ความคิดเห็นที่ 1 น่าสนใจรอฟังอยู่เหมือนกัน จากคุณ : Rovershearer เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 12:10:50

ความคิดเห็นที่ 2 อิจฉาจังเลยคะ ดิชั้นเริ่มต้นจากเงิน 1000 บาท เพราะไม่มีตังคะ อิอิอิ ขอบอกว่าเหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เพราะของแบบนี้มันเงินต่อเงินใช่ไหมคะ ดิชั้นมีทุนน้อยกำไรก็น้อย ลงทุนเยอะก็ไม่ได้ เพราะทุนน้อย ดิชั้นทำเสื้อผ้าคะ เนื่องจากทุนน้อย ก็ต้องเย็บเองเหนื่อยมากกกกกกกกกกกคะ ถ้ามีเงินก็จะไปจ้างเค้าเย็บเอาจะได้ไม่เหนื่อย T-T เรื่องของคุณ จขกท ดิชั้นก็ไม่ทราบอะไรมาก แต่ขออนุญาตแนะนำตามทฤษฏีละกันนะคะ ถ้าขยายตามแนวนอนไม่ได้ ก็ขยายตามแนวตั้ง (ไม่รู้เรียกถูกปะนะ) มั้งคะ อิอิ เราก็ไม่รุ้ว่า คุณ จขกท ทำ product อะไรแต่อาจจะศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าให้มากขึ้นเพื่ออาจจะแตก product ออกให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น ถ้าเป็น B2B คุณอาจจะไปศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าของลูกค้าคุณก็ได้คะ ทำ CSR ก็ดีนะคะ แต่อย่าทำแบบ เอาของไปบริจาคอะคะ ดูเหมือนพวกคุณนายเอาหน้ายังไงไม่รุ้ ถ้าเป็นธุรกิจที่ต้องใช้่ไฟฟ้าสูง อาจจะหาวิธีการผลิตพลังงานจากธรรมชาติ เช่น พลังงานลมอะไรก็ว่าไป หรือสมมติมีความคิดจะย้าย office ก็ทำระบบของเสียของ ตึกใหม่เลยคะ ให้นำของเสียมาหมักเป็น gas เอา gas ไปผลิตไฟฟ้า แล้วก็เอาเรื่องนี้มาทำ CSR ว่าบริษัทเราใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งยังลดต้นทุนของบริษัทด้วย ถ้า work ก็อาจจะเปิดบริษัทใหม่อีก เป็นบริษัทที่รับออกแบบระบบอาคารแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถ้าเกี่ยวกับการเกษตรก็อาจจะ หาวิธีนำของเหลือจากการเกษตรมาผลิตไบโอดีเซล แล้วนำมาใช้ ลดต้นทุนไปด้วย คือมันไม่รุ้ว่าเป็นธุรกิจอะไรอะคะ เลยไม่รุ้จะอธิบายอะไรดี เราก็ยังเด็กอยุ่ ไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอกคะ แนะนำเท่าที่รู้ ผิดถูกยังไงขอโทษด้วยนะคะ จากคุณ : กิด (sukritudom) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 12:41:48

ความคิดเห็นที่ 3 ลืมไปอีกอย่างคะ ถ้าคุณหยุดพัฒนา คนอื่นก็จะแซงนะคะ จากคุณ : กิด (sukritudom) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 12:47:47

ความคิดเห็นที่ 4   หากทำธุรกิจSMEs ไม่ว่าจะผลิตสินค้าหรือบริการใดๆก็ตาม ให้มองไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้สูงที่สุด เมื่อมีฐานตลาดในระดับที่ลูกค้าพึงพอใจและมีความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์และองค์กรแล้ว ให้เน้นเรื่องการบริหารจัดการให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำที่สุด และค่อยๆปรับโสหุ้ยให้เป็นต้นทุนขาย ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ประคองธุรกิจให้ได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหรือหั่งเช้งไม่ดี รุกไปข้างหน้าเมื่อสภาพตลาดดี มีกำลังซื้อสูง นำกำไรที่ได้รับมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการให้ดีขึ้น ต่อยอดธุรกิจที่มีรายรับประจำ มีความเสี่ยงต่ำ คุ้มค่ากับดอกเบี้ยที่+ค่าเสียโอกาส ในการนำเงินไปลงทุน ในไม่ช้า 5-10 ปี ธุรกิจมีการขยายตัว สร้างสินทรัพย์หรือมูลค่าเพิ่มต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด และที่สำคัญต้องหมั่นพัฒนาธุรกิจ ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ ตามเทคโนโลยีให้ทัน เทคโนโลยีไม่ใช่เครื่องจักร แต่มันคือ วิธีการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงเสมอไป ทำได้ดังนี้ น่าจะมีทรัพย์สินเพิ่มในระดับที่พึงพอใจ ข้อสำคัญ ผู้ประกอบการจะต้องมีอิทธิบาท 4 มีความขยัน อดทน ประหยัด ซื่อสัตย์ และพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ ต้องตื่นตัวรับข้อมูลข่าวสาร ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อนำมาใช้พิจารณาวิเคราะห์ทิศทาง ธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ ผมเคยพบลูกค้าทำธุรกิจ SMEs รายหนึ่ง รู้จักเมื่อปี 32 เขาเป็นเพียงโบรคเกอร์ขายลูกไก่เนื้อ ให้กับองค์กรใหญ่ๆ ที่ไม่ได้ทำธุรกิจแบบครบวงจร พื้นฐานดี เป็นบุคคลกว้างขวางและซื่อสัตย์ เขาทำงานมีลูกน้องเพิยง1-2 คน ในออฟฟิศ และค่อยๆสร้างลูกค้า ขยายฐานออกไปเรื่อยๆ ในช่วงเวลาไม่นานนัก เขาสามารถสร้างธุรกิจแบบครบวงจร มีโรงฟักลูกไก่ มีโรงงานอาหารสัตว์ขนาด 30,000 ตัน/เดือน  มีลูกเล้าครอบคลุมหลายจังหวัด มีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ ขายทั้งในประเทศและส่งไปขายยังตลาดต่างประเทศทั้งญี่ปุ่นและยุโรป มีทรัพย์สินมากมาย ซึ่งน่าจะเกิดจากการมีทักษะและความสามารถสูง รู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์และมีการบริหารจัดการที่ดี นอกจากนี้เมื่อเกิดวิกฤติอะไรเข้ามากระทบ เขายังมีทักษะและรอบรู้ในการแก้ปัญหาได้ดีกว่ารายอื่นๆ ที่ทำธุรกิจแบบเดียวกัน จากคุณ : หัวใจจากท้องทะเล เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 13:30:11

ความคิดเห็นที่ 5 ทำ franchise กับ branding ครับ McDonald ก็คล้าย ๆ กับสถานการณ์ของคุณเลย คือ สต๊อกก็นับยาก ทุจริตก็ป้องกันยาก แต่พวกนี้เค้าแก้ด้วยการที่มี Policy และ Procedure ที่ดีครับ คงต้องศึกษากันเยอะหน่อยละครับ จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 14:35:14

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ควรขยายสาขา หรือทำเป็น Franchise หากคิดจะควบคุมคุณภาพสินค้า ควรทำให้เป็นระบบบริษัท ให้มีระบบในการตรวจสอบคุณภาพ เมื่อมีมาตรฐานก็ ทำส่งออกครับ หาลูกค้า ติดต่อ DEP ไปลองออกงาน ส่งออกได้เยอะจนเริ่มขยายก็ ขยายโรงงาน พัฒนาให้ระบบมีประสิทธิภาพ สร้าง Brand ทำการ ตลาด  ( มาถึงตรงนี้ คงยังไม่ถึง 100 ล้านหรอกครับ ) จนสุดท้าย Brand แข็ง ก็จดบะเทียนเข้า ตลาดหุ้นครับ พัฒนาๆๆๆๆ แล้วราคาหุ้นในตลาดก็จะพัฒนาๆๆ ตาม เมื่อมีเงิน ก็จ้างคนเก่งๆมาบริหาร จัดการ กลายร่างเราไปถือหุ้นส่วนใหญ่ แล้วควบคุมระบบแทน กินทั้งเงินเดือน กินทั้งหุ้น ( อย่าขี้เกียจหละครับ แล้วก็อย่าทุจริต รับรอง ราคาหุ้นจะดี ) สุดท้าย อยากได้เท่าไหรก็รอปันผม ไม่ก็ขายหุ้นเอาครับ ฟังดูง่ายแต่ไม่ง่ายนะครับ หลักๆคือ ต้องทำให้สินค้าเ้ข้มแข็งก่อน ถ้ายังคุม กระบวนการผลิตขนาด SME ไม่ได้ อย่าไปลอง Franchise  ครับ รับรอง คุณภาพสินค้าแย่ ชื่อเสียงหาย ได้เงินก้อนมานิดหน่อยแล้วก็เสียสินค้าไปเลย ชื่อเสียงสำคัญ ที่สุด ได้เงินมาแต่ทำลายชื่อเสียงตัวเอง คิดเอาเองว่าคุ้มหรือเปล่า จากคุณ : เด็กสิงห์ (Gappiatty) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 15:21:47

ความคิดเห็นที่ 7 ขายยา จากคุณ : ajstar เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 16:52:45

ความคิดเห็นที่ 8   คือผมไม่รู้ว่าคุณทำธุรกิจอะไรอยู่ครับ ก็เลยให้คำแนะนำอย่างละเอียดไม่ได้ แต่เมื่อก่อนผมก็เคยคิดนะว่าจะเอาเงินที่มีอยู่ไปทำอะไรที่เราเป็นเจ้าของกิจการเอง ปัญหาคือว่า ธุรกิจที่ผมคิดไว้ส่วนมากนั้นมีคู่แข่งในตลาดเยอะแยะไปหมด ถ้าจะเข้าไปแข่งกับเขาก็คงแย่งส่วนแบ่งตลาดได้ยากพอสมควร และเราเป็นรายเล็กผมคิดว่าอาจจะทนไม่ได้กับความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือวิกฤตอะไรก็ตามที่ร้ายแรง ดังนั้น คิดไปคิดมา กอรปกับมีโอกาสได้อ่านหนังสือหลายๆเล่มเกี่ยวกับการลงทุน ทั้งของไทยและต่างประเทศ ก็เลยตัดสินใจนำเงินก้อนหนึ่งมาลงทุนในหุ้น ในธุรกิจที่ดี และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ ดังนั้น ปัญหาที่ว่าถ้าผมทำธุรกิจเองกว่าจะได้ส่วนแบ่งตลาดจากรายใหญ่ๆในอุตสาหกรรมนั้น เลยหมดลง ที่สำคัญตัวผมไม่ต้องมานั่งเหนื่อยเอง ทำงานเอง เหมือนเจ้าของธุรกิจ แต่เราต้องคอยเอาใจใส่ ติดตามบริษัทที่เราลงทุนอย่างสมําเสมอ เมื่อมีประชุมผู้ถือหุ้น ก็ควรต้องไป เพื่อสอบถามสิ่งที่เราอยากรู้ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเมื่อ 5 ปีก่อนผมอยากเปิดร้านสะดวกซื้อสักร้านเป็นของผม ราคาทุนสมมุติ 5 ล้าน รวมค่าตึก ค่าของ ค่าจ้างคนดูร้าน ฯลฯ แต่ถ้าเราดูแล้วคิดไปคิดว่างั้นลองเอาเงิน 5 ล้านไปซื้อหุ้นตัวหนึ่งเกี่ยวกับร้านสะดวกซื้อ เข้าใจว่าจะได้ประมาณ 1 ล้านหุ้น(ตอนนั้นประมาณ 5 บาท) 5 ปีผ่านมาสมมุติถ้าเราไม่ขาย เราจะได้เงินประมาณ 23-24 ล้านบาท(ยังไม่รวมปันผลครับ) เพราะราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 24 บาท ซึ่งผมลองมาคิดดูแล้วว่าถ้าคนๆนึงเปิดร้านเองเมื่อ 5 ปี ต้นทุน 5 ล้าน 5 ปีผ่านมาอาจจะได้กำไรไม่ถึง 20 ล้านและที่สำคัญกว่านั้นคือ เราคงต้องเครียดทำงาน ดูงานเอง และต้องแข่งกับร้านสะดวกซื้อที่มี Brand อันดับ 1 อีก ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เราอาจจะยอมแพ้ในที่สุด ทุกวันนี้ถามว่าผมตัดสินใจผิดไหม ที่ไม่ทำธุรกิจเอง แต่เอาลงทุนในหุ้น ขอตอบเลยครับว่าไม่เลย แต่สำหรับเจ้าจขกท ผมแนะนำว่า ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรก็ลองค่อยๆศึกษาครับ แต่ไม่ต้องรีบร้อน เพราะเงินนั้นเป็นของเรา เราต้องรับผิดชอบมันเอง และผมเห็นด้วยครับที่ถ้าเรายังไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งเอามาลงทุนในหุ้น เพราะเงิน 10 ล้านสามารถหมดไปในเวลาอันสั้น ถ้าลงทุนไม่ถูกทางครับ จากคุณ : Fast เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 18:06:32 A:112.142.90.214 X: TicketID:180362

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยกับคหก่อนหน้านี้ครับ หากจะลงทุนควรคิดเรื่องความเสี่ยงครับ เห็นเจ้าของกิจการหลายคนคุยว่าได้รายได้ปีละล้านแต่ไม่ยอมคิดถึงเงินที่ลงทุนไปครับ อย่าลืมถึงช่วงที่ต้องขาดทุน อย่าลืมว่าต้องลงทุนซื้อสินทรัพย์อะไรบ้าง ถ้าใช้ของที่ครอบครัวมีอยู่แล้วก็อย่าลืมอีกว่าจริงๆมันมีค่าเสียโอกาสเช่นถ้าเป็นที่เปล่าจริงๆคุณก็เอาไปปล่อยเช่าคนอื่นได้ ถ้าจะลงทุน ต้องทำอะไรที่คนอื่นเค้าไม่ทำกันหรือทำไม่ได้ ไม่งั้นถึงคุณอาจจะมีเงิน ได้เงิน เงินโตเป็นร้อยล้าน แต่คุณอาจใช้ทุนไม่เหมาะสมกับความเสี่ยง 10 ล้านถ้าลงทุนได้ผลตอบแทนประมานปีละ 10% ประมาณ 20 กว่าปีก็เป็นร้อยล้านแล้ว จากคุณ : ! o_o ! เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 18:39:41

ความคิดเห็นที่ 10 ขอแนะนำให้ไป B2S ครับ หนังสือเยอะเลย ปล. ลองไปห้อง สินธรดูนะครับ จากคุณ : sassystem เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 23:27:05

ความคิดเห็นที่ 11 ผมคิดว่า ร้อยล้านแรก คงไม่ยากหรอกคับ  หากต้องใช้เวลาสักพัก บางที ไม่จำเป็นต้องเป็น บริษัทใหญ่  ขึ้นอยู่กับตัวเรา จากคุณ : kamenriderkiva เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 23:48:02

ความคิดเห็นที่ 12   ธุรกิจทุกอย่างมีความเสี่ยงแม้จะดูไม่เสี่ยง ฉะนั้นเราต้องกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นที่เรามองเห็นโอกาส แม้จะมีคู่แข่งมาก แต่ถ้าเรามีจุดแข็งบางอย่างที่ลูกค้ากลุ่มๆหนึ่งมีความต้องการ เราก็อยู่ได้ เช่น ความรวดเร็วสูงที่สุด แม้จะแพงกว่าคู่แข่งสักหน่อย แต่ลูกค้าที่ต้องการความเร็วก็จะยอมจ่ายเพิ่ม จากนั้นพอเริ่มเข้ามาจริงจังในธุรกิจใหม่เราก็ค่อยพัฒนาให้มันโตขึ้น อย่าลืมว่าเราเป็นSMEข้อได้เปรียบของเราคือเราปรับตัวได้ไวมาก ฉะนั้น เจอจุดอ่อนต้องรีบแก้ แล้วพยายามใส่จุดแข็งลงไป จนธุรกิจนี้โตและเข้าที่เข้าทาง ก็เริ่มมองหาโอกาสในธุรกิจอื่นๆถัดไป แล้วเมื่อวันใดที่ธุรกิจไหนเป็นอะไรไป เราจะยังมีธุรกิจอื่นรองรับให้เราอยู่รอดสบาย ไม่ต้องพูดถึง100ล้าน เกินกว่านั้นก็ย่อมเป็นไปได้ แต่ว่าหาเงินได้เยอะก็ต้องเก็บให้เก่งด้วย ไม่งั้นหาได้เท่าไรก็รั่วออกหมดก็เท่านั้น จากคุณ : BlueOnline เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 00:10:07

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าทำแบบครอบครัว ให้ทำจนตายก็ไม่ถึง 100 ล้านหรอกครับ มันไม่ได้หมูแบบนั้น 100 ล้านทำได้แค่เฉพาะช่วงที่ยังไม่มีคนลงมาแข่งแล้วทำ brand ให้เป็นผู้นำในตลาดใหญ่ได้ก่อนเท่านั้นแหละครับ ถ้าบุญไม่มี โอกาสไม่มา วิสัยทัศน์ไม่ถึงไปพร้อมๆกันก็ยากครับ จากคุณ : Windows X เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 00:16:46

ความคิดเห็นที่ 14 เล่นหุ้นไงไปศึกษาทฤษฎีดอกเบี้ยทบต้นจะพบความมหัศจรรย์ จากคุณ : i (ibapapoon) เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 01:08:30

ความคิดเห็นที่ 15   ขอบคุณทุกท่านมากครับ ได้ความรู้เพิ่มมากทีเดียว จากคุณ : เถ้ายังไม่แก่ เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 07:25:52 A:117.47.232.230 X: TicketID:247646

ความคิดเห็นที่ 17   คุณมี 100 ล้านแล้วคุณมีความสุขกว่าตอนนี้เหรอ ชีวิตมีแต่ อยากรวย อยากหาเงิน เคยคิดถึงสุขภาพ และความสุขไหม ผมบอกได้แค่นี้ จากคุณ : กก เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 14:58:44 A:210.203.191.251 X: TicketID:245770

ความคิดเห็นที่ 18   ^ ^ ความสุข ไม่เกี่ยวอะไรกับรวยหรือจนเลย อย่าเข้าใจผิด คนรวยก็สุขได้ คนจนก็สุขได้ คนรวยก็ทุกข์ได้ คนจนก็ทุกข์ได้ ทำไมจะต้องคิดว่า คนอยากรวย คนขยันทำงาน จะต้องมีความทุกข์ด้วย? จากคุณ : เถ้ายังไม่แก่ เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 20:19:40 A:117.47.232.230 X: TicketID:247646

ความคิดเห็นที่ 19   ความคิดเห็นที่ 17 ทัศนคติลบรับปีใหม่เลยนะครับ จากคุณ : plotinus เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 22:13:31

ความคิดเห็นที่ 20   สวัสดีครับ ผมก็เป็นเหมือนคุณเจ้าของกระทู้ คือรุ่นพ่อทำให้เยอะ ผมอยากลองแนะนำนะครับเป็นไอเดียก็พอ คุณดูจาก SME ของคุณว่าทำเกี่ยวกับไร แล้วลองมองรอบๆด้านของมันก่อนทั้งทางตรงทางอ้อมที่จะทำให้ SME คุณดำเนินธุรกิจได้ เช่น แหล่งวัตถุดิบหรือสินค้า การpacking การจัดส่ง หรือช่องทางการกระจายสินค้าผ่านตัวแทน ไรประมาณนี้ โดยที่ผมจะเล่าถึงตัวผม บ้านผมค้าขายแล้วผมเริ่มมองจากว่าบ้านผมสั่งสินค้าที่ไหนจากใคร แล้วคนนั้นเอามาจากไหนที่ไหน กะว่าตอนสั่งสินค้ามาต้องผ่านการขนส่งยังไงไรประมาณนี้ แล้วผมมองเห็นว่าสินค้าที่ผมสั่งต้องใช้บริษัทขนส่งสินค้าถึงจะมาถึง ผมเลยเปิดบริษัทขนส่งซะเองเลย(มองแล้วทำมาเห็นเงินแน่ๆ) แล้วรับสินค้าของที่บ้านก็ของเจ้าอื่นมาด้วย แล้วมันก็เป็นไปได้ด้วยดีธุรกิจโตไวมากแข่งขันกับเจ้าใหญ่ๆได้สบายเพราะว่าเรารู้จุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจประเภทเดียวกับที่บ้านว่าต้องจูงใจยังไงถึงร้านค้าเจ้าอื่นมาส่งขนส่งเราได้ ^^ตอนนี้ทำมาเริ่มจะเข้าที่แล้ว(3ปี) เริ่มเห็นถึงเงินที่จะไหลมาแล้วก็ประโยชน์ทางอ้อมที่ผมได้มาอีกคือแหล่งสินค้าจากการทำขนส่ง(คิดจะเพิ่มธุรกิจเรื่องสินค้าอีกอย่าง คือสั่งเองส่งเองส่งให้เจ้าอื่นด้วย) เหอๆวิธีผมคือมองใกล้ๆตัว ก่อนครับไม่มองที่จะขยายใหญ่กว่าเดิมแต่ขยายให้กว้างกว่าเดิมครับ จากคุณ : คนรุ่นใหม่ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 00:57:16 A:125.24.26.59 X:

ความคิดเห็นที่ 21 หุ้นคะ เพราะธุรกิจต้องลงแรง หาตลาด สร้างตลาด จัดการแรงงาน แข่งขันอะไรหลายอย่างมากๆคะ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นคะ ก็ถือเป็นเจ้าของธุรกิจเหมือนกัน ไม่ต้องเหนื่อยทำเอง แต่ใช้เงินลงทุนหลังจากวิเคราะห์หาบริษัทที่น่าเชื่อถือนะคะ ลองศึกษาแนวทาง value investor ดูนะคะ หรือจะเอาแบบไม่เสี่ยงมาก ก็ซื้อหุ้นของบริษัทพื้นฐานดี มีกำไรสม่ำเสมอ และให้ปันผลดีๆ ปีละ 10% นี่ก็หาไม่ยากเท่าไหร่คะ เช่น สมมติ ลงทุนไป 10 ล้าน ปันผล 10% ก็ได้มาปีละ 1,000,000 แล้วคะ แต่แนะนำไม่ควรลงทีเดียว 10 ล้าน ถ้าไม่มีเงินเหลือนอกจากนี้แล้ว ควรแบ่งพอร์ตการลงทุนก็น่าจะดีคะ ให้มีเงินฉุกเฉินเก็บไว้ด้วยคะ มีเคสตัวอย่าง พี่คนหนึ่งในบอร์ด thaivi (แหล่งรวมข้อมูลแนวทางลงทุนแบบ value investor  ) เค้าก็ลงตอนแรก 10 ล้านคะ ภายในเวลาแค่ 3 ปี ตอนนี้มูลค่าพอร์ตขึ้นไป 70 ล้านแล้วคะ แต่ก็ึคงไม่โชคดีอย่างนี้ทุกคน เพราะก่อนลงทุนก็ต้องอ่านหนังสือหลายเล่ม ศึกษาและวิเคราะห์บริษัท วิเคราะห์ข่าวร้ายและดีที่ออกมาคะ ต้องใช้ความอดทน ใจเย็นๆ และไม่หวั่นไหวไปกับหุ้น day trade ที่ราคาวิ่งเร็ว กำไรเร็ว   อีกอย่างพี่ึคนนี้ก็ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านการเงินด้วยคะ ทำให้รู้ว่า ของอย่างนี้เรียนรู้กันได้ถ้ามีความพยายามและตั้งใจ ส่วนตัวศึกษาหุ้นมา 3 ปี คะ ตั้งแต่สมัยอายุ 20 ตอนนี้เรียนจบแล้ว กำลังจะเริ่มลงทุนเหมือนกันคะ แต่คงจะเริ่มไม่เยอะคะ เพราะตอนนี้ราคาหุ้นหลายๆตัวยังแพงอยู่คะ แต่คงเก็บหุ้นเน้นถือกินปันผลมากกว่าคะ ขอให้โชคดีในการลงทุน ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ตามนะคะ สวัสดีปีใหม่คะ แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 53 04:22:29 จากคุณ : รพินทร์ดารา เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 04:19:39

ความคิดเห็นที่ 22   ดิฉันว่าเดี๋ยวนี้คนจนทุกข์มากกว่าสุขค่ะ เพราะส่วนมากจะจนเพราะใช้เงินเกินตัว หนี้บัตรเครดิต ยังไงมีเงินก็สุขกว่าไม่มีแน่นอนค่ะ เพราะถ้าไม่มีเงินความเครียดก็จะตามมา ทะเลาะเบาะแว้งด้วยปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ แถมด้วยปัญหาสุขภาพอีก ดังนั้นเห็นด้วยไม่เห็นด้วยกับคคห 17 แต่เห็นด้วยกับจขกทว่าไม่ควรหยุดแค่นี้ค่ะ ถ้ามีช่องทางก็ควรหาให้ได้มากขึ้นเพราะจขกทอายุยังน้อย แต่ก็ต้องระลึกไว้เสมอว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย ที่คุณพ่อคุณทำได้ขนาดนั้นเพราะสมัยก่อนการแข่งขัน หรืออะไรๆ มันยังไม่เหมือนสมัยนี้ ยังไงก็ระมัดระวังและรอบคอบค่ะ เพราะถ้าผิดพลาดไป อาจจะต้องกลับไปตั้งต้นใหม่ จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 07:07:59 A:115.128.12.224 X: TicketID:166806

ความคิดเห็นที่ 23   ขอพระคุณพี่ๆทุกท่านอีกครั้งครับ ได้แง่คิดเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง จากคุณ : เถ้ายังไม่แก่ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 08:47:17 A:117.47.232.230 X: TicketID:247646

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าเป็นผม ผมคงไม่ได้มองด้านเดียวหรอกครับ พ่อคุณหามาให้เป็น 10 ล้าน ด้วยความลำบากแน่ ๆ โจทย์มันไม่ใช่แค่ทำยังไงให้ก้าวหน้ามากขึ้น แต่ต้องอย่าลืมว่า "ทำยังไงให้มันดำรงอยู่และ ไม่หมดไปด้วย" ต่างหากล่ะครับ คุณคิดแต่จะทำให้มันเพิ่ม แต่อย่าลืมว่าการลงทุนมันก็มีความเสี่ยงนะครับ ช่วงนี้มันยังไม่เหมาะจะลงทุนนะครับ ใจเย็น ๆ ก่อนก็ได้ครับ จากคุณ : mix_more เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 10:33:48

ความคิดเห็นที่ 25 รักษาใหู้ธุรกิจไ่ม่ล้มจมให้รุ่นคุณ เอาำำกำไรไปลงทุนต่อ จากคุณ : amornpan8 เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 21:29:40

ความคิดเห็นที่ 26 กระผมว่า มี10 ล้าน ทำให้เป็น 100 ล้านนั้น ง่ายกว่า มี 1 หมื่น  ทำให้ได้ ล้านแรก นั้นยากยิ่ง นัก  ..... จากที่  รู้ คนอื่นมาน่ะ  มีอยู่ ไม่กี่วงการ ที่ทำกำไรได้ 10 เท่า ตาม คห. ของกระผม  มีแต่ธุรกิจ อสังหา อยู่ในดวงใจ ถ้าเป็นผม  ผมจะมองอะไร  ง่ายๆ เล็กๆ  ผมขอเริ่มเล็กๆ แค่ 5 แสนก่อน ผมจะ  ซื้อ  ซ่อม  และ ขาย ซื้อ  คือ  ซื้อคอนโด ไปหาตาม ธนาคาร เอาทำเลดีๆ ที่คนต้องการ ซื้อถูกๆ ซ่อม  .... ซ่อมแบบ ประหยัดงบ ซ่อมแค่พื้นฐาน ไม่เกิน 2-3 หมื่น ต่อห้อง ขาย ... ต้องสืบราคา ขายทั่วไป ในคอนโดเดียวกัน และ คอนโดอื่นในย่านเดียวกัน  แล้วขายถูกกว่า นิดนึง ปล่อยเร็ว ทำอย่างนี้ไป  เรื่อยๆ   ถ้าขายไม่ได้สักที  ก็ให้เช่า แล้วไปหาทำเลอื่นต่อ แล้วก็ วัสดุก่อสร้าง  ถ้ามี 10 ล้าน ทำได้สบายมาก  แต่ต้องอาวุธหนัก อิฐ หิน ดิน ทราย จากคุณ : เจมส์แบน คังคังโป้ย เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 15:35:31

ความคิดเห็นที่ 27 แนะนำว่าหุ้นครับ ไม่ใช่ว่ายากหรอกนะครับ ศึกษาดูก่อน การทำกำไรทีละ100%ในเวลา....แล้วแต่คนนะ สำหรับผมว่า  ไม่ได้ยากมากหรอก คืองี้  ถ้าทำกำไร100% แปลว่ารวมเงินต้นแล้วคุณจะมีเงิน 2เท่า เอา10ล้านคูณ2 ไป4รอบก็  !! 10m>>>20m>>>40m>>>80m>>>160m นี่แบบว่าถ้าเอาแบบฝีมือไม่เก่งขั้นเซียน+เฮงจัด ก็คิดซะว่า ใน4จะทำเงินให้เป็น2เท่าได้ แปลว่า จาก10ล้านจะให้กลายเป็น100ล้าน คุณต้องใช้เวลา  16ปีเท่านั้นเองครับ คนที่เก่งๆใช้เวลาน้อยกว่านี้ยังมีเลยครับ แต่คนเก่งไม่ค่อยชอบออกมาพูดหรอกครับ ถ้าทุกคนรู้ความลับเขา  สุดท้ายวิธีการเดิมๆก็จะใช้ไม่ได้ซะแล้วไงครับ จากคุณ : Dr. Manhattan เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 21:18:49

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้าเป็นผมคงจะเน้นรักษาเงิน 10 ล้านนี้ไว้ไม่ให้หมดไปมากกว่าครับ  เก็บเงินต้นไว้  ถอนเอาเฉพาะดอกผลมาใช้ก็พอ  เงินเท่านี้ก็พอใช้ได้ตลอดชีวิต (ถ้าไม่ฟุ้งเฟ้อ) แล้วครับ จากคุณ : LimitBreak เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 16:22:55

ความคิดเห็นที่ 29 แนะนำให้ไปหา หนังสือ คุณตัน โออิชิ มาอ่านครับ ผมว่า เป็นก้าวแรก ที่สอนอะไรได้มาก เลย จากคุณ : MuGrub (zenonew) เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 13:50:05