ความคิดเห็นที่ 1 เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม(ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่จะทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆที่ยังไม่พร้อมในหลายๆด้าน คิดง่ายๆว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน ถ้าย้อนเวลาไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้ว จึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:25:19

ความคิดเห็นที่ 2 เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ ความเสียดายข้อนี้ผมเชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน(เหตุผลเดิมคือรอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้(เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆก็ได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่มเริ่มทำงานใหม่ๆสักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:26:12

ความคิดเห็นที่ 3 เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน   มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆเสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อย แทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆแล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหาคนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่..ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:27:03

ความคิดเห็นที่ 4 เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย   ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตเพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:27:41

ความคิดเห็นที่ 5 เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ   “ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี ”  เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น   ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:28:41

ความคิดเห็นที่ 6 เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย   มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆจนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ พูดง่ายๆคืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว ถ้าย้อยเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:29:19

ความคิดเห็นที่ 7 เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป   คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอี่นๆ(แถมเงินเดือนเดิมสูงอีกต่างหาก) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานจนเกินไป จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:29:58

ความคิดเห็นที่ 8 ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า "เสียดาย"  ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆหรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากจะรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆหรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้ (จากเมล์ที่ได้รับ) ------------------------------ จากบทความที่ยกขึ้นมานี้ ผมไม่ได้เขียนเอง แต่ผมพบว่า น้องๆในห้องนี้อีกจำนวนมาก ที่ยังต้องการแนวทางในการปฏิบัติตัวและทำงานในหน้าที่การงานของตนเองว่า ควรที่จะทำเช่นใด คำว่า "เสียดาย" ในบทความเป็นเพียงแค่คำเปรียบเปรย แบบสบถ ในเชิงการเขียนเปรียบเทียบ เพื่อให้เด็กใหม่ได้เห็นถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับคนบางคน ในแต่ละมุมมอง ไม่ได้เป็นการใช้คำอย่างตรงๆ บางคนมองว่าสิ่งต่างๆคือ สิ่งที่ครอบงำความคิด การตัดสินใจ แต่คนที่สามารถมองนอกเหนือจากสิ่งที่เห็น สิ่งที่เป็นได้ต่างหาก ที่เป็นคนที่สามารถออกจากความครอบงำทางความคิดได้จริง ผมชื่นชมหลายๆท่านที่มีความสามารถ มีมุมมอง มีประสบการณ์ที่แตกต่างที่นำมาเสนอ ซึ่งผมเห็นความจริงเหล่านั้นเช่นกัน และ ชื่นชมกับทุกท่านที่นำความคิดมาเสนอครับ และต้องขอขอบคุณกับสิ่งที่นำมาแชร์กันครับ ------------------------ ยกความคิดเห็นด้านล่างมาไว้ครับ แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 05:46:27 จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:30:36

ความคิดเห็นที่ 9 มีหลายข้อเหมือนกันค่ะ ที่เคยรู้สึกอย่างนั้น อยากจะลองทำสิ่งใหม่ๆ เหมือนกัน แต่ปัจจุบันก็ยังเสียดายอยู่นะคะ เสียดายที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร และชอบอะไร ...... จากคุณ : มาสคาร่าฟ้าใส เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 11:48:59

ความคิดเห็นที่ 10 "เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป" มีข้อเดียวค่ะ เราไม่รู้สำหรับคนอื่นประสบการณ์ 3 ปีกว่าในที่ทำงานเดิมจะมากหรือน้อย สำหรับเรา มันมากไปเมื่อเทียบกับความรู้ และเนื้องานที่เราได้รับกลับมาในระยะเวลาเท่านั้น ส่วนข้ออื่นๆ เราไม่โดนค่ะ เพราะเราได้ตั้งใจทำในสิ่งที่เราต้องการจนหมดแล้วค่ะ เราลาออกจากบริษัทที่มั่นคงบริษัทหนึ่งหลังจากเรียนจบป.โท ในเมืองไทย แล้วไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศแค่ 6 เดือน เพื่อนบางคนบอกว่า้เราบ้า เพราะงานก็หายาก แล้วก็แค่เรียนภาษา เรียนในไทยก็ได้ แต่สำหรับเรา ถ้าไม่ไปตอนนั้น เราก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีโอกาสไป แล้วการเรียนภาษาที่ต่างประเทศ แม้จะเป็นแค่ระยะเวลา 6 เดือน แต่มันก็เป็นช่วงที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตสำหรับเรา จากคนที่ฟังไม่ค่อยได้ พูดไม่ค่อยคล่อง ชีวิตเราเปลี่ยนไปพอสมควรเลยค่ะ เพราะฉะนั้น เราว่าถ้าตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำอะไร อย่าไป "กลัว" หรือว่า "รอเวลา" เพราะเวลามันก็เดินของมันไปเรื่อยๆ เราก้าวเดินไปพร้อมๆกับเวลาดีกว่า จากคุณ : dins เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 12:26:18

ความคิดเห็นที่ 11 อืม  เห็นด้วยครับ  เป็นข้อคิดที่ดีมากๆครับ :) จากคุณ : LimitBreak เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 12:43:03

ความคิดเห็นที่ 12   อดีตแก้ไขไม่ได้                     แต่ทำวันนี้ให้ดีกว่าเก่า พรุ่งนี้ก็จะดีกว่าวันนี้ จากคุณ : NeEdYoUTo2 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 12:48:32

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณครับ จากคุณ : smartaim เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 13:21:20

ความคิดเห็นที่ 14 กระทู้ดี โหวตครับ จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 13:34:29

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นบทความที่ดีในแง่ของมนุษย์เงินเดือน แต่อยากจะบอกว่ามนุษย์เงินเดือนก็คือมนุษย์ เรื่องราวทั้งหมดพูดถึงการประเมินค่าในทางเงินทอง ประสบความสำเร็จ ไต่เต้าในหน้าที่การงานไปในจุดสูงสุด แล้วจิตใจเล่า เป็นอย่างไร บางคนมีความสุขในสิ่งที่บางคนมองว่าเสียดาย อย่าใช้บรรทัดฐานทางสังคมที่บีบรัดนั่นเป็นกฎเกณฑ์มากเกินไปค่ะ ไม่อย่างนั้นอาจมีกระทู้มาตั้งว่าเสียดายที่ทำตามข้อเสียดายของกระทู้นี้ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 13:50:17

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นบทความที่ดีบทความนึงเลยครับ ขอบคุณมาก จากคุณ : nOth!Ng เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:26:31

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนผม เสียดาย ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนนานไปหน่อย จากคุณ : ้hayman (hayman) เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:29:37

ความคิดเห็นที่ 18   อ่านมาจนจบ ผมมีอีกข้อนึงครับ เสียดาย เกิดมาทำไม........ ถ้าคิดแต่จะใช้ชีวิตตามกรอบแบบนั้น ผมเรียกมันว่าขาดทุนครับ ...... จากคุณ : Kornman เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:30:29 A:58.8.125.147 X: TicketID:193113

ความคิดเห็นที่ 19 เสียดายเยอะจัง คนที่เสียดาย แก้ไขอะไร หรือเสียดายแล้วกลุ้ม กลุ้มแล้วเคลียด เคลียดแล้วปรับทุกข์กะเพื่อน เพือนก็พาไปปรับทุกข์ เช้าอีกแล้วเรา เสียดายเมื่อคืนน่าจะนอน วันนี้ทำงานไม่ไหวอีกแล้ว นั่งอยู่ให้รู้ว่ามาทำงาน แก้ไขนะครับ เริ่มเลย ยังไม่สาย อ่านประวัติ เนเจอกิฟอะ เขาล้มยิ่งก่าวล้มอีก พอเขาหาทางเจอ ไม่กี่วันเอง ก็ จบ อย่าท้อ อย่าแพ้ เสียดายแล้ว แก้ไข โดยด่วน นะครับบ จากคุณ : numpeak เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:38:32

ความคิดเห็นที่ 20 นายเก่าสอนว่า....อย่าคิดว่าเสียดาย ให้คิดว่ายังดีกว่า..... ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...... นายบอกว่า ถ้าโดนให้ออก ก็คิดซะว่า ยังดีกว่าไม่เคยทำงาน..... นายเราเนี่ยอารมณ์ขัน เนอะ ทำเอา หน้าซีดกันทั้งโต๊ะประชุม55555+ จากคุณ : โอ้ย...แจ่ม เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:44:17

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณมากๆๆๆครับ จากคุณ : fete เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 15:08:52

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากๆค่ะ ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ จากคุณ : hey_happy เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 15:36:01

ความคิดเห็นที่ 23 เสียดายที่มัวทำแต่งานจนลืมไปว่าในชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น คนที่ผมรู้จักคนนึงถูกบริษัทส่งไปทำงานที่ต่างประเทศ มีโอกาสกลับมาเมืองไทยแค่ปีละ3ครั้ง ครั้งละ15วัน รายได้ไม่รวมเบี้ยเลี้ยงประมาณ3แสนบาทต่อเดือน ถูกโอนเข้าบัญชีภรรยา ครอบครัวเค้าก็เหมือนมีความสุขดี แต่ในบั้นปลายของชีวิต เค้ากลับมา เกษียณที่เมืองไทย มาดูรูปเก่าๆ ถึงได้รู้ว่าเวลาของเขาหายไปจากครอบครัวถึง20ปี และเป็น20ปีที่เอาคืนมาไม่ได้ เขาได้แต่ถามตัวเองว่า ทำไมเขาถึงพลาดโอกาสดีๆไปโดยมัวแต่มองแค่งานที่ทำให้กับคนอื่นแต่กับครอบครัวที่เห็นคุณค่าเขามากที่สุด กลับไม่ได้ให้เวลาเลย จากคุณ : apotheker เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 15:39:39

ความคิดเห็นที่ 24 อีกข้อ ขอเพิ่ม เห็นเพื่อนผมหลายคนแล้วคิดว่า อีก 5-10 ปี คงต้องพูดแบบนี้ "เสียดายที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า" กว่าจะรู้ตัวก็ไม่สามารถเรียกคืนมาได้แล้ว อายุมากก็หางานใหม่ยากขึ้น เงินเดือนเริ่มสูง โอกาสโดนให้ออกก็มากขึ้น เงินเก็บก็ไม่ค่อยมี ความสามารถก็ไม่ค่อยได้พัฒนา จะเรียนรู้การลงทุนก็กลัวเสี่ยง กลัวพลาด เพราะภาระเยอะขึ้น ทั้งครอบครัว ต้องดูแลพ่อแม่อีก ผมก็ไม่เข้าใจ ทำไมหลายคนชอบใช้ชีวิตบนความเสี่ยงแบบนี้ ส่วนตัวมองว่า การไม่ทำอะไร คือ ความเสี่ยงสูงสุดแล้ว แล้วเจอกัน ที่รายการ "วงเวียนชีวิต" จากคุณ : อาร์ตี้ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:00:25

ความคิดเห็นที่ 25 เย้ เพิ่งบ่นถึงคุณอาเมื่อวาน วันนี้มีกระทู้มาให้อ่านแล้ว ขอบคุณค่ะ โดนทุกข้อเลย ยกเว้นเรื่องแต่งงาน จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:16:49

ความคิดเห็นที่ 26   สำหรับผมต้องบอกว่า " เสียดายที่มัวแต่มาเป็นมนุษย์เงินเดือนเสียหลายปี " ถ้ารู้ว่าค้าขายแล้วมีดีอย่างนี้นี่เอง ตูคงรวยกว่านี้อีกหลายสิบเท่าไปนานแล้ว จากคุณ : นักธุรกิจมือใหม่ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:18:28 A:202.57.137.157 X:

ความคิดเห็นที่ 27 นั้นไง ผมถึงเลือกเรียน PHD จากคุณ : To die for เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:22:26

ความคิดเห็นที่ 28   เสียดายที่ไม่ได้ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงานค่ะ ถ้าย้อนเวลาไปได้ คงตั้งใจทำให้เต็มที่กว่านี้ แต่ ณ ปัจจุบัน ก็รู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปค่ะ จากคุณ : บินไปในเวหา เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:31:07

ความคิดเห็นที่ 29 เสียดาย ถ้าทุกคนคิดแต่จะใช้ชีวิตตามกรอบแบบนั้น จากคุณ : มีลูกชื่อหยอง (มีลูกชื่อหยอง) เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:35:36

ความคิดเห็นที่ 30 หนูเลยเลือกจะเรียนต่อ ตอนที่ยังมีไฟ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:37:03

ความคิดเห็นที่ 31 ผมเสียดาย ที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ มาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้พยายามอยู่ แต่ไม่มากเท่าไร จากคุณ : Mr.Ti เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 17:00:53

ความคิดเห็นที่ 32 จากบทความที่ยกขึ้นมานี้ ผมไม่ได้เขียนเอง แต่ผมพบว่า น้องๆในห้องนี้อีกจำนวนมาก ที่ยังต้องการแนวทางในการปฏิบัติตัวและทำงานในหน้าที่การงานของตนเองว่า ควรที่จะทำเช่นใด คำว่า "เสียดาย" ในบทความเป็นเพียงแค่คำเปรียบเปรย แบบสบถ ในเชิงการเขียนเปรียบเทียบ เพื่อให้เด็กใหม่ได้เห็นถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับคนบางคน ในแต่ละมุมมอง ไม่ได้เป็นการใช้คำอย่างตรงๆ บางคนมองว่าสิ่งต่างๆคือสิ่งที่ครอบงำความคิด การตัดสินใจ แต่คนที่สามารถมองนอกเหนือจากสิ่งที่เห็น สิ่งที่เป็นได้ต่างหาก ที่เป็นคนที่สามารถออกจากความครอบงำทางความคิดได้จริง ผมชื่นชมหลายๆท่านที่มีความสามารถ มีมุมมอง มีประสบการณ์ที่แตกต่างที่นำมาเสนอ ซึ่งผมเห็นความจริงเหล่านั้นเช่นกัน และ ชื่นชมกับทุกท่านที่นำความคิดมาเสนอครับ และต้องขอขอบคุณกับสิ่งที่นำมาแชร์กันครับ จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 17:20:54

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณค่ะ คิดว่าบทความนี้คงกระตุกความรู้สึกมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ๆ ได้หลายท่านเชียวค่ะ   เพื่อที่น้องๆจะได้ไม่ "เสียดายเวลา" จากคุณ : Baby Bean เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 17:33:21

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ น้องๆมนุษย์เงินเดือนหลายๆคนนำไปปรับใช้ได้เลยครับ ขอบคุณ คุณwbjครับ จากคุณ : แสนเชิง เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 18:11:06

ความคิดเห็นที่ 35   ขอบคุณคะ จากคุณ : พนิ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 18:46:16 A:172.16.0.203 X:124.157.141.77

ความคิดเห็นที่ 36 เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน  -  ยังรู้สึกว่า ไม่สุดๆซักทีหนึ่ง แบบ กลับถึงบ้านหลับเลย ติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน อะไรประมาณนั้น ทุกวันนี้ เบื่อๆก็เล่นพันทิป 555 เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ  - ตอนนี้ ยังไม่รู้จะเรียนอะไร เป็นโปรแกรมเมอร์ จะต่อโท อะไรดีครับ TT เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน  - อันนี้ก็ยังหรอกครับ แต่บางทีก็หงุดหงิดบ้าง แต่ไม่แสดงออก อิอิ เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ  - พูดยังไม่ค่อยจะได้ เขียนก็ยังไม่ค่อยจะเก่ง ฟังยิ่งแล้ว แต่อ่านยังพอได้บ้าง :P เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย  - นั่นสิ รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่เราเท่าไหร่ แค่เกือบๆ นี่แหละที่ผมกลัว ก็ดีครับ จะได้เร่งปรับปรุงตนเอง ^^ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 18:56:49 จากคุณ : Culture เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 18:53:47

ความคิดเห็นที่ 37 กระทู้ปล้นกีบ กันชัดๆ โดนใจเต็มๆครับ จะลองนำไปใช้ดูครับ กำลังเครียดในบางข้ออยู่พอดีเลยครับ จากคุณ : DKR เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 19:49:03

ความคิดเห็นที่ 38 เขียนได้ดีมากเลยค่ะ ตรงมากๆ แต่นู๋ไม่ต้องเสียดายที่แต่งงานเร็วไปนะ อิอิ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 19:54:02 จากคุณ : เจ้าหญิงอู๊ดโกะ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 19:53:26

ความคิดเห็นที่ 39 ผมค้านนะ เรื่องแต่งงานเร็วเกินไป การสมรส มันเป็นความต้องการด้านจิตใจครับ อยู่แบบไร้คู่ไปเรื่อยๆ พอมารู้ตัวอีกที เฮ้ย เราแก่แล้วหรอวะ การแต่งงานเร็ว มันอาจจะดี หรืออาจจะไม่ดีก็ได้ครับ การได้มีเพื่อนคู่คิด คุยได้ทุกเรื่อง มันยอดมากเลย ผมแต่งงานตอนอายุ 20 นะครับ และได้ภรรยาที่ดี เลยไม่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในงาน และเป็นส่วนสนับสนุนที่ดีด้วย แต่ถ้าได้ภรรยาไม่ดี ก็มารบกวนจิตใจที่มีต่องานก็เป็นได้ ข้อที่ว่าแต่งงานเร็ว ผมว่าไม่บวกไม่ลบนะครับ ส่วนข้ออื่นๆ ผมว่าโดนใจนะ จากคุณ : โลหการ4 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 20:31:54

ความคิดเห็นที่ 40 ในช่วงปีหลังๆของการทำงาน ผมก็พยายามบอกตัวเองบ่อยๆว่า ถ้าถึงตอนแก่ ผมไม่อยากจะมานั่งนึกเสียดายกับสิ่งที่เคยพลาดมา ช่งวนั้นมันกระตือรือล้นในการทำงานค่อนข้างสูง คิดและวางแผนชีวิตได้เป็นฉากๆ  แต่พอชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ  ความมุ่งมั่นก็เริ่มจะลดลง กลายเป็นใช้ชีวิตเรื่อยๆเปื่อยๆ อีกแล้ว ขอบคุณกระทู้นี้ที่ช่วยให้ผมได้ทบทวนอีกรอบนะครับ ^^ จากคุณ : modzzz072 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 20:48:39

ความคิดเห็นที่ 41 แต่ถ้าได้ ภรรยารวยๆ  หรือสามีรวยๆ ก็หลุดกรอบ มนุษย์เงินเดือนไปเลยนะครับ ^^ จากคุณ : /nse38 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 22:06:20

ความคิดเห็นที่ 42 กิกิกิ ว่างมาเข้าเวปละเหรอครับพี่ กิกิ จากคุณ : axolot เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 23:34:44

ความคิดเห็นที่ 43 โดน และเฉียดหลายข้อเลยค่ะ แต่อยากเพิ่มไปอีกข้อเลยคือ "เสียดายที่คิดผิด รับงานแรกเพราะเห็นใกล้บ้าน เงินโอเค และถือโอกาสพักผ่อน" เพราะใช้ชีวิตตอนเรียนแบบคนทำงาน (เรียน ทำงาน กิจกรรม) ไม่เคยเที่ยว ไม่ได้พัก พอเรียนจบ ทำงาน เลยใจร้อนเลือกงานที่มีคนเสนอเพราะเห็นว่าเงินดี(แต่พอทำจริงๆ ไม่ได้อย่างที่ตกลง) ใกล้บ้าน หลงคารมคนนั่นแหละ เสียดายเวลาจริงๆ จากคุณ : Lighting Plankton เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 23:44:02

ความคิดเห็นที่ 44 เห็นด้วยหมด แต่.. ขอค้านเรื่องแต่งงานเร็วเหมือนกัน ผมก็ยังไม่แต่งงานเพราะอยากทำงาน   การงานก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่เค้าแต่งงานเร็วเท่าไหร่  แต่เหงาโคตร เพื่อนๆทยอยแต่งงานไป ยังจำได้เพื่อนในรุ่นแต่งงานคนแรก เราไปร่วมงาน มองเพื่อนเป็นตัวตลก หลังๆมาเหลือแต่เรา กลับเป็นตัวตลกซะเองมีงานแต่งเพื่อน ก็ส่งไปแต่การ์ด อับอาย เพื่อนๆพาลูกๆมาอวด เพื่อนกลับบ้านกลับเป็นครอบครัวขับรถคันเล็กๆดูอบอุ่น   แต่เรานั่งรถคนใหญ่แต่กลับบ้านคนเดียว +_T ที่ประเทศญี่ปุ่นเค้าก้นิยมแต่งงาน 20ต้นๆนะเพราะว่าเริ่มต้นเร็ว เด็กแข็งแรง ผ้หญิงก็ไม่เสียหุ่น เสียทรงต่างจากผู้หญิงที่อายุมากแล้วมีลูก อิจฉา ตะเกียบ รองเท้า เกิดมามีคู่  แล้วคู่เราอยู่ไหนละเนี่ย จากคุณ : PhysikMan (PhysikMan) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 00:22:55

ความคิดเห็นที่ 45 ^ ^ อยู่นี่ครับผม จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 00:45:36

ความคิดเห็นที่ 46   ทำงานที่เดียวมา 13 ปีแล้ว กำลังวางแผนลาออกอยู่ เพราะคิดว่าอยู่ต่อไปคงไม่อะไรดีขึ้น จะ 35 ปีหน้าแล้ว ยังไม่เห็นทางของตัวเองเลย แต่ถ้ายังอยู่ บริษัทที่ใหญ่และมั่นคงอยู่อย่างนี้ คงไม่มีวันได้พบทางตัวเองแน่ๆ งานก็สบายๆ ต้องตัดใจเสียที จากคุณ : คน (กำลังจะ) ว่างงาน เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 01:01:54 A:124.122.206.36 X: TicketID:240851

ความคิดเห็นที่ 47 งงตรงนี้ครับ ทำธุรกิจส่วนตัวแล้วมีเวลาเยอะขึ้น? สำหรับผมแล้วตรงกันข้ามเลย จากคุณ : zidew3 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 01:37:21

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆค่ะ ในส่วนของตัวเอง ไม่รู้สึกเสียดายเลยในเรื่องการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนบริษัท การเรียนต่อ การเรียนภาษา การทำงานที่เดียวนานหรือน้อยเกินไป การทำธุรกิจส่วนตัวหรือเงินเดือนที่สูงขึ้น รวมไปถึงการทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน เพราะคิดว่าทุกอย่างมันมีองค์ประกอบของมันทีลงตัวเสมอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงของเรื่องเหล่านี้ เพราะคิดเสมอว่าการตัดสินใจเปลี่ยนและทำ เราเป็นคนตัดสินใจเอง เพราะเราเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ดี ที่เหมาะสม และ ทำให้เรามีความสุข  คิดเสมอว่าถ้าไม่เปลี่ยน ไม่ทำ ก็ไม่รู้ว่าวันต่อมาเราจะเจอสิ่งที่ดีกว่า หรือ แย่กว่าในอดีต  จนทำให้เราตระหนักว่าการเปลี่ยนครั้งต่อไป อะไรคือปัจจัยที่เราต้องคิดมากขึ้น วิเคราะห์มากขึ้น เพื่อทำการเปลี่ยนหรือทำในครั้งต่อไปพลาดน้อยที่สุด   มองว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีประสบการณ์ในการเลือกที่จะเป็นและเลือกที่จะไม่เป็น โดยไม่คิดว่าจะเสียดายว่าไม่ได้ทำโน่นนี่นั่น สำหรับชีวิตมนุษย์เงินเดือนของตัวเองที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก คือเสียดายเพื่อนร่วมงานและเจ้านายดีๆ เก่ง เพราะรู้สึกว่ามันหาและค้นพบได้ยาก และเป็นความลงตัวที่อัศจรรย์จริงๆ ค่ะ มันทำให้ชีวิตการทำงานมีความสุขและความหมายมากกว่าการทำงานด้วยตัวคนเดียว เรื่องที่เสียดายเรื่องที่สองคือ ที่ผ่านมาทำงานหนักมากเกินไป เห็นงานสำคัญกว่าชีวิต ครอบครัวและคนรอบข้าง ไม่มี work life balance ไม่มีสังคม ไม่ดูแลตัวเอง อีกเรื่องที่ตอบไม่ได้ว่าเสียดายหรือเปล่า คือ เรื่องแต่งงานค่ะ เพราะยังไม่เฉียดเข้ามา ค้นหากันต่อไป จากคุณ : fiat_marketing เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 01:48:50

ความคิดเห็นที่ 49   ขอบคุณครับผม จากคุณ : Guiman เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 08:40:54

ความคิดเห็นที่ 50 ผมคง เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย กว่าจะรู้ตัวก็ทำงานไปสองปี ออกจากงานไปเรียนอีกสองปี เพื่อจะได้ย้ายมาทำสายงานอื่น ทำงานไปสองปีช้าไปไม้ เหมือนจะไม่ช้า แต่มาคิดตอนนี้ จะเลือกคณะที่เรียนใหม่ตั้งแต่ปริญญาตรี รู้สึกเปลืองไปตั้งหกปี เสียดายไม่ได้คิดถึง career ตั้งแต่ตอนเข้ามหาลัย (ยังเด็ก เด็ก 17-18 ปรกติก็ไม่รู้กันเปล่าครับอยากทำอะไร) เรื่อง เสียดายที่แต่งงานเร็ว หลายคนบอกไม่เห็นด้วย แต่ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ผมว่าแต่งสักสามสิบดีกว่า ไม่สายหรอกครับ ถ้ายังเด็กอยู่หัวเดียวดีกว่าสองหัวอยู่แล้ว ไร้ภาระ ไม่ต้องคิด โดยเฉพาะถ้าคิดจะลองทำงานต่างประเทศ เก็บประสบการณ์ ผมเสียดายแทนแฟนผม เพราะกลายเป็นว่าต้องมาตาม career ผม มาต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เค้าก็เป็นคนทำงานดี ที่ทำงานยังกวักมือหยอยๆ ให้กลับไปอยู่ ตอนนี้ก็สนับสนุนกันสุดฤทธิ์เรื่องการงาน แต่เศรษฐกิจแย่ เค้าก็ไม่ค่อยรับคนต่างชาติเท่าไหร่ แฟนผมเลยตกงานอยู่ (จริงๆ คนที่นี่เองก็แย่เหมือนกัน) จากคุณ : Toey84 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 08:55:20

ความคิดเห็นที่ 51   ขอบคุณค่ะ สำหรับกระทู้ดี ๆแบบนี้ จากคุณ : หากเวลาย้อนกลับได้ (หากเวลาย้อนกลับได้) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 09:09:34

ความคิดเห็นที่ 52 โหวตครับ จากคุณ : !+ ส า ม แ ป ด ส า ม +! เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 13:57:37

ความคิดเห็นที่ 53 หลายๆ ข้อ เหมือนมานั่งอยู่กลางใจเราเลย ^^ จากคุณ : เลนส์สีฟ้า เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 14:12:17

ความคิดเห็นที่ 54 กระทู้ดีมากๆ ค่ะ จขกท. ขอบคุณมากๆ ที่เอามาให้อ่าน ส่วนตัวคิดว่าตรงทุกข้อเลย หากมัวยึดติดกับคำว่า "เสียดาย" โอกาสดีๆ ก็จะหลุดลอยออกไปไม่มีวันหวนกลับ อีกทั้ง "เวลา" ที่สูญเสียไป ก็เรียกร้องกลับคืนมาไม่ได้ ตอนนี้ เราเลยตัดสินใจเลือกงานใหม่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อนาคตต้องเจอกับอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าอีก 4 เดือน ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหากไม่ผ่านโปร เรากำลังจะลาออกจากงาน ทั้งๆ ที่เพื่อน พี่ น้อง ที่ทำงานดีเยี่ยม งานดีเยี่ยม แต่เงินเดือนน้อย เราต้องยอมแลกกับโบนัสก้อนโต้ ที่เหลือเพียงเดือนเดียวก็จะได้ แต่เราคิดว่าเมื่อโอกาสมาถึง เราไม่ควรปล่อยให้หลุดลอยออกไป ชีวิตคนก็เหมือนเรือน้อย แล่นอยู่กลางทะเล ใยเราต้องมานั่งเสียดาย หากเราไม่คิดและลงมือทำมันให้ดีตั้งแต่วันนี้ หากมันไม่ดี บทเรียนนั้นแหละที่จะสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่และเติบโตขึ้นได้ด้วยตัวเอง ต่อให้เงินมากมายเราก็ซื้อประสบการณ์ที่ว่านั้นไม่ได้ เราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากที่ทำงานใหม่ไม่ดีก็ถือว่าเท่าทุน หากดีเราไปเจอคนดี งานดี คงถือเป็นวาสนาของเราเอง จากคุณ : เส้นขอบฟ้าลายสีรุ้ง เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 15:10:28

ความคิดเห็นที่ 55 คุณเส้นขอบฟ้าลายสีรุ้งค่ะ เราเองก็กำลังจะเริ่มงานใหม่ในวันจันทร์นี้ค่ะ ก็กังวลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะทำงานได้ดีแค่ไหน แต่ก็จะพยายามให้ดีที่สุด เราเห็นด้วยนะค่ะ ว่าโอกาสมา ก็ควรคว้าไว้ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะมาหาเราอีกเมื่อไหร่ เป็นกำลังใจให้คุณเส้นขอบฟ้าลายสีรุ้งและทุกคนทีกำลังจะเริ่มงานใหม่นะค่ะ อ่อ เราชอบที่คุณบอกว่า "เราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากที่ทำงานใหม่ไม่ดีก็ถือว่าเท่าทุน หากดีเราไปเจอคนดี งานดี คงถือเป็นวาสนาของเราเอง".....ขอบคุณที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น และช่วยลดแรงกดดันที่เรารู้สึกค่ะ จากคุณ : dins เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 15:27:31

ความคิดเห็นที่ 56 สำหรับผม ผมเลือกใช้ชีวิตอย่างไม่เสียดายในภายหลัง ไม่ใช่ใช้ชีวิตไม่คิดนะครับ ไม่ใช่ตามใจตัวเองแบบเลยเถิดด้วย เข้มงวดแต่ไร้กรอบน่ะ โอกาสเข้ามาในชีวิตได้เสมอ สิ่งที่มักผุดขึ้นมา คือทางเลือก ฉันจะเป็นอย่างไรถ้าเลือกแบบนั้นแบบนี้ ไม่เลือกเลยก็เป็นทางนึงนะ พอเป็นทางเลือก เลยทำให้สับสน เพราะแต่ละทางเลือกมีข้อดีของตัวเอง เลือกไม่ถูก สับสน เครียด อยากให้ลองมองไปยาวๆ เพราะความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ที่แนะนำได้ คืออย่ามัวนั่งเสียดาย ลุกขึ้นมาทำตามฝันครับ ------------------------------------------------------- เอาหนังสั้นสิบรางวัลมาฝาก สั้นแค่สามนาทีครึ่ง อาจจะดูไม่รู้เรื่อง ไม่เป็นไร มีคำแปลให้ (เพื่อนแปลให้ ถ้าผิดช่วยแก้ให้ด้วย) เรื่อง J'ai vomi dans mes cornflakes ฉันอ้วกใส่คอร์นเฟล็ก ------------------------------------------------------- Si les enfants veulent tous devenir astronautes, c'est pour se barrer de cette terre où ils devront vivre toute leur vie. ถ้าเด็กทุึุกคนอยากเป็นนักบินอวกาศล่ะก็ นั่นก็เพื่อจะได้หนีออกจากโลกที่ต้องอยู่ไปตลอดชีวิต Ensuite ils grandissent, oublient la NASA à cause d'un 5 et demie en math. จากนั้น พอโตขึ้น พวกเขาก็จะลืมเรื่องนาซ่าไปหมดสิ้นเพราะสอบตกเลข Ils écoutent du black-métal et vomissent la bière vendue par packs de trente. พวกเขาฟังเพลงแบล็คเมทัล และอ้วกเบียร์ที่ซื้อมา Ils se haïssent eux-mêmes sans trop savoir pourquoi. แล้วก็เกลียดตัวเองโดยหาเหตุผลไม่ได้ Le Lycée leur apprend les modalités de l'échec, de l'humiliation, de la clope, et du suicide. โรงเรียนสอนพวกเขาให้รู้จักความล้มเหลว ความอับอาย บุหรี่ และการฆ่าตัวตาย Ceux qui auront leur BAC se ruineront en malibu-coca. คนที่จะเรียนจบกลับมาทำลายตัวเองด้วยเหล้า Puis, le soleil éclaire un peu plus leur chemin. แต่จากนั้น แสงตะวันก็ส่องเส้นทางชีวิตให้สว่างขึ้นอีกนิด Ils voient un peu mieux l'avenir parce qu'il n'y en a pas. พวกเขามองเห็นอนาคตอีกนิดเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วอนาคตนั่นไม่มีอยู่จริง Ils se psychanalysent eux-mêmes en découvrant que tout ça, ce n'est peut-être pas seulement de leur faute. พวกเขาวิเคราะห์จิตกันเองแล้วพบว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่ความผิดของตัวเองเพียงผู้เดียว Alors on se met à faire de la politique. Un autre monde est possible. Le changer serait tellement cool. จากนั้นจึงเริ่มยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โลกสามารถเปลี่ยนได้ แล้วถ้าทำได้ก็จะเยี่ยมมากๆ Ils achètent des T-shirts avec des étoiles rouges, et trouvent le mot "révolution" très beau, ça ressemble à revolver, mais surtout à évolution. พวกเขาซื้อเสื้อยืดที่มีดาวแดง และคิดว่าคำว่า revolution (การปฏิวัติ) นั้นช่างงามจับใจ ดูคล้ายกับ (ปืน) รีวอลเวอร์ และโดยเฉพาะคำว่า evolution (วิวัฒนาการ) Ils arrêtent de manger du MacDo, refusent d'être français, ne regardent plus la météo; de toute façon demain... พวกเขาเลิกกินแมค ทิ้งความเป็นฝรั่งเศส เลิกดูพยากรณ์อากาศ เพราะไม่ว่าจะยังไง พรุ่งนี้... Il pleuvra... ฝนก็ตกอยู่ดี... Le doute se mèle à leur tentatives, vaines, forcément; pourquoi refaire le monde, puisqu'il va péter. ความสงสัยเริ่มรวมตัวกับความพยายามที่สูญเปล่า เราจะเปลี่ยนโลกไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายยังไงโลกก็แตก Et puis ils se rendent compte que boire une bière fraîche avec une belle brune, c'est pas si mal. แล้วก็จำได้ว่า การดื่มเบียร์เย็นๆกับสาวผมน้ำตาลคนงามนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่สักเท่าไหร่ Le regard d'une fille vaut mieux qu'un combat perdu d'avance. สายตาของสาวสวยนั้นมีค่ากว่าสงครามที่พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม L'amour pas la guerre, ce genre de conneries. ความรัก ไม่ต้องการสงคราม คำพูดไร้สาระอะไรเทือกนี้ On emmerde une denière fois la société, puis on revend son poster du Che. พวกเขาเลิกสนใจสังคมเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ขายโปสเตอร์รูปเช กูวาราทิ้ง Cette fille devient notre femme, la bière fraîche devient notre bide. แม่สาวนั่นกลายมาเป็นศรีภรรยา ส่วนเบียร์เย็นๆกลายเป็นพุงที่ยื่นออกมา On s'entasse dans un meublé qu'il faudra payer. Un boulot et puis une bagnolle, avec l'ouverture centralisée et la clim en option. พวกเขาซุกตัวอยู่ในห้องตกแต่งเสร็จที่ต้องจ่ายเงินซื้อ หางานทำ จากนั้นจึงซื้อรถ พร้อมด้วยระบบล็อคอัตโนมัติ โดยมีออปชั่นเสริมเป็นแอร์ On économise pour Noël, il y a un peu de soleil à la plage... เราต้องประหยัดสำหรับช่วงคริสมาสต์ เพราะยังไงที่ชายหาดก็ไม่ค่อยมีแดดเท่าไหร่ On devient gros, moche, aigri; les p'tis cons arrêtent des jouer dans notre pelouse, et on se souvient qu'avant on avait des projets. เราอ้วนขึ้น น่าเกลียดขึ้น ขมขื่น เจ้า้พวกตัวแสบเลิกเล่นบนสนามหญ้าเราแล้ว แล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ เราเคยมีความฝัน On se souvient... เรานึกขึ้นได้... On était jeune, plein d'idées, tout ça pour rien... ตอนนั้นเรายังเด็ก มีความคิดเยอะแยะไปหมด แต่ก็แค่นั้น... Parce que maintenant, on attend comme tout le monde son abonnement au programme télé; alors, avant de mourir, on va voir son petit fils. Il veut devenir astronaute. เพราะว่าตอนนี้ เรารอดูรายการทีวีเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ก่อนจะตาย เราจะไปเยี่ยมหลานชาย ไอ้หนูอยากจะเป็นนักบินอวกาศ Deviens-le, c'est ta seule chance. เป็นให้ได้นะ มันเป็นโอกาสเดียวของแก Pierrick Servais. ปิแอริค แซร์เวส์ จากคุณ : numnumnum1 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 16:52:18

ความคิดเห็นที่ 57 ไม่เห็นด้วย เรื่องแต่งงานเร็วเกินไปครับ   เพราะ ผัวเมีย สมัยนี้ต้องช่วยกันครับ และ ถ้าจะรอให้พร้อมก่อน มั่นคงก่อน ... ไม่ต้องแต่งดีที่สุดครับ เพราะ  คนเราไม่มีว่า พร้อมที่สุดครับ มีแต่จะทำหรือไม่ ถ้าอต่งงานเร็วเกินไป น่าจะใช้กับพวก ท้องในวัยเรียนมากกว่า จากคุณ : รถไฟสายใต้ เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 17:57:05

ความคิดเห็นที่ 58 เคยได้ยินคำพูดนี้เหมือนกันครับ "ถ้าคุณเสียดาย คุณก็จะยิ่งเสียดาย" เป็นกระทู้ที่ดีครับ แต่บางมุมผมก็คิดว่า โลกนี้มันไม่ได้ออกแบบมาให้สมบูรณ์แบบไปปเสียทุกอย่างหรอกครับ โดยเฉพาะกับคำว่ามนุษย์ คนนะครับไม่ใช่เครื่องจักร มันก็ดีมีเลว มีขี้เกียจมีขยัน มีผิดพลาดมีแก้ไข ชีวิตคนมันคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้นี่ครับ สมมุติว่าย้ายงานไป เงินดีกว่า แต่สภาพแวดล้อมเลวร้ายกว่า กดดันกว่า แบบนี้สรุปแล้ว มีทุกข์มากกว่าสุข มันจะดีกว่าเหรอครับ ในเรื่องจิตใจ คนเราต้องการใช้ชีวิตที่ปกตินั่นแหละครับ มีปัจจัยสี่อย่างพอเพียงไม่เจ็บไม่ไข้ก็ดีมากแล้วครับ ความสำเร็จของชีวิต หรือความสำเร็จของบริษัท มันเทียบอะไรไม่ได้กับการมีสุขภาพกาย และใจที่ดี มีครอบครัวที่มีความสุข นี่ต่างหากล่ะที่สุดยอดครับ เคยอ่าน เรื่องของเฮนรี่ ฟอร์ด ตอนนั้นเค้าประสบความสำเร็จแล้วมีบริษัทใหญ่โตเป็นของตัวเอง แต่ป่วยหนักเพราะทำงานมาหนักตลอดชีวิต เค้าบอกว่าไงทราบไหมครับ "เค้ายอมจ่ายเงินทุกเพนนี เพื่อให้สุขภาพของผมกลับมาแข็งแรง" ส่วนตัวแล้วผมรู้จักข้าราชการหนุ่มไฟแรง อายุวัยกลางคนเท่านั้นแต่ได้รับตำแหน่งใหญ่โต มีครบทุกอย่าง เงิน บ้าน รถ ที่ดิน ทรัพย์สมบัติมหาศาล บ้านใหญ่โต รถเบนซ์ รถยุโรป ลูกชายคนเดียวเรียนจบ จากสถาบันชั้นนำของประเทศ เส้นสายระดับชั้นนำ แล้วตอนนี้ทราบไหมครับ ว่าเค้าอยู่ที่ไหน คำตอบคือ "ห้องไอซียู และออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน เพราะเส้นเลือดในสมองแตก" ทำงานไม่ได้ หมดเงินค่ารักษาเดือนละห้าหกหมื่น ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้ ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุด คือ กาย และใจของเราต่างหากล่ะครับ งานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตครับ อย่าให้มันมาบงการชีวิตมากเกินไปครับ เพียงแค่คุณเกิดมาเป็นคน และมีความสุขในชีวิต คุณก็ประสบความสำเร็จมาแล้วครับ work life balane ครับ ทุกท่าน จากคุณ : mix_more เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 19:00:17

ความคิดเห็นที่ 59 ไม่เคยเสียดายอะไรเลย และก็คิด สมเพช คนที่บอกว่าเสียดายอย่างนั้นอย่างนี้ สมเพชคนที่บอกว่า ถ้าวันนั้น ทำอย่างนั้นจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะว่า คนที่มัวแต่คิดว่าเสียดายอย่างนั้นอย่างนี้ ชีวิตจะมีความสุขเหรอ ทำทุกวันให้มันดีดี จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดเสียดายดีกว่า จากคุณ : giang_au เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 21:05:51

ความคิดเห็นที่ 60 ไม่เคยเสียดายอะไรเลย เพราะคิดก่อนทำ อยู่เสมอค่ะ ฝากถึงคนที่เสียดาย เอาความเสียดาย เป็นแรงผลักดันนะคะ อย่าให้ความเสียดาย ทำให้ใจทุกข์ และจมปลักกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ซึ่งมันแก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วจะไปนึกถึงมันทำไม ??? นึกถึงวันต่อ ๆ ไป ว่าทำยังไงให้ดีขึ้น น่าจะมีประโยชน์กว่านะคะ Ps. ความคิดเห็นส่วนตัว ขัดใจใคร ขออภัยไว้ล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : :+:+ น้ำแข็งใส ใส่โซดา +:+: เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 21:30:57

ความคิดเห็นที่ 61 เอ้า กลายเป็นงั้นไปได้ เสียดายกับจมปลักไม่เหมือนกันมั้ง เค้าก็เอาไว้ให้เด็กรุ่นใหม่ๆ อ่าน เพราะเค้าคิดว่าพลาดมา จากคุณ : Toey84 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 21:58:19

ความคิดเห็นที่ 62   ขอบคุณสำหรับข้อคิดค่ะ เราเสียดายที่สุดคือ การเลือกงานแรกผิดค่ะ คิดอยู่ทุกวันว่าถ้าวันนั้นแค่ไปสัมภาษณ์อีกที่ ก็น่าจะดีกว่านี้ แต่ย้อนกลับไม่ได้แล้ว ก็ต้องตั้งใจทำงานกันต่อไป จากคุณ : NuGYs (NuGYs) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 22:04:10

ความคิดเห็นที่ 63 ไม่เคยเสียดายอะไรเลย และคิดว่ามีลูกเร็ว ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน ตอนนี้มีลูกน่ารัก คิดว่าทำเพื่อลูกดีกว่าคะ จขกท ลองมีบ้างสิคะ แล้วจะรู้ว่ามีอะไรให้ทำอีกเยอะ บางทีอาจจะค้นหาตัวเองเจอก็ได้นะคะ ดิฉันเรียนจบแล้วแต่งงานเลย แต่ก็หาเงินกับสามีสองคน เข้าทำงานตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย บ้าน รถ แม้แต่มอเตอร์ไซด์ยังไม่มี พอท้องยังได้อยู่หอพักเลย แต่ตอนนี้ไม่เคยมีปัญหาเรื่องครอบครัวเลยค่ะ เพราะกำลังใจที่เราให้กันนั้นดีที่สุดแล้ว ตอนนี้แฟนได้เลื่อนตำแหน่ง ดิฉันทำงานเงินเดือนดีมาก เรามีบ้าน มีรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ มีทุกอย่างในบ้าน มีลูกชาย 1 คน สองขวบกว่า ๆ และสามารถส่งลูกเรียน โรงเรียนเอกชนดี ๆ ได้ด้วย การแต่งงานเร็วไม่ได้เป็นการทำให้อนาคตไม่ เดินหน้านะคะแต่คิดว่าเป็นการมีเพื่อนคิด มีสิ่งที่เราต้องทำเพื่อใครมากกว่า สุดท้ายบั้นปลายชีวิตของคนเรา จะอยู่ในห้องไอซียู หรืออยู่กับครอบครัว เราก็ต้องเลือกเอา จากคุณ : kanpoo@hotmail.com (charanphat) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 22:08:27

ความคิดเห็นที่ 64   คิดพึ่งพาแต่การกินเงินเดือน เมื่อไรจะตั้งตัวได้ ลองคิดใหม่ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ส่วนการเลือกทำเล เลือกอาชีพ เลือกการลงทุน ลองศึกษาที่ลิงค์นี้ http://www.ainews1.com/modules.php?name=Web_Board&file=view&No=125 จากคุณ : somdul เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 07:51:14 A:125.25.184.225 X:

ความคิดเห็นที่ 65   เห็นด้วยกับคุณ mix_more ครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่าลืมสุขภาพของเรา และคนใกล้ตัวด้วยนะครับ เพราะเดี๋ยวจะ เสียดายที่ไม่ได้ดูและสุขภาพตัวเอง...ผมไม่เคยทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเลย เพราะจบมาก็ทำกิจการส่วนตัวเลยเพราะเห็นโอกาสจากทำเลที่มี ทำแบบซื้อมาขายไป รายรับเดือนละ 3-4 แสนโดยเฉลี่ย กำไรก็พอประมาณ แต่ไม่มีเวลาให้ตัวเองเลย ทำงานตังแต่ 6.30 น-20.00 น. ทุกวัน ไม่ได้ออกกำลังกาย เครียดโดยไม่รู้ตัวเพราะเจ้าของกิจการต้องคิดๆๆๆๆ ทุกอย่างจริงๆ เหนื่อยมากเห็นเพื่อนที่ทำงานธนาคาร รับราชการ ที่เขาต้องคิดรับผิดชอบเฉพาะงานที่เขาทำแล้วแอบอิจฉาเล็กน้อย และการที่คิดมากต้องรับผิดชอบทุกอย่างทำให้เราเป็นคนโกรธง่าย ปวดหัวบ่อย ไม่สบายบ่อย เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือเงินที่ได้มาแลกกับสุขภาพที่เสียไปพอสมควร หลังจากนั้นพอแต่งงานอายุ 25 ปี ผมกับภรรยาเริ่มมาคิดว่าที่ผ่านมามันดีแล้วหรือเปล่า เพราะภรรยาเตือนสติว่าให้รักษาสุขภาพแกมบังคับ และชี้ให้เห็นว่า เงินที่ได้มาก็ต้องเสียไปกับการรักษาตัวอยู่ดี หากเราได้เงินลดลงแต่มีเวลากับตัวเองกับครอบครัวที่มากขึ้นมันจะดีกว่า ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ผมทำตามที่ภรรยาบอก มันดีกว่าจริงๆ มีความสุขขึ้นมาก ดังนั้นอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับจะได้ไม่เสียดายในภายหลัง ขอบคุณครับ จากคุณ : คนใต้ใจดี เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 09:22:44 A:117.47.202.238 X: TicketID:239925

ความคิดเห็นที่ 66 โดนใจหลายข้อมากเลย เรากลับมานั่งมองว่าอดีตที่เราเสียดายไป เราจะต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองต้องมานั่งเสียดายเหมือนปัจจุบันนี้ ความผิดพลาดใน อดีตเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเรา จากคุณ : Ultramild Hero เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 13:52:39

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณกระทู้ดีๆครับ ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ได้จริงจังมันทำให้เราพลาดอะไรหลายๆอย่างจริงๆ และส่วนมาก มันแก้ไขไม่ได้ ย้อนเวลาไม่ได้ซะด้วย ^^ จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:06:19

ความคิดเห็นที่ 68   เสียดายที่ตอนนั้น เกลียดคำว่ามนุษย์เงินเดือนมากไปหน่อย ช่วงหนึ่งของชีวิต ผมเป็น "มนุษย์ ไม่มีเงินเดือน" มีแต่รายจ่าย กับเงินเก็บ และเงินที่หมุนแทบไม่ทัน แทบจะไม่มีอะไรกินเลยทีเดียว จากคุณ : ผ่านไป เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 18:15:59 A:58.9.124.211 X: TicketID:234487

ความคิดเห็นที่ 69 สำหรับเราทุกอย่างที่ผ่านมาถือเป็นการเรียนรู้ ไม่เสียดาย แต่ตอนนี้รู้มากขึ้นแล้วว่าอะไรที่สำคัญ เงินดีๆ งานดีๆ เพื่อนร่วมงานดีๆ ทำงานหนักเต็มที่ กลับมาบ้าน ไม่มีใคร ทำๆไป ต้องเอาเงินมากมายมารักษาตัวเองที่ป่วย ไม่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ เล่นกับเด็ก เงินในบัญชีจะไปมีค่าอะไร เพราะมีอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ได้ซื้อได้ด้วยเงินอย่างเดียว เลย กลับบ้านเราดีกว่า อิอิ เลิกแล้วค่ะ กลับไปกินข้าวมือแม่ดีกว่า ถึงเงินจะน้อยกว่า แต่ อิสระมากกว่า อบอุ่นกว่า เบื่ออากาศหนาวๆแล้ว คิดถึงเมืองไทย จากคุณ : fly-me-to-da-moon เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 18:48:16

ความคิดเห็นที่ 70 เสียดายทุกข้อเลยครับ สุดท้ายชีวิตก็ไปที่เดียวกันหมดละครับ ^^" ตอนนี้คิดแต่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด จากคุณ : Orc_cOcOa เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 20:53:20

ความคิดเห็นที่ 71 อ่านเอาไว้เป็นสาระ แต่อย่ายึดติดครับทุกท่าน ^^ จากคุณ : Culture เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 21:12:25

ความคิดเห็นที่ 72 กระทู้ดีค่ะ ตอนนี้เพิ่งจะก้าวมาเป็นมนุษย์เงินเดือน จะได้เก็บเอาไว้เป็นข้อเตือนใจค่ะ จากคุณ : blueraccoon เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 21:39:57

ความคิดเห็นที่ 73 อ่านแล้วชอบมากค่ะ หลายข้อโดนใจนะ แต่บางข้อ เราไม่เสียดาย เพราะเราทำดีที่สุดแล้วค่ะ เรื่องบางอย่างเรากำหนดได้ แต่บางอย่างเราเชื่อว่ามันเป็นโชคชะตา เราวางแผนไว้ในชีวิตเกือบทุกอย่างนะคะ แต่เรื่องโชคลาภ หรือโอกาส มันไม่ได้มาอย่างที่เราวางแผนค่ะ มันเลยทำให้เราต้องคิดว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกัน จากคุณ : pompoko เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 21:56:43

ความคิดเห็นที่ 74 เห็นด้วยหลายๆข้อเลยค่ะ จากคุณ : tonpalmy เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 23:19:02

ความคิดเห็นที่ 75 ผมมีความเห็นว่า ... ก่อนเสียดาย ควรคิดก่อนทำ เมื่อทำแล้วจะไม่เสียดาย คนเรามีความแตกต่างกัน ในเวลาเดียวกัน บางคนไม่ได้เรียนต่อเพราะไม่มีเงิน บางคนแต่งงานเพราะหากแก่มากกว่านี้จะไม่มีแรงเลี้ยงลูก หรือพ่อแม่แก่มากกว่านี้จะเลี้ยงหลานให้ไม่ไหว ... ลองไปถามคนมีลูกสิ เลี้ยงเด็กไม่ไช่แค่ป้อนนมและทิ้งให้อยู่กับพี่เลี้ยง บางคนไม่ได้ตั้งใจทำงานเพราะมีปัญหาอื่นที่บ้าน การงานคือส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ไช่ทั้งหมดของชีวิต บางคนยอมเป็นลูกน้องในที่ทำงาน เพราะ เขามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าที่บ้าน เป็นปกติคนเรามักจะ "เสียดาย" หรือ "รู้อย่างนี้ (รู้งี้)" ทำอย่างนี้ดีกว่า เมื่ออยู่ในภาวะ "ลำบาก สับสน ทุกข์" จริงๆแล้ว ปัจจุบันนี่แหละเป็นตัวตัดสินอนาคต หากยังไม่เปลี่ยนทัศนคติ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้และเลือกทางเดินอีกอย่าง "ทัศนคติ" ของเราก็พาเรามาสู่จุดเดิมอยู่ดี ...... สิ่งที่ทำวันนี้ นอกจากเลิกมานั่ง "เสียดาย" อดีต สู้นำสิ่งที่ "เสียดาย" ที่ไม่ได้ทำ มาทำซะในวันนี้ บทเรียนในอดีตเอาไว้ศึกษาแต่ไม่เอามานั่ง "เสียดาย" ^_^ จากคุณ : KENG76 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 09:49:02

ความคิดเห็นที่ 76 เข้ามาอ่าน อีกที ... ขอบคุณ สำหรับบทความดี ๆ แบบนี้ นะครับ ... จากคุณ : D_YONG เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 11:51:55

ความคิดเห็นที่ 77 ทั้งชีวิตทำงานกินเงินเดือนอยู่4เดือน ได้คำตอบกับตัวเองแล้วออกเลยครับ ทุกวันนี้กะยังกินเงินเดือนจากกิจการตัวเอง เอะสรุปนี้ผมยังเป็นมนุษย์เงินเดือนใช่มะเนี้ย?? เรื่องแต่งงานมันไม่ได้อยู่ที่ช้าหรือว่าเร้วนะมันอยู่ที่แต่งกับใคร ผู้ชายจะประสบความสำเร็จได้มันก็อยู่ที่คนข้างกายเนี้ยละ เหมือนที่คนสมัยก่อนกล่าวไว้ ผัวหาบเมียคอน ช่วยเหลือกันมันถึงจะรอด  ถ้ามีไวแล้วไม่ดีไม่มีดีกว่า ถ้าพบคนดีๆๆก็รีบๆๆมีดีที่สุดครับ ^ ^ จากคุณ : axolot เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 13:17:56

ความคิดเห็นที่ 78 เพิ่งมีเวลาได้อ่านทุกความเห็น...ชอบค่ะ เป็นกระทู้ดีติดน่าติดโหวดไปนาน ๆ จริง ๆ ส่วนตัวไม่ค่อยเสียดายอดีตที่ผ่านมา เพราะมีความรู้สึกว่าเราได้ทำเต็มที่กับทุก ๆ ย่างก้าวของชีวิตแล้ว ช่วงที่เรียนจบใหม่ ๆ ทำงานเต็มที่---เที่ยวเต็มที่--เล่นเต็มที่ เหนื่อยแต่มีความสุขค่ะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ความรู้จากประสบการณ์รุ่นพี่ ได้พบเพื่อนดี ๆ หัวหกก้นขวิดไปด้วยกันและจนถึงทุกวันนี้ยังคบหาเป็นเพื่อนกันอยู่เลย ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ก้อคงไม่อยากไปแก้ไขอะไรแล้ว เพราะทุกวันนี้ยังมีความสุขกับการทำงาน มีเวลาได้ไปเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ ๆ บ้าง ยังได้เจอเพื่อน ๆ บ้าง และยังมีเวลากลับไปหาที่บ้านและเล่นกับหลาน ๆ บ้าง....แค่นี้ก้อมีความสุขแหละ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการเสียดายเลย เพราะยิ่งเรารู้สึกเสียดายเราก้อจะยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองมากเท่านั้น สู้เอาเวลาที่นั่งเสียดายมาคิดทำอะไรใหม่ ๆ ดี ๆ ให้วันนี้และวันพรุ่งนี้ของเราดีขึ้นดีกว่า ก้อแค่อีกหนึ่งความคิดเห็นค่ะ อย่าคิดมาก :) จากคุณ : Ohe-Ae เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 14:57:18

ความคิดเห็นที่ 79 ชอบกระทู้นี้จัง ให้ข้อคิด มีกำลังใจในการทำงานด้วย *ดีใจที่ตั้งเรียนภาษาต่างประเทศ ตั้งแต่ ป.5โน่น* จากคุณ : แดดอ่อนอ่อน เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 16:36:43

ความคิดเห็นที่ 80 กระทู้นี้ ไม่มีคำว่า "เสียดาย"คะ เพราะคุ้มค่าทุกความคิด เสียดายวันที่ผ่านมา แต่จงภูมิใจกับวันนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนคะ จากคุณ : monoone เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 17:42:34

ความคิดเห็นที่ 81   เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน   เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย   เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน เสียดาย ที่เรียนจบช้าไปหน่อย (จบมา ก็ 25 แล้ว) ไม่ใช่ว่า ไม่ตั้งใจเรียนนะ แต่ที่บ้านไม่มีเงินส่ง เลยพักเรียนไป 2 ปี  เฮ้ออออ ~...... จากคุณ : เสียดายยยยจริงๆ (nongneow) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 18:20:35

ความคิดเห็นที่ 82 เราไม่เคยคิดเสียดายอะไรเลย...แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เคยทำงานและเปลี่ยนงานมา 4-5 ที่ ด้วยระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไป ทุกครั้งที่ตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนงานหรือจะอยู่ต่อ ไม่เคยรีบร้อน หรือถ่วงเวลา เราว่า เราผ่านการคิดอย่างดีทีเดียว และเมื่อตัดสินใจและทำตามที่ตัดสินใจแล้วก็ไม่เคยกลับไปคิดอีกเลย เราไม่ชอบการทำงานในรูปแบบที่ซ้ำซากจำเจ ชอบเปลี่ยนรูปแบบ และทดลองทำงานในแบบต่างๆ.. ทุกวันนี้ก็คิดแต่ว่าจะพัฒนางานของเราในรูปแบบไหนดีให้มันก้าวหน้าไปเรื่อยๆและไม่น่าเบื่อ อันนี้สนุกกว่า สุดท้ายแล้วการทำงานบริษัท มันมีข้อจำกัดเยอะ ที่จะพัฒนารูปแบบในการทำงาน เพราะองค์กร มันอ้วน และอุ้ยอ้าย ก็เลยมาทำธุรกิจ เล็กๆๆๆๆๆๆ ของตัวเอง คราวนี้ก็ creat ตามสบาย อยากทำอะไรก็ทำ มีเวลาให้ครอบครัวเยอะแยะ อยากทำงาน 48 ชั่วโมงก็ทำไป อยากหยุดพักผ่อนซัก 7 วันรวด ก็ตามสบาย อดีตมีเอาไว้รำลึกและเป็นประสบการณ์ เพื่อต่อยอดอนาคต ถ้ามัวแต่เสียดายอดีต คุณจะมองไม่เห็นอนาคต สนุกกับทุกวัน คิดเพื่อให้งานของคุณดีขึ้น ตื่นเต้นที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่ผิดพลาดที่ผ่านไปก็มองให้มันขำๆ Enjoy living ค่ะ จากคุณ : Risa_ka เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 21:36:37

ความคิดเห็นที่ 83 ชอบอันนี้ค่ะ เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน เราเองเป็นคนที่มีปัญหากับเจ้านายบ่อยมากเพราะคุณเธอเองเป็นคนเก่ง บางครั้งเลยไม่ยอมฟังความคิดเห็นคนอื่น เอาตัวเองเป็นที่ตั้งตลอดเวลา เราเป็นแค่ลูกน้อง บางครั้งรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เจ้านายให้ทำไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดของปัญหา แต่ก็จำเป็นต้องทำ บางครั้งความเห็นไม่ลงรอยกันจนทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง เคยเครียดและกดดันมากจนอยากจะลาออกตั้งแต่แรกๆที่เข้ามาทำงาน ทั้งๆที่บรรยากาศและเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ดีมาก ตอนหลังมาคิดได้เองว่าทะเลาะไปก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนคนที่พูดคนละภาษา เหตุผลมีประโยชน์แค่กับคนที่รับฟัง คิดได้อย่างนั้นเราเลยเลิกสนใจเรื่องส่วนตัวและคุณเธอ หันมาโฟกัสกับงานและกับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน เรื่องอื่นที่ทำให้เครียดหรืออารมณ์ไม่ดีในบางวัน มันก็แค่สิ่งที่จะผ่านไปในวันพรุ่งนี้ เราแค่พยายามทำตัวเองให้ดีที่สุด จะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครเรากำหนดไม่ได้ จากคุณ : aey_tu เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 21:41:37

ความคิดเห็นที่ 84   อย่าเสียดาย ทุกอย่างฟ้าลิขิตไว้แล้ว ฟิ้วววววววว จากคุณ : คอปเปอร์ เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 22:23:23 A:125.25.92.241 X: TicketID:116340

ความคิดเห็นที่ 85 ชอบมาก โดนทุคห.เลยครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด น่าจะใช้ได้กับกระทู้นี้ จากคุณ : vacuum_car เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 02:36:36

ความคิดเห็นที่ 86   เสียดายที่ตั้งใจทำงานและมุ่งมั่นกับการเรียนต่อมากเกินไปหน่อย จนทำให้ละเลยคนรอบข้าง เพราะมัวแต่อ้างว่าไม่มีเวลา จนกระทั่งวันที่พี่สาวป่วยหนัก ยังมัวแต่สั่งงานเคลียร์งาน กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก้อสายเสียแล้ว... ไม่มีแม้แต่โอกาสจะร่ำลา ทั้งที่จะจากกันชั่วชีวิต เสียดายที่เสียเวลาทุ่มเททำงานให้บริษัทนี้มาเกือบ 10 ปี แทบจะแลกทุกอย่างในชีวิตเพื่อทำงานให้บริษัท แต่ช่วงเวลาที่เราสูญเสียและเศร้าโศก กลับไม่ใครสักคนยื่นมือเข้ามาโอบกอดหรือปลอบโยน ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่โดนเหยียบซ้ำ ในที่สุดบริษัทก้อทอดทิ้งเราเมื่อสร้างผลประโยชน์ให้เค้าไม่ได้ หรือมีคนอื่นทำผลประโยชน์ให้ได้มากกว่า สุดท้ายบริษัทเป็นเพียงเรื่องสมมติ ไม่มีตัวตน เมื่อยามที่คุณมีแรงทำงานให้เค้า คุณก้อเป็นสิ่งมีค่าของบริษัท แต่เมื่อไหร่ที่คุณท้อแท้หมดเรี่ยวแรง คุณก้อไม่ต่างจากขยะรอวันเค้ากำจัดทิ้งไป..เพราะคุณคือจุดอ่อน บริษัทเป็นเรื่องมายา ครอบครัวนั่นแหละเป็นของจริง เพราะในวันที่หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง ก็เห็นมีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่มานั่งข้างๆและให้กำลังใจ..จะมีผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารระดับสูงคนไหนจดจำพนักงานคนนึงได้ ต่อให้เค้าตายเพราะผลพวงจากการทำงานก็ตาม จากคุณ : pasttense เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 08:59:35

ความคิดเห็นที่ 87 เสียดาย ที่เรียนจบ ช้ากว่าเพื่อน เพราะทำงานไป เรียนไป กว่าจะจบ ป.ตรี อายุก็ 26-27 แล้วไปทำงานที่่ใหนก็ยาก จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:48:35

ความคิดเห็นที่ 88 ของผม เสียดายที่นั่งทำงานกับหัว หน้า โง่ ๆ และระบบ โง่ ๆ 11 ปี 1994 - 2005 อย่างว่า ไม่กล้าย้ายงาน ปี 1997 จากคุณ : supanut01 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 13:15:15

ความคิดเห็นที่ 89 โดนค่ะ โดนมากๆ เสียดายหลายเรื่อง เหมือนกัน อืมอ่านแล้วได้คิด จากคุณ : tukgeo เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 13:47:38

ความคิดเห็นที่ 90 เสียดายหลายข้อค่ะ ... แต่ที่เสียดายมากคือหาตัวเองไม่เจอ ทุกวันนี้จะ 30 แล้วก็ยังหาไม่เจออยู่ดี ไม่รู้ตัวเองชอบทำงานหรือไม่ชอบทำงานอะไร ได้แต่ทำงานไปวันๆ อย่างไม่มีเป้าหมาย เบื่อมาก งานดี เงินเดือนดี เพื่อนร่วมงาน เจ้านายดีหมด แต่รู้สึกเบื่อว่าอยู่ต่อไปอย่างนี้ก็คงไม่ก้าวหน้าไปไหนแน่ๆ ทำงานบริษัทมาเกือบ 10 ปี ย่ำอยู่กับที่ทุกวัน เริ่มมองธุรกิจส่วนตัวแล้ว จากคุณ : รสสภัน (Nrostahpan_My) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:38:28

ความคิดเห็นที่ 91 ไม่เคยคิดเสียดายเลยค่ะ   เพราะ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่า สิ่งนี้เราจะไม่เสียเวลากับมันอีกตลอดไป และรู้ว่า เราจะทำอะไรต่อในวันข้างหน้า จากคุณ : sky_space เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:13:07

ความคิดเห็นที่ 92 คนเขียนสุดยอดเลย เรื่องใกล้ๆ ตัวแท้ๆ จากคุณ : DojoMAG เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 17:50:00

ความคิดเห็นที่ 93   เสียดาย   ที่ตอนทำงาน  อดทนน้อยเกินไป จากคุณ : PaNok@WanDeRer เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:18:42

ความคิดเห็นที่ 94 ผมเสียดายอยู่ข้อเดียวจริงๆ ในนี้ - เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย   ผมไม่เห็นว่าต้องเสียดายตรงไหนเลย แต่งงานมีภรรยา คอยเป็นเพื่อนคุยกัน มันน่าเสียดายตรงไหน ผิดตรงไหนคนจะก้าวไปข้างหน้า แล้วมีลูกกับภรรยากระเตงไปด้วย  เกี่ยวอะไรกัน ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ยิ่งมีพวกเค้า ต้องยิ่งมีกำลังใจ มีคนให้กำลังใจเคียงข้างกันไป   - เสียดายไม่ได้ศึกษาต่อ..   ก็ต้องดูอีกว่า ทำงานตรงไหน ตำแหน่งไหนด้วย  ไม่เห็นเสียดาย เสียดายอะไรกัน พ่อแม่ส่งมาแทบตาย วุฒิป.ตรี ภูมิใจแล้ว  ได้ป.โทก็ดี ได้ก๊วน ได้พรรคได้พวก -เสียดายทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานเจ้านาย    มันก็ต้องทะเลาะกันครับ ปรกติ ลิ้นกับฟัน อยู๋ด้วยกัน 8 ชม. หรือมากกว่านั้น สนุกดี เป็นประสบการณ์ชีวิต ไม่เห็นต้องเสียดายเลย  ทำงานแล้วไม่เคยทะเลาะกันเลย เซ็งตาย - เสียดาย เปลี่ยนงานมากไปหน่อย  ไม่มีใครเค้าปฏิเสธเงินหรอก เค้าให้เงินเยอะกว่า อะไรดีกว่าก็ต้องไป เจอคนใหม่ๆ ด้วย - เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาภาษาต่างประเทศ   จริงๆ เสียดาย แต่ไม่เสียใจเลย ของอย่างนี้ไม่แก่เกินเรียนหรอก - เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย   จะมีสักกี่คน จบมาปุ๊บ ตั้งเป้าเท่านั้นเท่านี้ แล้วประสบความสำเร็จ มันมีไม่มากหรอก  เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ "ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง"  เคยได้ยินมั้ยคำๆ นี้   หาตัวเองเจอตอน 50 แล้วไงอ่ะครับ ตอนนั้น คุณเจอตัวเองแล้ว แล้วยังไงอ่ะ สมมติ เจอว่าตัวเองชอบค้าขายตอน 50 ก็ขายสิครับ จะมัวไปเสียดายทำไมกัน เสียดายแล้วได้อะไร หดหู่เปล่าๆ  ไม่มีอะไรสายเกินไปหรอกบนโลกนี้ - เสียดายที่อยู่ที่ใดนานเกินไป   โห ข้อนี้ แย้งเลย อยู่นาน กองทุนสำรองยิ่งเยอะสิ  มีที่ไหนให้ดอกเยอะขนาดนี้ ไม่มี  อยู่ที่เก่า คนเก่า ทำงานรู้ทางกัน   เสียดายทำไม งง เหมือนกัน ชีวิตอย่ามัวเสียดาย  มาพูดว่าเสียดายอยู่นั่น แล้วได้อะไรขึ้นมา มันย้อนเวลาไม่ได้หรอก   หาเวลาพาพ่อแม่ไปเที่ยว เหมือนตอนที่ท่านพาเราไปเที่ยวตอนเด็กๆ ดีกว่า มีความสุขกว่ากันเยอะ จากคุณ : raik เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 07:57:28

ความคิดเห็นที่ 95 ไม่เคยเสียดายที่แต่งงานเร็ว เราทั้งคู่จบปริญญาตรีแค่ปีเดียวก็แต่งงาน  ค่อยๆก้าวมาพร้อมๆกัน ทำให้ได้เรียนรู้ พร้อมที่จะสุข จะทุกข์ด้วยกัน  จนปัจจุบัน แต่งงานมาเกือบยี่สิบปี ยังรู้สึกดีๆให้กันทุกวัน จากคุณ : คุณแม่pp (anwan) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 08:14:48

ความคิดเห็นที่ 96 บางข้อก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปนะ  คนเราทุกวันนี้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้อยู่กับอดีต  ถ้าอดีตดีๆก็ควรเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี แต่สิ่งไหนที่ไม่ดีก็อย่าเก็บมาคิดเลย มันจะทำให้สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันนี้แย่ลงไปด้วย  มาคิดถึงวันข้างหน้ากันดีกว่าว่าจะทำยังไงต่อไปให้มันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่     ร่าเริ่งกับชีวิตนะทุกคน เงินเดือนน้อยก็อย่าไปเครียด เราจนก็จงอยู่อย่างจน อย่าไปอยู่อย่างรวย  เข้าวัดทำบุญอย่างน้อยเดือนล่ะครั้งก็ดีนะ สบายใจดี --ขอบคุณ-- จากคุณ : คุณชายงุงิ เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 12:07:00

ความคิดเห็นที่ 97   ไม่เห็นต้องเสียดาย ถ้าคู่คือคนที่เรารักและรักเรา ถ้ารักงานมากกว่าจนคนที่เรารักและรักเรา ไม่อยู่ให้รัก ทำไงอ่ะ รักงานหรือรักครอบครัวดี สำหรับผมงานหาง่าย ภรรยาที่ดีหายากครับ จากคุณ : คิดที่แตกต่าง เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 12:51:33 A:58.181.216.82 X:

ความคิดเห็นที่ 98 เป็นข้อคิดที่ดี มากๆครับ แค่ในบางคำและบางมุมเท่านั้น เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน - เป็นมุมมองที่ดีสอนเตือนเด็กรุ่นใหม่ ให้เห็นคุณค่าของการทุ่มเทการทำงาน ที่ผู้ใหญ่และคนรอบข้างมองตัวเราอยู่ เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย -มันอยู่ที่ความพร้อม บางครั้งคุณเคยสังเกตไหม แต่งงานทำให้เรามีวุฒิภาวะทางความคิดมากขึ้น สร้างครอบครัว ผมว่าการแต่งงานมีลูก ทำให้หลายๆคนได้เห็นว่า พ่อแม่รักเราขนาดไหน เพราะเราได้เล็งเห็นแล้วว่าเราได้เป็นพ่อแม่คนกับเค้าแล้ว มันอยู่ที่ตัวบุคคลว่าจะดูแลพ่อแม่ไหม ต่อให้ไม่มีครอบครัวบางคน เงินเดือนจะแบ่งให้พ่อแม่ใช้สักเดือนละพัน ยังบอกไม่พอ แต่มีปัญญาเปลี่ยนมือถือ หรือไปเที่ยว กินดื่มกันสนุก เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ - ไม่เคยเสียดายเลย สิ่งที่ผมเสียดายคือ ต้องไปลงทุนศึกษาต่อโดยบางคน แค่ศึกษาเองก้อได้ อาจจะดีไม่เท่า แต่ในมนุษย์เงินเดือนการศึกษามันก้อแค่ค่านิยมทางสังคม ไม่ได้ตอบว่าจะเก่งเจ๋ง จริง ..... เพราะจริงๆแล้วยังไม่มีเครื่องมือใดในโลกจะสามารถวัดความเก่งของมนุษย์เราได้ แค่มีแต่คนบอกว่าจบ โท ด็อกเตอร์มา ก้อบอกว่าเก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าจบด็อกเตอร์มา จะตอกตะปูได้เก่งกว่าช่างไม้ เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน - ในการทำงานทุกด้าน ลูกน้องเลวไม่มี มีแต่เจ้านายที่เลว เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย   - ถ้าการเปลี่ยนงานบ่อย คือ ผลของการที่ความอดทนเราน้อยไปก้อต้องปรับปรุงตนเอง แต่หากเราได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว สังคมในที่ทำงานนั้นๆ มันย่ำแย่จนเกินเราหลีกเลี่ยงและรับไม่ไหว ก้อจงอย่าทนเพื่อความทุกข์ของเราเลยดีกว่า เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ   - เสียดายเช่นกันครับ อะไรก้อเรียนรู้ได้ แค่ภาษาอังกฤษ ทำยังไงก้อไม่ได้ หรือเราจะต้องเปลี่ยนภาษาในการพูดขององค์กร เลยดีไหมเพื่อคนในที่ทำงานจะได้เรียนรู้ไปด้วย เช่นทุกวันศุกร์ ในบริษัททุกคนต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร แต่สงสัยจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องสักที งานการไม่ต้องทำกันเลย เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย   - ปัญหานี้ถ้าใครเจอทางสว่างก่อนก้อรุ่งก่อนเลย เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป   - มันอยู่ที่ความพอใจของแต่ละบุคคลนะ พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ไหม หรือจะออกไปเหนื่อยแสวงหา ต่อสู้ มากมายหรือไม่ กระทู้แนวทางเป็นการเตือนสติ แต่ผมว่ามันไม่เหมาะต่อการนำไปใช้เป็นข้อคิดในประจำวันของการทำงานเท่าไหร่ เพราะชีวิตแต่ละคนมันแตกต่างกันปลีกย่อย แต่ถ้าใครใช้เป็นแนวทางได้ คุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ perfect เลยล่ะ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 52 13:40:31 จากคุณ : E20PBO เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 13:39:06

ความคิดเห็นที่ 99   ของเราคงจะเป็น "เสียดายที่บริษัทปิดตัวเร็ว" ณ วันนี้ทางบริษัทได้เลิกจ้างเราแล้วค่ะ เพราะบริษัทกำลังจะปิดตัวลง จากคุณ : กำลังจะตกงาน (emu_puiz) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 16:29:33

ความคิดเห็นที่ 100 ผมถือคติ  สิ่งใดที่มำแล้ว เป็นสิ่งที่ดีเสมอ และ "ผมเสียดาย ถ้าผมไม่ได้ทำ" จากคุณ : moojiw เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 22:40:45

ความคิดเห็นที่ 101 อ่านๆดูแล้ว โดนอันเดียวครับ ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ และไม่ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน กับเสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย นอกนั้นเฉยๆ 1 เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย มันมีปัจจัยหลายๆอย่างครับที่คนจะแต่งานกันและมีลูกครับ มันเป็นเรื่องของหัวใจครับ เอาแต่ตัวเงินมาวัดคุณค่า มันก็จะเสียดายแบบนี้ไง 2 เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ จริงอยู่การศึกษาที่สูงเปิดโอกาสได้มากกว่า แต่หากรู้สูงแต่ทำไรไม่เป็นมัวแต่มาเสียดาย ก็ไม่ต่างจากความรู้ทั่วหัวเอาตัวไม่รอดหรอกครับ เราเองต้องเป็นคนเก่งด้วย 3 เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย งานแต่ละที่ไม่เหมือนกันครับ คุณอย่าคิดว่าคุณจะออกมาแบบไม่ได้อะไรเลยซิครับ แต่ละที่ๆคุณเข้าไปไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม มันไม่ใช่ว่าจะมาแบบไม่มีค่าทุกที่หรอกครับ 4 เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป   แสดงว่าคุณไม่เคยรัก องค์กรใดองค์กร หนึ่งอย่างแท้จริงเลย เมื่อคุณไม่มีความรักในตัวองค์การที่คุณทำอยู่คุณก็อย่าหวังว่าจะได้พบกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเลยครับ ผมว่าคนที่เขียนบทความนี้เป็นพวกชอบโทษโชคชะตาชีวิต ไม่ยอมโทษตัวเองมัวแต่เสียดายเวลาที่มันผ่านไป ไม่มองดูตนเอง แบ่งเวลาไม่ถูก คิดแบบตื้นๆ คือ มองแต่ตัวเงินเป็นตัวตั้งในการคิดแบบนี้ ลองคิดใหม่ดู ควรจะ ปรับปรุงตัวเองมากกว่ามา เสียดาย เพราะคุณก็จะเสียดายไปตลอดชีวิตเลย เพราะไม่ยอมเริ่มใหม่ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่าผมว่า แล้วจะไม่เสียดายเลยกับสิ่งที่ทำไป จากคุณ : Anakintam เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 52 08:16:27

ความคิดเห็นที่ 102 เฮ้อออออ คิดแล้ว.. เสียดาย จากคุณ : แป้นซัง เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 52 15:00:11

ความคิดเห็นที่ 103 อย่าเสียดายเลย สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีหมดครับ จากคุณ : vizion เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 52 15:49:34

ความคิดเห็นที่ 104 มีอีกอย่างที่ไร้สาระมากๆ แต่ก็ยังมีคนเสียดายครับ เสียดายไม่ซื้อหวยงวดนี้ ไม่งั้นถูกละ :P เอาสาระบ้าง - เสียดายไม่หัดขับรถ << ข้อนี้ตัวดีเลย น้องๆ บางคนจบการตลาด จะไปทำงานเป็นเซลล์ แต่ขับรถไม่เป็น ที่ไหนมันจะจ้าง(วะ) จากคุณ : ดุก เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 52 16:58:11

ความคิดเห็นที่ 105 1. เสียดายที่มีครอบครัวเร็ว ข้อนี้เรายังคิดมาทุกวันนี้ เรายังไม่ได้เลี้ยงแม่ เลี้ยงน้องเลย มาแก้ตัวตอนนี้ เราเลี้ยงแม่อยู่ค่ะ แต่น้องๆ เราบอกตรงๆ เสียดายจริงๆ เราไม่ได้อยู่ดูแล ตอนนี้ทำงานกันหมดแล้ว แต่เหมือนทำหน้าที่ไม่ได้ดี ในตอนนั้น 2. เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน   มองกลับไปเหมือนคนบ้า ไร้การศึกษา โง่มากๆ 3. เสียดายที่ทำงานมากไปหน่อย ไม่ได้ดูแลลูกเท่าที่ควร ตอนนี้เราเอารูปเก่าๆ มาดู ลูกเราเล็กๆน่ารักมาก ทำไมเราปล่อยช่วงเวลานั้น ไป ไม่เอาใจใส่ดูแลให้มากกว่านี้นะ ทั้ง  3 นี้ เราเสียดายมากที่สุดในชีวิต คิดอยู่จนทุกวันนี้จริงๆ จากคุณ : พาไล เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 10:21:51

ความคิดเห็นที่ 106 ขอบคุณพี่ๆ ลุงๆ ป้าๆ นะ หนูได้ข้อคิดเยอะเลย อย่างเรื่องภาษาอังกฤษเนี่ย ดีหน่อยรู้ตัวเร็ว ขวนขวายอยู่ แต่เรื่องหาตัวเองไม่เจอเนี่ย ทำไงดีกับข้อนี้ ช่วยด้วยยย.... จากคุณ : MissMiss&TakeCare เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 21:35:55

ความคิดเห็นที่ 107 ไม่ค่อยเสียดายเท่าไหร่ค่ะ  แม้ตัวเองจะเรียนไม่จบ  ไม่มีงานมั่นคง  ไม่มีเงิน  ไม่ได้แต่งงาน (ครบเซทเลยชั้น -*-)  แต่คิดว่าใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างมีสติพอควร  พยายามทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ในเวลานั้นแล้ว บางทีเราคิดว่าถ้า10ปีที่แล้วเราทำแบบนั้นแบบนี้  ลองนึกย้อนกลับอีกที 10ปีที่แล้ว เราไม่ได้มีความสามารถเท่าปัจจุบัน 10ปีที่แล้ว เราไม่ฉลาดเท่าปัจจุบันนี้ 10ปีที่แล้ว เราไม่ประสบการณ์เราไม่ได้มากเท่านี้ เพราะฉะนั้น 10ปีที่แล้ว เราตัดสินใจได้ดีที่สุดสำหรับ "อายุ" เท่านั้นแล้วค่ะ ยกตัวอย่าง เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ เราเสียดายค่ะ  แต่เสียดายที่ตัวเองไม่เก่งเอง  ไม่ใช่เสียดายที่ตัวเองไม่ตั้งใจเรียน  เพราะเรารู้ว่าไม่เก่งเลยตั้งใจศึกษาเอง เก็บเงินไปเรียนพิเศษเอง หาหนังหาเพลงมาฟัง พยายามแปลเอง พยายามขอให้คนเก่งมาสอนให้ พยายามเรียนรู้ทุกทางเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว  เมื่อพยายามแล้วมันไม่ได้ผลขนาดคนสอนชิ่งหนีไม่ยอมสอน -_-' (โง่ขนาดนิ) เสียดาย  ที่สมองตัวเองไม่ได้เท่าคนอื่น  เสียดายที่ไม่มีโอกาสเหมือนคนอื่น  เสียดายที่พ่อแม่เราไม่เคยส่งเสริมเหมือนคนอื่น  เสียดายสุขภาพไม่ดีเท่าคนอื่น  และอีกหลาย ๆ ๆ ๆ เสียดาย แต่...ไม่เคยเสียดายที่ "ไม่ตั้งใจ" เพราะเราตั้งใจและพยายามเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้วค่ะ ^ ^ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 17:31:32

ความคิดเห็นที่ 108   เห็นด้วยกับข้อความที่ทุกท่านแสดงความคิดเห็น แต่ทุเรศที่ผู้บริหารยังเห็นคนที่เขาสนิท แต่การทำงานยังไม่ได้ดีกว่าคนที่เขาไม่ชอบ พอประเมินจึงยังให้คนสนิทดี ไม่ทราบจะเลิกวิธีแบบนี้ได้เมื่อใด ประเทศชาติจะได้พัฒนาบ้าง (ให้คนดี ๆ มีกำลังใจ) ไม่ใช่พวกกูตดก็ยังหอม แต่พวกเอ็งตดเหม็น (ใช้คำไม่สุุภาพเพื่อให้รู้ถึงความรู้สึก) ไม่รู้ว่าพวกที่ทำอย่างนี้ คุณวุฒิ(ตรี,โท,เอก) วัยวุฒิ ชาติวุฒิ ไม่ได้มีส่วนช่วยสมองของพวกนั้นหรืออย่างไร ใครที่เป็นอย่างนี้กรุณาทบทวนตนเองด้วย จากคุณ : ตาล เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 20:58:40 A:125.26.209.4 X: