 |
ความคิดเห็นที่ 96 |
สำแดงตัวบ้าง
ถ้าลักษณะงานเป็นพริตตี้ รูปจะแอ๊บแบ๊วก็ได้ ยิ่งคอนเซปต์หน้าเบลอ นมชัด ยิ่งดี แต่ตอนคัดตัวผมต้องมั่นใจว่า ตอนให้ออกไปงานลูกค้า ต้องควบคุมพฤติกรรมตัวเองให้เหมาะสมกับสินค้าได้ ไม่ทะเลาะกับลูกค้า ไม่สร้างความเสียหายให้กับแบรนด์ อาทิเช่น ยืนแนะนำสินค้า ใส่ส้นสูงเมื่อยอ่ะ เลยถอดรองเท้ายืนทำงาน ลูกค้าเห็นเข้าโทรมาโวยเลย เพราะทำให้แบรนด์เค้าเสียภาพลักษณ์
---
ในการคัดเลือกใบสมัครสำหรับผม ดูประสบการณ์งาน กับการศึกษาก่อน ถ้าตรงคู่ไว้กล่อง1 ถ้าตรงอย่างใดอย่างนึงไว้กล่อง2 ถ้าไม่ตรงเลยไว้กล่อง3 แล้วดูไล่ไป (แต่ถ้ามีคนสมัครน้อยก็อีกเรื่องนะ) (เคยหงุดหงิดกับวิธีแบบนี้ แล้วคนที่ไม่เคยทำงานจะมีโอกาสมั้ยวะ แต่ก็ยอมรับและเข้าใจได้ เพราะพี่ที่สัมภาษณ์ยอมรับว่าเค้าไม่มีเวลามาสอนงานตั้งแต่พื้นฐาน เค้าต้องอยู่กับบอร์ดบริหารเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้เค้าอยากได้คนเก่งมาร่วมงานก็เหอะ พี่เค้าเคยลองด้วย รับคนเก่งแต่ไม่มีประสบการณ์ตรงและการศึกษาไม่ตรงมา ตอนนี้ยังทำงานกับเค้าอยู่แต่ผลงานไม่ดีนัก ซึ่งพี่เค้าก็เสียใจที่ทำให้คนเก่งเสียโอกาสไป)
ต่อจากนั้นดูข้อมูลอื่นๆประกอบ ในกระดาษ ใครอ้างอะไรก็อ้างได้ งานตำแหน่งเดียวกันต่างบริษัทก็ต่างบทบาท ก็ต้องดูทักษะที่เขียนไว้ว่ามันสอดคล้องมั้ย อาทิเช่น โปรแกรมเมอร์ บอกเขียนเว็บได้ แต่ไม่บอกภาษาที่เขียนเป็น (คืออาจจะใช้dreamweaverทำน่ะ) กับอีกคน บอกเขียนเว็บได้ เขียนทักษะที่ตัวเองถนัดเป็น PHP,Perl-ผู้เชี่ยวชาญ, .Net,Java,C#-ปานกลาง, MySQL,MSSQL-ผู้เชี่ยวชาญ, Flash-ปานกลาง ผมก็ให้น้ำหนักกับคนหลังมากกว่า ข้อมูลมันสอดคล้องกัน น่าเชื่อถือนะ
ถ้ามันมีอะไรสักอย่างที่แปลกๆขัดๆ อาทิเช่น จบMBA, สมัครตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชี, ความสามารถบอกไว้ว่าทักษะในการคิดวิเคราะห์สูง เคยทำงานaudit firmใหญ่ๆ แต่รูปถ่ายแบ๊วมาก งานอดิเรกคือกินกับนอน มันแปลกๆป่ะ หรือที่เค้าออกจากที่เก่ามาคือเข้ากับการทำงานไม่ได้ เพราะวุฒิภาวะในการทำงานไม่มี เลยต้องหนีไปเรียนMBA ก็อาจจะเรียกคุยนะ แต่ไว้เป็นตัวเลือกหลังๆ เพราะข้อมูลแปร่งๆ มีความเสี่ยงต่อตำแหน่งงาน
---
อ่ะต่อมา ในการสัมภาษณ์ (พอดีเห็นมีประเด็นแบ๊วได้ ถ้าเก่ง ไม่ให้อ้างกาลเทศะ) ที่ไหนๆผมก็โดนสอนว่าเราทำงานกันเป็นทีม ดังนั้นผมจึงคิดได้ว่า การรับคนเข้ามาใหม่ คือการหาคนมาทำงานร่วมกับคนเก่า ต่อให้เป็นdirectorก็เหอะ แค่ว่ายิ่งตำแหน่งสูง คนเก่าก็ยิ่งต้องปรับตัวให้ทำงานด้วยกันได้ เว้นแต่ว่าเล็งแล้วว่าจะหักดิบ กลับมาสู่การสัมภาษณ์
คุณถูกเลือกมาแล้ว มันคงมีอะไรดีๆที่ใช่ในตัวคุณแหละ เค้าถึงเรียกมาสัมภาษณ์ เว้นแต่hrเรียกมาให้ครบๆตามเป้าkpiตัวเองเท่านั้น อย่างนี้เซ็งแทน ค่านิยมของบริษัทคืออะไร วัฒนธรรมขององค์กรคืออะไร ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้คืออะไร คนเก่งที่เข้ากับองค์กรไม่ได้ ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข ไม่นานก็ต้องไป คนเก่งน้อยกว่า แต่เข้ากับคนอื่นได้ มีความปรารถนาดีที่จะเห็นผู้อื่นมีความสุข มักจะเติบโตในหน้าที่การงานเร็ว
คนออกบ่อยนี่มันทำให้งานสะดุด เสียเวลาหัวหน้า รวมถึงhrในการหาคน สัมภาษณ์คน เข้าประเด็น เก่งน่ะดี องค์กรไหนๆก็อยากได้ แต่ถ้าแรงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้วงานคนอื่นที่ทำร่วมกันเสีย มันจะเสียมากกว่าได้น่ะซี จากที่ทำงานจึงได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า กาลเทศะนี่มันโคตรสำคัญเลย ความเก่งตัวเองเก็บไว้ในฝักซะ คนเด่นๆนี่มักโดนคนหมั่นไส้ โดนลองของ เมื่อทำงานค่อยสร้างความประทับใจเล็กๆว่าคนนี้ทำได้มากกว่าที่คาดหวังแฮะ จึงจะเติบโตได้เร็ว
ภาพชัดๆคือ งานฟรีแล้นซ์ คนนี้เก่งมาก ลูกค้าชอบงานที่ออกมา แต่ทำงานตามใจฉัน งานรับไปก็ดอง มาปั่นเอาตอนใกล้ๆส่งมอบงาน ผลคืองานมักจะล่าช้ากว่ากำหนด ระหว่างที่ล่าช้าเนี่ย ก็ต้องเอาหน้าตัวเองออกรับ ขอโทษขอโพยลูกค้า หาข้ออ้างนู่นนั่นประวิงเวลาไปเรื่อย ถามว่าถ้ามีตัวเลือก จะเลือกหาเรื่องใส่ตัวเองแบบนี้มั้ย
---
ประเด็นGenY ถ้าผมมีโอกาสเข้าไปคุยงานการตลาดกับใครผมจะบอกให้ได้มากกว่านี้ GenYในประเทศไทย ผมให้ปรากฏการณ์นี้อยู่ที่คนเกิดตั้งแต่ประมาณ1984-1985 จนน่าจะประมาณรุ่นมือถือบูม เป็นรุ่นที่คุ้นเคยกับดิจิตอลตั้งแต่เด็ก เกมส์ต่างๆ อินเตอร์เน็ตต่างๆ gadgetมือถือเป็นต้น กระบวนความคิดต่างๆจึงคุ้นเคยกับการตอบสนองที่รวดเร็ว รับสื่อหลายๆอย่างพร้อมกันเพื่อให้ตัวเองมีตัวเลือกเยอะๆอย่างที่คุ้นเคย
กอปรกับตัวเลือกในชีวิตที่มีล้นเหลือ มีแบรนด์สินค้าเยอะแยะ ต่างจากรุ่นbabyboomerในประเทศไทยที่ของมันขาด เราจึงต้องอดทน GenXที่ของมันพอมี แต่ราคายังแพงอยู่ เราจึงต้องเลือกทุ่มเทอย่างใดอย่างนึง GenYของมันมีให้เลือกล้นเหลือ เราจึงกล้าลองง่ายขึ้น
คนรุ่นนี้ต้องการผลตอบแทนที่รวดเร็วเพราะคุ้นเคยจากดิจิตอล ไอ้เรื่องอดทนทำตำแหน่งนี้สักสามปีจะมีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้างานเนี่ยฝันไปเถอะ คนรุ่นนี้คุ้นเคยกับการเปิดเผยตัวเองบนโลกออนไลน์ ดังนั้นเส้นแบ่งระหว่างอาชีพการงานกับชีวิตส่วนตัวมันจะเบลอ ต่างจากรุ่นหัดใช้อินเตอร์เน็ตเมื่อก่อน ที่ถูกย้ำนักย้ำหนาว่าโลกออนไลน์นั้นน่ากลัว ห้ามเปิดเผยตัวเองจริงๆในนั้น คนอื่นอาจเข้าถึงข้อมูลของเราเอาไปทำปู้ยี่ปู้ยำได้
ตามนี้แล้ว จึงไม่แปลกที่จะใช้รูปแบ๊วๆเดียวกันไปทั่ว ไม่เลือกว่าจะเป็นเว็บไหน รวมถึงเว็บสมัครงาน โอเค ในสังคมไทย คำว่ากาลเทศะมันลดความสำคัญไปช่วงนึง คำว่าเอาตัวเองรอดและธุรกิจรอดมันสำคัญมาก ตอนลดค่าเงินบาท ต้มยำกุ้ง คำนวนแล้ว เด็กรุ่นนี้อยู่ในช่วงประถมศึกษา ช่วงพัฒนาความคิดพื้นฐาน นี่คือสิ่งที่เค้าได้รับรู้ มันหนักมากนะสำหรับเด็กๆ จึงหันหาความบันเทิงแทนที่สังคม ถ้าพ่อแม่ไม่ผลักความรับผิดชอบในการสั่งสอนให้โรงเรียนอย่างเดียว เด็กจะมีโอกาสพัฒนาทักษะในเรื่องนี้ได้
อ่ะเดี๋ยวยาว มีพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอีกเยอะ ถ้าไม่เข้าใจมัวใช้กรอบความคิดเดิมๆจะทำการตลาดได้ผลน้อยลง มีโอกาสก็คงได้คุยกันเพิ่ม สรุปว่าเด็กส่วนใหญ่มีแนวโน้มเป็นแบบนี้มากขึ้น เราก็ต้องเปิดใจเรียนรู้เค้าด้วย
ทางออกสำหรับผมคือ 1.ถ้าสมัครพริตตี้ รูปจะแบ๊วแค่ไหนก็ได้ คอนเซ็ปต์หน้าเบลอนมชัดก็ยอมรับได้ แต่พี่จะเลือกหรือไม่ขึ้นกับว่าสร้างความมั่นใจว่าจะไม่สร้างปัญหาให้ลูกค้าและสินค้าของเขา 2.ถ้าสมัครตำแหน่งอื่น ข้อมูลควรสอดคล้องกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นอันดับหนึ่งในใจผู้เรียกสัมภาษณ์ให้ได้ อะไรที่มันแปร่งปร่าจะทำให้ตัวเองเสียโอกาส อ่านให้ออกว่าเขาอยากได้อะไร แล้วนำเสนอความเก่งของตัวเองในแบบที่เขาเข้าใจได้ง่าย 3.ในการสัมภาษณ์งาน ต้องแสดงวุฒิภาวะของตัวเองว่าสามารถทำงานร่วมกับคนในองค์กรนี้ได้ นอกเหนือจากความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานแล้ว ตอนคุยสนุกจะทำตัวแบ๊วก็ได้ ตอนคุยจริงจังทำตัวน่าเชื่อถือเป็นก็พอ
ผมอยากทำงานกับเด็กแบ๊วๆครับ กระชุ่มกระชวยดี แต่เลือกมาแล้วเหนื่อยตัวเอง ทำให้ทีมผมวุ่นวาย ก็ไม่ไหวครับ ความรับผิดชอบเป้าของทีมกับลูกน้องในทีมมาก่อน ความต้องการส่วนตัวไว้ทีหลัง อย่าล่อพี่ด้วยรูปแบ๊วๆเลย พี่เลือกไม่ได้จริงๆ :D
จากคุณ |
:
numnumnum1
|
เขียนเมื่อ |
:
วันพ่อแห่งชาติ 52 09:36:09
|
|
|
|
 |