 |
ความคิดเห็นที่ 2 |
แฮะ...แฮะ....ก่อนอื่น ลุงแอ็ดของออกตัวก่อนว่า "ไม่ใช่นักพูด หรือเป็น
นักท้อคโชว์" ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ที่หากินอยู่กับอาชีพ "วิทยากร" อยู่ได้นั้น ก็
เพราะพอจะมีความรู้ มีประสบการณ์ ที่จะเอามาเล่าให้น้องๆ ทั้งหลายฟังไว้
เพื่อประดับความรู้ เสริมความคิด และสร้างสรรไอเดียให้บรรเจิดจ้าใน
หน้าที่การงานเท่านั้น
ทุกครั้งที่ลุงแอ็ด จะต้องออกไปพูด ลุงถือว่า "การเตรียมตัว" เป็นสิ่งสำคัญ
ที่สุด ประการแรก
1. ต้องรู้ Back Ground ของผู้เข้าฟังว่า มาจากไหน มีพื้นความรู้ในเรื่องที่
เราจะพูดอยู่มากน้อยเพียงใด อายุอานามประมาณเท่าไหร่ พอพอเหวี่ยง
กับเราไหม หรือผู้ฟังเป็นชั้น Phd., ดร. ชั้นเทพ ซึ่งเราจะต้องปรับเนื้อหา
สาระให้ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างง่ายที่สุดหรือยากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. รู้เวลา ว่าจะต้องพูดกี่นาที พูดกี่ชั่วโมง พูดเป็นวัน พูดคนเดียวหรือมี
หลายคนพูด เราพูดก่อน หรือใครพูดก่อน คนที่พูดก่อนหรือหลังเรา เขาจะ
พูดเรื่องอะไร ต้องรู้ครับ เพราะบางทีเตรียมเนื้อหาไปเสียดิบดี ปรากฏว่า
คนก่อนหน้าเราเขาพูดเสียหมดเปลือกแล้ว เราก็แห้วไปเท่านั้น
3. เมื่อรู้เวลา รู้ว่าใครพูดก่อนหน้าหลังแล้ว ก็มาถึง "เรื่องที่เราจะต้อง
พูด" เขาจะให้พูดอะไรก็ตาม ให้เรา "เริ่มต้นด้วยเรื่องที่เรารู้ดีที่สุดก่อน"
เช่น เขาให้พูดเรื่อง Network ก็เริ่มเล่าให้เขาฟังว่า เราเคยมีประสบการณ์
อะไรมาบ้าง เล่าเรื่องประสบการณ์ที่แสบๆ เช่น เคยทำ Network เขาล่ม
โดยอุบัติเหตุ ต้องหาทางแก้เกือบเอาตัวไม่รอด.......แล้วจึงวกเข้าสู่เนื้อหา
สาระที่เราเตรียมมา การที่เอาเรื่องที่เรารู้ดีที่สุด คือเรื่องของตัวเอง เรื่อง
ประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับงานนั้นมาเกริ่นก่อน จะทำให้เราพูดได้โดย
ไม่ติดขัด และเสมือนเล่าให้ผู้ฟังคล้อยตามไปด้วย แต่อย่านานนัก ควร
เป็นเรื่องสั้นๆ และหาเรื่องให้สมน้ำสมเนื้อของเรื่องที่เราต้องบรรยาย
4. เมื่อถึงเวลาพูด.....ให้ก้าวขึ้นเวลาเวทีด้วยความมั่นใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม
ถึงแม้จะสั่น ก็ขอให้สั่นในใจ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ โดย "ยิ้ม" และ กล่าว
ทักผู้ฟัง เช่น สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่หลงเข้ามาฟังผมพูดทั้งหลาย ผมขอ
สารภาพว่า วันนี้เป็นวันแรก ที่ผมได้ก้าวขึ้นมาสู่เวทีแห่งนี้ ดังนั้น โปรดรอ
สักครู่ ขอให้ผมทำใจให้ได้ก่อน โดยการสูดลมหายใจ 3 ครั้ง (แล้วก็
สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ๆ 3 ครั้ง) เอาละครับ....ดีขึ้นแล้วยังครับท่านผู้
ฟัง.......การกล่าวติดตลกเช่นนี้ เพื่อระบายความสั่นในใจให้หมดไป เป็น
การถ่วงเวลาให้อาการสั่นค่อยเบาบางลง และเราจะเริ่มพูดได้ดีขึ้น อย่าลืม
ว่า คนที่ต้องขึ้นเวที ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าเป็นจตุพล หรือโน๊ต หรือ
อาจารย์ทินวัฒน์ จะ "สั่น" ทุกคน เพียงแต่เราดูไม่ออกเท่านั้นว่าเขาสั่น
เพราะเขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้ในขณะที่มีอาการประหม่านั้น จน
กระทั่งอาการนั้นจะหายไปเอง
5. เวลาพูดใหม่ๆ ควรจะหาเครื่องช่วยที่จะทำให้การพูดดูสมจริงสมจังขึ้น
เช่น Power Point ซึ่งมีไม่ควรเกิน 6 บรรทัด ต่อหนึ่งหน้า ควรมีแต่หัวข้อ
เท่านั้น ส่วนรายละเอียดเราต้องพูดเอง เวลาฉาย PP ก็หันไปมองที่จอนิด
หนึ่ง แล้วก็บรรยายเนื้อหาสาระไปเลย อาจจะดูที่จอของ Notebook ก็ได้
การพูดก็พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ อย่าลนลาน สายตาก็กวาดไปรอบๆ ห้อง
เป็นจุดๆ ไป เช่น พูดกับคนหน้าหน้า พูดกับคนข้างขวา พอ PP ที่สอง ก็หัน
มาพูดกับคนทางซ้าย และพูดกับคนหลังห้อง อย่าพูดอยู่กับใครคนเดียว
และอย่าก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในสไลท์ จะทำให้เหมือนขึ้นไปบ่นพึมพำ
อะไรให้ใครฟังก็ไม่รู้
6. ตอนจบก็สำคัญ ไม่ใช่พอหมด PP ก็จบเอาดื้อๆ แล้วลงจากเวทีเลย ก็
เหมือนเครื่องบินจะลงจอดนั่นแหละครับ คุณจะต้องเริ่มกางแฟลบ กางล้อ
ลดระดับลง ในที่สุดก็ละแลนดิ้งลงอย่างสวยงาม หาเรื่องที่จะปิด คำพูดที่
จะปิดการบรรยายไว้ให้ดี ซึ่งอาจจะต้องจดเอาไว้เป็นพิเศษ เพื่อคุณจะได้
ยินเสียงปรบมือกราวใหญ่ และนาน จนกระทั่งผู้ฟังเขาลุกขึ้นยืน ปรบมือ
เอาร้องบอกว่า "เอาอีก เอาอีก...." (พยายามจำบรรยากาศในงานคอนเสิร์ต
ระดับโลกไว้...) และพยายามทำให้ได้เช่นนั้น
วันนี้ ลุงมีเรื่องแค่นี้ที่อยากบอก ถ้านึกอะไรได้จะเขียนมาอีก รอฟังจากผู้รู้
และนักพูดตัวจริงเขาก็แล้วกันนะ
ขอให้โชคดี
จากคุณ |
:
ลุงแอ็ด
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ก.พ. 53 12:34:04
|
|
|
|
 |