 |
ความคิดเห็นที่ 50 |
|
เงินสี่ด้าน
E (Employee) – ลูกจ้าง รับ ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน รายได้ตามตำแหน่งงานที่ได้รับมอบหมาย นายจ้างเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตและเงินเดือนให้คุณ ขาดอิสรภาพ ต้องเซ็นต์ชื่อ ตอกบัตร ตกงานเท่ากับล้มละลาย (ตกงาน 3 เดือน ไม่ต่างจากคนล้มละลาย) อยู่ในวงจรหนี้สิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ
S (Self-employed) – ทำธุรกิจส่วนตัว ขาย เวลาแลกกับเงิน จ้างตัวเองทำงาน ชอบคิดเองทำเอง, ควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ขาดประสบการณ์ เจอคู่แข่งที่มีทุนหนากว่า อาจจะทนทำ เพราะชอบ อิสระ แต่ไม่มี อิสรภาพ
B (Business Owner) – เจ้าของธุรกิจ มีทุน หาคนเก่งๆ มาทำงานให้ ไม่ทำก็มีรายได้ B มีหลายประเภท บริษัท แฟรนไซน์ การตลาดแบบเครือข่าย (เป็นช่องทางที่จะเป็นเจ้าของกิจการ ที่มีความเสี่ยงน้อย)
I (Investor) – นักลงทุน ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน มองผลตอบแทนจากการปันผล ดอกเบี้ย ซื้อกิจการมาปรับปรุง แล้วขายต่อ ผู้เขียน พ่อรวย สอนลูก (Rich Dad Poor Dad)
งานประจำ ไม่ทำให้ร่ำรวยได้ มีแต่หนี้ ถ้าต้องการความสำเร็จ ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ ธุรกิจมี 2 ประเภท คือ รวยแต่หยุดทำไม่ได้ กับรวยแล้วพักได้โดยรายได้ไม่หยุด 1. กิจการใหญ่ (ซีพี , AIS) 2. เจ้าของแฟรนไชส์ (แมคโดนัลด์ , 7-11) 3. ธุรกิจเครือข่าย การตลาดเครือข่าย เป็นเสมือนโรงเรียนสอนนักธุรกิจ ที่ช่วยให้คุณย้ายฝั่งได้ง่าย ได้ผล และปลอดภัยที่สุด บริษัท เครือข่ายการตลาดที่ดีจะต้องมีระบบพัฒนาตัวคุณอย่างสมบูรณ์แบบ (โดย สอนให้คุณเป็นนักธุรกิจ เพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่สอนให้คุณเป็นเซลส์แมนหรือเพียงทำให้คุณมีรายได้ไปวันๆ บนความมั่นคงที่ไม่แน่นอน) คนที่รวยที่สุดในโลกล้วนแสวงหา การสร้างเครือข่าย ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังหางานทำ หากคุณมีความคิดสร้างสรรอันยิ่งใหญ่ หรือสินค้าอันดีเยี่ยมปานใดก็ตาม มีเพียงหนทางเดียวที่จะนำท่านสู่ความสำเร็จ คือ การใช้เครือข่ายการประชาสัมพันธ์ และเครือข่ายการ จัดจำหน่ายสินค้า เหล่านั้นสู่มือผู้บริโภคอย่างได้ผล
อยากอยู่ฝั่งไหนเลือกเอาครับ ส่วนตัวผมไม่อยากทำงานตลอดชีวิต และก็จะเปลี่ยนชีวิตจากด้าน E มา S เพื่อไปสู่ Bและสร้างทรัพย์สินให้กับตนเองด้วยด้าน I ครับ
แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 53 21:58:49
จากคุณ |
:
KatUeY_MafiA
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ม.ค. 53 21:56:47
|
|
|
|
 |