 |
ความคิดเห็นที่ 2 |
ต่อนะ... ตอนนั้นด้วยความที่เราทำแต่งานนอกบ้าน ไม่ได้มีเวลาพูดคุยกับแม่และพี่สาวเท่าไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้พี่สาวกู้เงินมาลงทุน แต่ผ่านไปสักระยะ ทุนก็หด กำไรก็หาย เพราะเรากู้เค้ามา 5,000 บาท ต้องส่งให้เค้าทุกเย็นวันละ 200 บาท เป็นเวลา 30 วัน วันไหนขายของมาได้ก็สามารถหักรายได้ส่งให้เค้าไปได้เลย แต่ถ้าวันไหนฝนตก เสียเงินค่าเช่าไปแล้ว โอ้แม่เจ้า...ไม่มีรายได้เข้ามา ก็เริ่มเป็นปัญหา เพราะพวกมอเตอร์ไซค์ (เราเรียกว่าพวกมือปืน) เค้าจะขับมาจอดหน้าบ้าน ตะโกนเรียกอย่างดัง (คือให้รู้ว่า กรูมาแล้ว จ่ายด้วย) จริงๆ แล้วช่วงแรกๆ พอผลัดผ่อนได้บ้าง บอกว่าวันนี้ขายไม่ได้เลย พรุ่งนี้ทบให้ได้ไหม เค้าก็โอเคๆ
แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะวันนี้ขายไม่ได้ ติดเค้าไว้ 200 วันต่อมาเราก็ต้องจ่ายเค้าอีก 200 ใช่มั้ย ฉะนั้นรวมแล้วต้องจ่ายเค้า 400 บาท ช่วงนั้นขายของได้วันละพันนี่ก็นับว่าโชคดีแล้วนะ แต่ถ้าเจอฝนตกติดกัน 2-3 วัน เงินที่ต้องจ่ายก็พอกเป็นดินพอกหางหมุ
พี่สาวเริ่มเจอปัญหาขายของไม่ได้ เพราะได้เงินมาก็เจียดมาใช้หนี้ กินใช้ในครอบครัว ก็เลยไม่มีทุนไปซื้อของมาลงเพิ่ม แล้วก็เวรซ้ำกรรมซัด เมื่อญาติๆ กัน เค้าเดือดร้อนหนักมาก เจอปัญหาคล้ายๆ กัน มาขอให้พี่สาวช่วยกู้เงินนอกระบบให้ พี่ก็บอกว่าตอนนี้ที่กู้อยู่ยังลำบากอยู่เลย เค้าก็วิงวอนอ่ะนะ และรับปากว่าจะไม่ทำให้เดือดร้อนเด็ดขาด ก็เลยไปกู้ให้เค้าอีก 5,000 แต่มันต้องใช้คนค้ำไง คนข้างบ้านบอกไม่มีปัญหาเดี๋ยวค้ำให้ แต่มีข้อแม้ว่าเค้าก็จะกู้เหมือนกัน ฉะนั้นต้องค้ำให้เค้าด้วยนะ
ปัญหาเริ่มชุลมุนชุลเก หนี้เก่าพี่สาวก็ต้องใช้ มีหนี้ใหม่ที่ไปกู้แทนเค้าอีก จริงๆ ก็กู้ให้เค้าด้วยความกังวลกลัวจะมีปัญหา แล้วก็มีจริงๆ เมื่อเค้าผ่อนไปได้ไม่กี่วัน ก็เริ่มขาดส่ง เมื่อทวงถามก็ตอบด้วยคำง่ายๆ แต่ความหมายลึกซึ้งว่า "ไม่มี"
เหมือนก้อนหินตกใส่หัว จากหนี้แค่วันละ 200 ยังเลือดตาแทบกระเด็น จู่ๆ ต้องมาจ่ายอีกเท่าตัวกลายเป็นวัน 400 วันไหนขาดส่งต้องจ่ายเป็น 800 ถ้าขาดส่งอีกวันต่อไปต้องวิ่งขาขวิดเพื่อหาเงินให้ได้วันละ 1,200 พวกมือปืนก็เริ่มเล่นลูกโหด ยกพวกมา 1 รถกระบะ เขย่าประตู ตะโกนทวงตังค์ตอนตีสอง ตีสาม ลืมบอกไปว่าตอนนั้นที่บ้านมีกันแต่ผู้หญิง มียาย แม่ พี่สาว ตัวเรา และลูกอ่อนของพี่สาว เจอรูปการณ์แบบนี้ทีไร ได้แต่ยืนมองหน้ากัน ทำอย่างไรดี จะออกไปก็ไม่กล้า กลัวจะโดนทำร้าย บางวันต้องฟอร์มปิดบ้านเงียบสนิท นอนนิ่งๆ ไม่ส่งเสียงกันเลย ให้พวกเค้าตายใจนึกว่าไม่มีใครอยู่
ใช้มุกนี้บ่อยๆ เค้าเริ่มจับได้ เวียนกันขับมอเตอร์ไซค์มาดูทุกชั่วโมง แล้วความซวยขนาดใหญ่กว่านั้นก็เกิดขึ้นอีก เมื่อคนที่เราไปค้ำประกันเงินกู้ให้เค้า (ข้างบ้านอ่ะแหละ) หนีครับพี่น้อง หนีไปเลย ฉะนั้นหนี้ที่เราไปค้ำให้เค้าก็ว่ากันไปตามตกลง ก็คือต้องใช้แทนเค้าโดยปริยาย
ทุกคนในบ้านเริ่มเครียด ตอนนั้นแม้เราจะทำงานหลายที่ แต่ว่ารายได้ก็ไม่ได้มากมายนัก เพราะต้องใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเรียนด้วย โชคดีตรงที่ว่าช่วงนั้นแฟชั่นเพ้นท์เฮนน่ากำลังฮิต เราเห็นเพื่อนทำแล้วรายได้ดีมาก เราและพี่สาวชอบเรื่องงานศิลปะอยู่แล้วก็เลยขอให้เค้าสอน แล้วก็เปิดร้านบ้าง แต่ร้านที่ว่าไม่ใช่หรูหราอะไรนะ ก็ที่ข้างถนน มีสมุดลายให้เลือก แล้วก็วาดๆ ไป รายได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเราลาออกจากงานพาทไทม์ทุกที่ แล้วมาร่วมมือกับพี่สาวช่วยกันเพ้นท์ ช่วยกันหารายได้ ส่วนเรื่องเรียนไม่ต้องพูดถึง ตอนนั้นถอดใจแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปเรียน ไปสอบอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
แม้รายได้จะดี ลูกค้าแวะเวียนมาอุดหนุนกันอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ด้วยหนี้ที่เป็นอยู่ มันก็เลยทำให้เราหาทางออกกันแบบผิดๆ ก็คือกู้เจ้านี้มา ติดเค้าไวแล้ว 3-4 วัน เค้าก็ไม่ยอม เราก็ต้องกู้ใหม่ เพื่อมาโปะหนี้เก่า หรือไม่ก็เลือกที่จะไปกู้เจ้าใหม่ เพื่อเอาเงินมาเคลียร์เจ้าเก่า โปะไปโปะมาอยู่อย่างนี้ จนสุดท้ายแล้วเชื่อหรือไม่ว่า หากเราจะจ่ายเงินให้ครบทุกเจ้า เราต้องจ่ายถึงวันละเกือบสี่พันบาท
ตอนนั้นเราผอมมาก กินกันแบบอดๆ อยากๆ สงสารก็แต่เจ้าตัวเล็ก เราก็อยากให้เค้ากินดีอยู่ดี แต่มันก็ต้องว่ากันไปตามสภาพ มีอยู่ช่วงนึงเราไม่สบาย ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าให้กินนมนะ วันละขวดก็ยังดี เราก็ตั้งปณิธานว่า เราจะกินนมวันละขวด เชื่อไหมว่า นมขวดละแค่ 6 บาท เราจะเอาไปซื้อกินยังไม่ได้เลย เพราะรู้ว่าเดี๋ยวคนพวกนั้นก็มาทวง ต้องเก็บไว้ให้เค้าก่อน
สภาพการณ์เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน พอไม่มีเงินก็แก้ปัญหาด้วยการให้เค้ามายึดข้างของที่บ้านไป จากบ้านที่มีอะไรครบทุกอย่าง กลายเป็นห้องว่างเปล่า โทรทัศน์ ตู้ ทีวี ตู้เย็น โซฟา แม้แต่พระบรมฉายาลักษณ์ของ ร.5 เค้าก็ยึดไปหมด หาเงินได้เท่าไหร่ไม่เคยได้กินได้ใช้ บางวันต้องกอดคอกัน 3 คน แม่ พี่สาว และเรา ร้องไห้กันเพราะไม่รู้จะหาทางออกยังไง
แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 09:47:36
จากคุณ |
:
มะนอยหวาน
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ต.ค. 52 09:42:25
|
|
|
|
 |