|  | 
				
					|  ความคิดเห็นที่  7 |   |  
ปี 2538 ขายส่งสินค้า ใช้พนักงานขาย 4 คน ยอดขายประมาณ 10 ล้านบาท/เดือน มีกำไรสุทธิ 3.6 ล้านบาท/ปีหลังวิกฤติปี 2540 จนถึงปี 2543 ยอดขายลดลงเหลือประมาณ 4 ล้านบาท/เดือน ขาดทุนสะสม 1.5 ล้านบาท/ปี
 ปี 2544 เปิดช่องการขายทางเน็ต เปิดวันแรก ก็มีลูกค้าใหม่ๆติดต่อเข้ามาเพิ่มช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ มียอดขายเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท/เดือน มีกำไรสุทธิ 4 ล้านบาท/ปี
 ตอนเปิดเน็ตปี 2544 ใหม่ๆ ต้องขยันโพสท์ข้อความ ใช้การโฆษณาผ่านเว็บดังๆ เช่น sanook hunsa thai2hand thaitambon ฯลฯ โดยเฉพาะเว็บไทยตำบลดอทคอม เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง มีการโพสท์ไปกว่า 8000 ครั้ง มีลูกค้ารู้จักผ่านทางเว็บไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย จนถึงปัจจุบัน มีลูกค้าใหม่เฉลี่ย 3-5 ราย/วัน สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท มีกำไรสุทธิผ่านช่องทางนี้ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ไม่มีหนี้เสีย เนื่องจากขายผ่านเอเย่นต์ เป็นเงินสดหรือโอนเงินก่อนส่งมอบสินค้า
 ต้นปี 2552 เปิดบริษัทใหม่ มีพนักงาน1คนและขายผ่านทางเน็ตเพียงอย่างเดียว ใช้ต้นทุนหรือปัจจัยต่างๆของบริษัทเดิม มียอดขายประมาณ 200,000 บาท/เดือน มีลูกค้าใหม่เฉลี่ย 10 ราย/เดือน
 การที่ลูกค้ากล้าที่จะสั่งซื้อของทางเน็ตและเชื่อถือมีปัจจัยคือ
 -องค์กรมีตัวตนและสถานที่ตั้งชัดเจน สามารถแสดงเอกสารหนังสือรับรอง/
 ภพ.20/บัตรผู้เสียภาษีอากร ให้กับลูกค้าได้
 -มีการแสดงภาพสินค้า ขนาด คุณสมบัติ ราคา/หน่วย ชัดเจน มีการยืนยันในใบเสนอราคา ก่อนทำการซื้อขาย
 -การชำระเงินผ่านธนาคาร มีหลักฐานในการรับชำระเงิน สามารถออกใบกำกับภาษี+ใบเสร็จรับเงิน ก่อนส่งมอบสินค้า
 -วันที่ตกลงส่งมอบสินค้า ต้องซื่อสัตย์ ไม่ผิดคำพูด หากต้องฝากส่งสินค้า
 โดยรถรับจ้างหรือบริษัทขนส่ง ต้องมีเอกสารรับฝาก+แจ้งให้ลูกค้าทราบเป็นรายๆไป
 ทำแบบนี้ จึงทำให้บริหารจัดการได้ง่าย ข้อสำคัญคือ การค้าส่งต้องสร้างคู่ค้า
 หรือพันธมิตรไว้มากๆ หากสินค้าขาดสต็อก ก็สามารถโป๊วของจากคู่ค้าได้
 ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการผิดนัดส่งมอบสินค้า คือต้องมีแผน1 แผน2 แผน3
 ซึ่งซัพพลายเออร์อื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างเราได้
 
				 
				
					| จากคุณ | : 
หัวใจจากท้องทะเล   |  
					| เขียนเมื่อ | : 
11 ธ.ค. 52 12:46:55 |  
					|  |  |  |  |