|
ขอเขียนแชร์ประสบการณ์ ทำธุรกิจหุ้นส่วนกับเพื่อน และบทเรียนราคาแพงครับ
|
|
วันนี้เครียด ๆ ยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน เลยขอเข้ามาเขียนแชร์ประสบการณ์การหุ้นกันทำธุรกิจกับเพื่อนหน่อยครับ
เรื่องเริ่มตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อน
ผมเองทำธุรกิจเล็ก ๆ มาได้ประมาณ 3 ปีกว่า พอจะมีเงินทุนอยู่บ้าง ช่วงนั้นด้วยความโลภของผม อยากได้เงินมาก ๆ ประกอบกับผมอยากมีธุรกิจอีกตัวที่รองรับความเสี่ยง เนื่องจากธุรกิจที่ทำอยู่ (ตอนนี้ทำ Trading อยู่ครับ) กำไรลดน้อยลงทุกที เลยต้องหาทางทำธุรกิจอื่น
เอาไงดีละ ก็ชวนเพื่อนมาทำธุรกิจด้วยกันซะเลย ผมออกทุนทั้งหมด เพื่อนผมออกแรง แบ่งกำไรคนละครึ่ง (ช่วงหลังมาเปลี่ยนเป็นผมได้ 40% เพื่อนผมได้ 60%)
เริ่มแรกจากการคุยหลาย ๆ ครั้ง จนได้ข้อสรุปว่าจะทำธุรกิจอะไร ในเดือนมีนาคม
ขอบอกช่วงแรกไปได้สวยมาก หลังจากดูแล้วว่าจะทำธุรกิจอะไร ก็ไปสำรวจดูคู่แข่ง ดูแล้วทั้งด้านบุคคล ทั้งด้านเงินทุน และต้นทุน ผมเหนือกว่าคู่แข่ง จึงตกลงทำธุรกิจนี้ มีการวางแผนด้านบุคล การทำงาน ตอนนั้นวาดฝันว่าธุรกิจจะไปได้สวยมาก จึงลงทุนกู้เงินซื้อ Home Office ซะเลย ราคา 8.59 ล้าน ไม่แพง ๆ เดี๋ยวทำธุรกิจแป๊บเดียวก็ได้คืนแล้ว ซื้อเพื่อภาพลักษณ์ที่ดูดีกว่าคู่แข่ง
เวลาผ่านไป แผนการทำงานก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้า Home Office ที่ไปกู้ซื้อไว้ธนาคารก็ไม่ยอมอนุมัตสักที เลยเช่าบ้านเป็น Office ชั่วคราว พร้อมกับให้เพื่อนอยู่และตอนนี้ก็ใช้เป็นที่ทำธุรกิจหาเงินด้วย
เดือนมิถุนาอะไรก็ยังไม่เริ่ม ตอนนั้นก็ยังมองว่าเป็นไปได้สวยอยู่ เห็นเพื่อนไม่มีรถใช้ ตอนขับรถกระบะส่งของของผม เดินทางไปไหนมาไหนลำบาก ก็เลยจองรถเก๋งไป 1 คัน พร้อมกับจ้างพนักงานอีก 2 คน
เดือนกรกฏาคมได้รถมาก็เริ่มทำธุรกิจ เวลาผ่านไป นานเข้า เรื่อย ๆ Home Office ที่ซื้อไว้ก็โอนได้เรียบร้อยแล้ว ธุรกิจที่ทำก็เริ่มเดินต่อไป ผมยังไม่ย้าย Office เพราะรอตกแต่ง ตอนนั้นเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเพื่อนจะทำงานได้ เพราะทำงานได้ช้ามาก ขนาดมีพนักงานช่วย 2 คน งานยังต่ำกว่ามาตรฐาน ค่าใช้จ่ายคิดคร่าว ๆ ตอนนี้ก็จ่ายเดือนละประมาณ 80,000 กว่าบาท
เดือนสิงหาคมผมเริ่มเครียดจริง เพราะทำงานจริงจังผ่านไปเกือบ 2 เดือนแล้ว งานที่ได้ออกมามันไม่คุ้มกับเงินที่จ่าย คำนวนดูแล้วเจ๊งชัวร์ จึงเริ่มพูดไป 1 ครั้งแบบจริงจัง หลังจากนั้นเพื่อนก็ขยันทำงาน แต่ก็แค่ไม่กี่วัน แล้วก็เงียบเหมือนเดิม พูดครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ก็ยังเหมือนเดิม ผมไม่กล้าลงทุนต่ออีกแล้ว ก็คิดว่ารอดูผลงาน คนเราก็น่าจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้
พอมาเดือนนี้ ทนไม่ไหวแล้ว เลยพูดออกไปเรื่องทำไมทำงานช้า พอสรุปได้ด้วยตัวเองว่า เพื่อนผมไม่ได้ทำงาน ประมาณว่ารับงาน Freelance มาทำ เพื่อนผมพูดคำพูดที่ดีมาก ๆ ทำให้ผมจำได้ เพื่อนผมบอกว่าที่ทำงานไม่ได้อย่างเต็มที่เพราะว่า แฟนเค้าต้องหาเงินกินขนมบ้าง ผมเองโมโหมากเพราะว่าทำให้ผมเสียหาย งาน Freelance ที่รับมาเงินก็น้อยนิด ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายและค่าเสียโอกาสของผม ผมจึงขอเลิก แต่เพื่อนผมบอกจะแก้ตัว ผมเลยโอเค รอเวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ งานออกมาได้น้อยเหมือนเดิม ผมจึงขอเลิกอย่างถาวร
จากนั้นก็คุยกันอยู่หลายครั้ง เพราะเพื่อนผมก็ไม่อยากเลิก ระหว่างนั้นมีเรื่องให้คิดอีก ประมาณว่า เพื่อนผมบอกว่าเครียด คงอยู่ที่ออฟฟิศที่เช่าไม่ไหว จึงขอย้ายของออกไปทำกับพนักงาน ผมก็เข้าใจไปว่า เพื่อนผมขอเอาของออกไปทำเอง จึงไม่พอใจในประเด็นนี้ เพราะเค้าพูดไม่เคลียร์ ตอนนี้ผมยอมรับว่าก็ยังไม่เคลียร์ ถึงแม้เค้าจะอธิบายไปแล้วแต่ผมก็ยังคาใจ
ที่ผ่านมามีความรู้สึกนึงที่ผมอยากจะทำต่อ แต่พอมาคิดอีกที เพื่อนผมคุยกับผมแค่คนเดียว อีกคนไม่มาคุยด้วย (เพื่อนผมที่ชวนมาทำมี 2 คนเป็นแฟนกัน) ผมจึงตัดสินใจเลิกดีกว่า
ตอนนี้สิ่งที่เสียไปสำหรับผมก็จะมี - มิตรภาพของผมกับเพื่อน ตอนนี้แค่คุยกันยังไม่อยากคุยเลย - เงินซึ่งคาดว่าถ้าขายของที่ลงทุนไปทั้งหมด หักทั้งหมดแล้ว ขาดทุนประมาณสามแสนกว่าบาท - Home Office ที่ไปกู้ซื้อมา 8.59 ล้าน ต้องกัดฟันผ่อนเดือนละห้าหมื่นกว่าบาท 20 ปี - รถยนต์ที่ผมซื้อให้เพื่อนใช้ ถ้าขายก็ขาดทุน ก็เลยได้รถมาโดยที่ไม่อยากได้ 1 คัน - เสียสุขภาพจิต เนื่องจากเงินตรงที่ที่ลงไป มันเกี่ยวพันกับธุรกิจที่ผมทำอยู่ ตอนแรกธุรกิจหลักที่ผมทำอยู่ก็เกือบมีปัญหา แต่ก็ดีที่เอาเงินเก็บของผมมาใช้ฉุกเฉิน
*** และสิ่งสำคัญของผมอีกอย่างคือเสียแฟนที่เค้ารักผมไป 1 คน เพราะแฟนผมไม่ค่อยชอบเพื่อนคนนี้ แล้วก็พอทำอะไรก็มีปัญหากับแฟนตลอด ตอนนั้นผมโลภมากเอง ประกอบกับคิดว่าแฟนผมเป็นตัวถ่วง เวลาไปทำงานอะไรกับเพื่อนผมก็ไม่พอใจ แล้วก็ทะเลาะกัน ผมเลยเลิกไป ตอนนี้ก็เพิ่งมารู้ว่าที่ผ่านมาเค้าดีกับเรามากที่สุด ตอนนั้นเหมือนโง่ ให้ความโลภมาบังตา แล้วเพื่อนผมก็พูดหว่านล้อมให้เลิก ด้วยความโลภอยากได้เงิน ไม่อยากมีปัญหาเลยเลิกกับแฟน ตอนนี้ผมจึงไม่เหลือใคร แต่ก็ยังดีที่แฟนผมคนนี้ เลิกกันไปแล้ว แต่เค้าก็ยังคุยด้วยอยู่ ผมก็อยากคืนดีกับเค้า รอเพียงแต่เค้าให้โอกาส
สิ่งที่ได้มาคงเป็นประสบการณ์สอนตัวเองว่าอย่าโลภ ที่ผ่านมาที่เป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความโลภ อยากมี อยากได้ของผม
ก็ที่เล่ามาสำหรับผมก็เป็นประสบการณ์และเป็นบทเรียนที่แสนแพง คงเป็นบทเรียนให้ผมจำไปอีกนานแสนนานครับ โชคดีของผมอีกอย่างคือธุรกิจ Trading เล็ก ๆ ของผมตอนนี้ก็ยังไปได้เรื่อย ๆ ยอดขายโตเดือนละ 5 - 10% ก็ค่อนข้างพอใจ ถึงแม้จะกำไรน้อยมาก ๆ แต่ยอดขายก็พอประมาณ ถือว่าโชคดีอยู่บ้าง ผมก็ขอแชร์ประสบการณ์เท่านี้ อาจจะเล่าไม่ค่อยเก่ง แต่เครียด ๆ เลยอยากหาที่ระบายครับ ขอบคุณที่ช่วยรับฟังครับ
จากคุณ |
:
OXYGEN2
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ก.ย. 52 08:51:12
|
|
|
| |