ้ากลัวของออกไม่ทัน ให้ลดปริมาณยอดการซื้อมาให้พอดีกับความต้องการ และถ้าคิดจะหาเสื้อผ้ามาเพิ่มตลอด ก็ต้องดูเงินทุนหมุนเวียน ไม่อย่างนั้นอาจจะตกหลุมตายได้ครับ ลองดูที่บัญชีว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหน อย่าลืมหาจุดยืนของร้านตัวเองให้ได้ครับ แล้วให้หาเสื้อผ้าที่ขายง่ายเข้ามาร่วมด้วยคละไปกับการตามแฟชั่น เช่น เสื้อลดโลกร้อน เสื้อคู่ 3. ถ้าให้เลือกจากที่คุณพูด งั้นก็ยอมขาดทุนกำไร ขายลดราคาไปเลยครับ หรือไม่ก็จัดรายการส่งเสริมการขายร่วมต่างๆ ขึ้นมา จากคุณ : 7sins เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 01:45:27

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าลำพังเงินเดือน  ก็พอกินพอใช้ครับ ที่ไม่พอกิน  เพราะมาถลุงกับธุรกิจ 4-5 อย่างที่ขาดทุนไปก่อนหน้านี้ เช่าที่ตั้งแพง  ไม่มีเวลา+ไม่มีคนมาช่วยดูแลก็อย่างนี้ล่ะครับ ถ้าจะให้แนะนำ  ก็หาทางเซ้งร้านครับก่อนจะจมไปมากกว่านี้ จากคุณ : --^ไชโย^-- เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 09:24:13

ความคิดเห็นที่ 6 ขอตอบข้อสามก่อนนะ  ผมเห็นด้วยการขายสินค้าที่ใกล้ตกรุ่นออกในราคาถูก  เพราะร้านขายเสื้อที่รู้จักจำนวนมาก ขายของมีกำไรเป็นสต็อคเสื้อ  ฉะนั้นขายดึงเงินหมุนเวียนขึ้นมาดีกว่าครับ  แต่เวลาขายเราอาจแบ่งออกเป็นหลายขั้นก็ได้  เช่น เสื้อใหม่แรกเข้าก็ขายให้ได้กำไรมาก  ผ่านไปช่วงหนึ่งอาจเริ่มลดราคา  ถึงจุดหนึ่งก่อนตกรุ่นอาจจัดมุมของsale สุดท้ายค่อยขายออกให้ร้านอื่น การเพิ่มยอดขาย  สำหรับร้านค้าขนาดเล็ก ไม่มีทุนมาก  อาจมีข้อจำกัดอยู่  แต่คุณคุมร้านเอง นี้เป็นจุดแข็ง   แนะนำพยายามสร้างลูกค้าประจำให้มากขึ้น  ถ้าฝรั่งเขาเรียกว่าทำ CRM แต่พวกเราเรียกง่ายๆว่า พยายามทำลูกค้าให้เป็นเพื่อน  เช่น พยายามรู้จักเขาให้มากขึ้น  รู้ว่าเขาชอบอะไร ประมาณไหน (อันนี้จะมีผลต่อการตัดสินเลือกสินค้าเข้าร้าน ทั่งประเภทและจำนวน ทำให้เกิดสต็อคน้อยลงในที่สุด)  บริการให้เขาเป็นพิเศษ  เช่นอาจให้ส่วนลดพิเศษ  รับแก้เล็กๆน้อยๆให้  (อันนี้อาจก่อให้เกิดระบบปากต่อปาก ซึ่งมีผลมากในชุมชนต่างจังหวัด)   เวลาว่างอยากแนะนำให้คุณไปเดินเล่นแหล่งชุมชนใกล้ร้านคุณ  การแต่งตัวของผู้คน จะช่วยให้คุณเห็นแนวโน้มตลาด  อย่าลืมว่าธุรกิจแฟชั่นเป็นธุรกิจแข่งกับเวลา  ยิ่งคุณเข้าถึงแฟชั่นได้ก่อน คุณก็จะมีช่วงเวลาขายทำกำไรได้นานขึ้น  หวังว่าคงพอช่วยอะไรได้บ้างครับ จากคุณ : สินธุลี เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 12:44:05

ความคิดเห็นที่ 7   อย่าลงของมาก เอาลงแค่กะว่าขายได้ เพราะแฟชั่นมันไหลเร็ว อีกอย่างที่น่าห่วง คือ คุณไม่มีเวลาให้มันอย่างเพียงพอ การทำธุรกิจแฟชั่น คุณต้องตามให้ทัน อย่างคุณ ถ้ามีงานประจำอยู่แล้ว น่าจะทำกิจการที่ไหลช้า ควบคุมง่าย เช่นตอนนี้ที่เราทำอยู่นะ เปิดมินิมาร์ท แล้วลงระบบดีๆ แค่นี้ก็ โอเคแล้ว จากคุณ : พิมพ์วรา เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 52 15:13:56

ความคิดเห็นที่ 8   ขายรองเท้ามั้ยคะ สนใจรับรองเท้าราคาส่งไปขายมั้ย เราขายส่งราคาโรงงาน รองเท้าท่แบบเอาไปขายคุ่ละ 100- 199 ไม่ต้องเล เพราะ ไม่มีเอาท์ ยังไงลองพิจารณดูนะ ยินดีให้คำปรึกษา แอม varunee@live.com จากคุณ : Ammania1 เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 52 19:42:05

ความคิดเห็นที่ 9 ทำไมร้านนี้ถึงขายไม่รอดมาตลอดหละครับ ทำเลไม่ดีจริงหรือเปล่า ลองหาไสยศาตร์เข้าช่วยนะครับ หาพระดูว่าเจ้าที่เป็นอะไร ผมเคยเจอบางร้านเจ้าที่เป็นแขก เจ้าที่ไม่ชอบให้คนพลุกพล่าน ลองดูครับ เรื่องพวกนี้ค่าใช้จ่ายคงไม่มากทำแล้วสบายใจขึ้น อาจทำให้ค้าขายดีขึ้นด้วย จากคุณ : ชินจัง..ชักจะชินแล้ว เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 52 06:55:51