ความคิดเห็นที่ 1   ผมว่าคุณรีบสรุปเร็วเดินไปนะครับ ว่าเขาไม่เก่งจริง รายการมีเวลาจำกัด เพียงแค่ประมาณ ชม.เดียวแค่นั้นเอง อัดรายการจริง ๆ นานกว่านั้นแน่นอน ตัดต่อออกมาแล้ว ก็ดูจะขาด ๆ ไป ผมก็คิดเหมือนกันว่า อาจารย์แกเจอของแข็งกว่ารายอื่น ๆ ที่ผ่านมา แกก็เปลี่ยนแนวคำถาม test ไล่เรื่อย ๆ sme เอง ผมว่าการบ้านยังทำมาไม่ดี หลบคำถามไปก็มี (คงจะคิดว่า แค่มาโฆษณา ลดไปได้เป็นล้าน แต่จะทำเหมือนเป็นทางผ่าน ง่าย ๆ ก็เกินไปจริงไหมครับ) คนถามคิดอะไร ต้องการเทสอะไร ยังบอกไม่ได้ง่าย ๆ หรอกครับ ลองแย่คำถามตื่น ๆ หรือ ตอบกวน ๆ อะไรไป วัดอะไรได้หลายอย่าง มากกว่า โยนกึ๋น เกทับกันซะอีก คำถามที่ว่าถ้ารายใหญ่ลงสู้จะทำยังไง คนตอบก็น่าจะคิดให้รอบด้านสิครับ ทั้งหาว่าลงมาทำแล้วจะหลบ จะสู้ยังไง ไม่ลง เพราะอะไร อนาคตจะมาไหม เพราะอะไร อุปสักในการเข้ามา ยากหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ค่าเสียโอกาส เป็นยังไง คุณกลัวคู่แข็ง ??? หรืออาจแปลได้ว่า คุณจะยืนอยู่ในฐานะผู้นำได้ยั่งยืนหรือป่าว ตอบว่ากลัว ก็ไม่ได้เสียหาย แต่กลัวเพราะอะไร สถานะตอนนี้สู้ได้ไหม อะไรยังไงก็ว่าไป ตอบว่าไม่กลัว เพราะอะไร ก็ว่าไป ถ้าอ่านเกมขาดจริง ๆ ก็ต้องตอบได้ ประเด็นคือ คิดให้รอบด้าน คิดให้หมดทุกทางที่จะเป็นไปได้ โอกาสแต่ละเหตุการ์ที่จะเกิดมากน้อยแค่ไหน กล้าเสี่ยงหรือป่าว เสี่ยงแบบไม่ตาบอดเข้ามา อะไรแบบนั้น แล้วจะแก้เกมแต่ละ step ยังไง คนที่ต่อสู้กับคู่แข่งอยู่เสมอ จะเข้าใจ ความกดดัน ที่ต้องคิดอะไร ๆ แบบนี้ ขืนไม่เข้าใจก็ ตายลูกเดียว มีบ้างที่อาจารย์สะดุดไป ผมก็เห็น ก็ถือว่าต้องประเมิน sme ใหม่อีกรอบ ผมว่าเวลามันน้อยเกินไปที่จะตัดสินอะไร เร็ว ๆ แบบนี้ สมมุติผมมีเงินให้คุณเอาไปเล่น 100 ล้าน ถ้าผมไม่แน่ใจว่าคุณทำได้ ผมจะให้คุณไหมครับ แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 01:11:44 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 01:09:57 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 00:56:54 จากคุณ : 361points (361points) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 00:53:41

ความคิดเห็นที่ 2   แต่สาวกุมภ์มองว่า  เขาเป็นตัวสร้างสีสรรให้รายการ แล้วการที่เขาพูดแบบนั้นเพื่อกดดัน  บีบคั้น  ซึ่งรายการทีวีชอบ   แล้วนักธุรกิจก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้เป็นปกติ  ไม่ดูโหดร้ายหรอก เพราะโลกธุรกิจโหดร้ายกว่านี้นัก แต่การบีบคั้น จะช่วยผลักดันให้ผู้แข่งขันแสดงศักยภาพให้คนดูเอาใจช่วย  ให้เขาได้แสดงวิศัยทัศน์  การพลิกแพลงแก้ปัญหา รายการนี้  เน้นเรื่อง ธุรกิจ  จะมาคุยเฮฮาก็ใช่ที่  ซึ่งตรงนี้อาจารย์ตอบโจทก์ข้อนี้ได้ แกจึงได้นั่งประจำ แล้วความรู้ของแกนะ  ลองดูสิคะ  แกให้แง่คิดในการทำธุรกิจที่ดีมาก  จุดที่ต้องวิเคราะห์แกก็ชี้ได้ตรงเป้า ( แม้จะดูยียวน  กดดันไปหน่อย แต่ก็สร้างสีสรรค์ดีออก ) ส่วนเรื่องยักษ์ใหญ่มากทำธุรกิจแข่ง  เราว่าถามคำถามนี้ได้ดี เพราะในทุกธุรกิจ  สมัยนี้มักมีคนสายป่านยาว ทุนหนาลงมาแข่ง  เห็นได้บ่อยครั้ง จนกลายเป็นว่า  รายเล็กตายหมด  เพราะสู้สายป่านเขาไม่ไหว อย่าง 7-11  ยี่ปั้ว  ก็เพราะปัญหานี้ไม่ใช่หรือคะ จากคุณ : สาวกุมภ์ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 00:54:50

ความคิดเห็นที่ 3   ดูอย่างกรณี เบียร์สิงค์ นะ เจอเบียร์ช้าง ขนเงินลงมาเล่นด้วย เป็นไง แทบจะล้มไม่เป็นท่าเลย กว่าจะแก้กลับมาได้ ก็เลือดสาดกันพอสมควร ครับ จากคุณ : 361points เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 01:00:52

ความคิดเห็นที่ 4   ผมเห็นด้วยกับกรรมการว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศพร้อมกัน อาจด้วยเงินทุนหรือประสบการณ์หรืออะไรก็ตาม และการรุกตลาดเมืองไทยจะเป็นการตัดโอกาสการรุกตลาดต่างประเทศทั้งที่มูลค่าตลาดต่างกันมาก ดูจากการตอบคำถาม ผมว่า sme มั่นใจในตัวเองมากไป โดยแทบไม่ได้คิดหรือรับฟังความเห็นของกรรมการเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการที่รายใหญ่จะทุ่มตลาดเข้ามา เพราะตอนนี้ถ้านับเรื่องผักอบแห้งในตลาดต่างประเทศมีแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้เอามากินเป็นของว่างเท่านั้น คิดว่าที่ อ. ธันยวัชร์ ให้ผ่านก็เพราะเห็นความเป็นไปได้ของตลาดต่างประเทศมากกว่า(ก็อย่างที่ อ. ว่า มูลค่าตลาดอาหารสุขภาพในต่างประเทศมหาศาลมาก แค่ขยายให้ได้ 100 ล้านน่ะ จิ๊บ ๆ ) จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 02:27:36

ความคิดเห็นที่ 5   ป.ล.อยากให้โก๋แก่ลงมาทุ่มตลาดนี้เสียจริง เครื่องจักร+โรงงาน+คนงานก็มีแล้ว แบรนด์ก็มีแล้ว ช่องการตลาดก็มีแล้ว ทุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เทคโนโลยีการปรุงกลิ่นและรสก็ต่อยอดเอาจากโก๋แก่ที่ทำอยู่(และผมว่าน่าจะทำได้ดีกว่าเพราะประสบการณ์มากกว่า) รับรองว่าเราจะได้เห็น sme เทกระจาดแน่นอน จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 02:34:49

ความคิดเห็นที่ 6   ผมไปดูวันนั้นด้วย (จริงๆไปทุกครั้งแหละ เพราะต้องเอาเรื่อง SME ที่ออกรายการไปเขียนสกู๊ป) ถ้าดูดีๆรายการจะไม่ปะติดปะต่อ เพราะตัดออกไปเยอะ ผู้ชมจะไม่ได้ภาพรวม ผมตอบคำถามคุณก่อนก็แล้วกันเกี่ยวกับคำถามของ อ.ธันยวัชร์(ซึ่งคุณเขียนผิดอ่ะ) ผมคิดว่าการที่ อ.บอกว่า Green Day เลือกทำผลิตภัณฑ์ที่คู่แข่งไม่ทำเพราะกลัวคู่แข่งนั้น เพราะจริงๆเขาบอกในตอนอัดเทปว่าสินค้าที่เขาทำนั้น บริษัทอื่นก็ทำได้ เขาจึงต้องฉีกหนี แสดงให้เห็นว่าเขากำหนดกลยุทธ์แบบ Competitor_based Strategies คือเอาคู่แข่งเป็นหลัก ทำอะไรที่คู่แข่งทำไม่ได้ เพื่อจะเกิด temporary monopoly  จะได้ครองตลาดนั้นแต่เพียงผู้เดียว แต่จริงๆในธุรกิจนี้มันคือ Commodity ใครก็สามารถทำได้ทั้งนั้น GreenDay ไม่ได้มีอะไรที่วิเศษกว่าคนอื่น ซึ่งโก๋แก่รู้ดี การผูกขาดเกิดในช่วงสั้น รายใหญ่จ้องอยู่ โดยให้เราสร้างตลาดไปก่อน ซึ่งกลยุทธ์นี้ผมคิดว่ามันเกิดจากความกลัว จึงพยายามวิ่งหนี ถ้ามันดี รายใหญ่ก็มองว่าเราทำ R&D และ Market Test ไปโดยปริยาย ดังนั่้นกลยุทธ์ที่ดีจึงควรให้เอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง หรือ customer_based strategies คือเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง จากนั้นสร้าง Value Chain ของความได้เปรียบหลายประการ หรือพูดง่ายๆก็คือถ้าลูกค้าเห็นผลิตภัณฑ์ของเรามี Value ก็จง Focus ในผลิตภัณฑ์นั้นและสร้างป้อมปราการกีดขวางไม่ให้คู่แข่งก๊อปได้ โดยสร้าง Value Chain ของความได้เปรียบหลายประการ หรือต่อยอดออกไป  ไม่ต้องไปสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างโดยที่ลูกค้าอาจจะไม่เอา ซึ่งก็คือการเริ่มต้นใหม่ เมื่อลูกค้าติด คู่แข่งที่แบรนด์ใหญ่กว่าอาจเข้ามาฮุบตลาดได้ เว้นเสียแต่ว่าแบรนด์จะแข็งมากๆ ลูกค่้าอาจเกิด Brand Loyalty ซึ่ง GD ยังไม่ถึงขั้นนั้น จากคุณ : ฟ่านหลี่ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 03:53:13

ความคิดเห็นที่ 7   แกมักจะตั้งสมมติฐานตลอดว่า ถ้ารายใหญ่ลงมาทำ คุณจะทำไง (และแกจะมีคำตอบในใจตลอดว่า ถ้ารายใหญ่ลงมาปุ๊บ คุณต้องเจ๊ง) ผมถามคุณหน่อยว่าหนึ่งในสาเหตุที่ SME เจ๊งคืออะไร ไม่ใช่เพราะรายใหญ่ที่ทุนหนากว่า ทรัพยากรมากกว่า ลงมาตีตลาด และฮุบตลาดไปหรือ สาวกุมยกตัวอย่าง 7-11 ได้ดี อีกตย.นึง เซ็นทรัลลงมาทำร้านไทวัสดุ ซึ่งเป็น Modern Trade ของร้านวัสดุก่อสร้างทำเอาโชห่วยวัสดุก่อสร้างตายระนาวเลย หรือการที่ 711 ลงมาทำข้าวกล่องขาย ราคา 29 บาทอย่างที่โฆษณาในทีวีจะกระทบกับร้านกับข้าวโชห่วยที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่อร่อย ไม่สะอาดไหม  711 มีของกินขายทุกอย่าง ขนมจีบ ซาละเปา ลูกชิ้น หมูสะเต๊ะ ถ้าคุณไม่มีจุดเด่นเลยจะอยู่ได้ไหม หรือการที่กลุ่มเจริญจะลงมาทำอพาร์ตเม้นท์ราคาห้องละ 3000 บาท รายย่อยจะแข่งอย่างไร ถ้าอยู่ในบริเวณเดียวกันและมีดีมานด์จำกัด ทุกวันนี้รายใหญ่ทุนลงมาทำหมดจน SME แทบไม่เหลือพื้นที่ยืน ยกเว้น Product จะมี่ความแตกต่างและมีคุณค่าที่ผู้บริโภคต้องการจริงๆ ขณะเดียวกันรายเล็กที่เก่งๆและมีกลยุทธ์ดีและรอดก็ไปใหญ่ได้ เช่น บิวติดริงค์ ที่ขายใน 711 อย่างเดียวและชนะอมิโนโอเคและบีอิ้ง จนขณะนี้สามารถโฆษณาและชิงรางวัลถึง 20 ล้านบาทได้ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นที่อ.อยากให้ GD ตอบ เพราะตลาด Healthy Snack ใหญ่มากเกินกว่า GD จะครอบครองได้ อีกอย่างการถามเรื่องคู่แข่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะธุรกิจก็คือการแข่งขัน ไม่ถามเรื่องนี้สิแปลก แต่การไม่ตอบคำถามเรื่องนี้แสดงว่าเขาตีไม่แตกอ่ะ เช่น การตอบว่าคู่แข่งกลัวผม มันเป็นเพียงแค่การเล่นคำเท่านั้น หาใช่วิสัยของผู้ประกอบการที่ต้องพยายามแก้ปัญหา แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 04:12:16 จากคุณ : ฟ่านหลี่ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 04:07:40

ความคิดเห็นที่ 8   Wow.. กระทู้ดี มีประโยชน์  คุณฟ่านหลี่ ตอบได้เคลียร์ดีมากเลย อีกอย่างผมว่า อาจารย์เป็นตัวเรียกเรทติ้งรายการ ได้ดีทีเดียว (คงตั้งใจตัดต่อให้ดูแร๊งงง) แต่เทปนี้ผมไม่ได้ดู -_-" จากคุณ : เผ็ดกลาง เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 05:06:24

ความคิดเห็นที่ 9   ไม่เคยดูเลยครับ ดีหรอรายการนี้ ช่องอะไรครับ กี่โมง จากคุณ : คนหลังเขา (Dr. Will) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 07:06:28

ความคิดเห็นที่ 10   ตัวอย่างที่ SME ควรศึกษาเป็นต้น แบบ  เช่น  เถ้าแก่น้อย บิวตี้คริ้ง นารายา เป็นต้น   ทั้งหมดสามารถเอาตัวรอดจากBig Brand จนกลายเป็น Big Brand ในปัจจุบัน   ส่วนเรื่อง อ.ธันยวัชร์   ผมว่าอาจารย์เป็นหัวใจของรายการSMEตีแตกไปแล้ว เหมือนชิงร้อยชิงล้าน ต้องมีพวกสามช่า   ผมว่ารายการนี้จะทำให้อาจารย์เป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกในไม่ช้า    ส่วนตัวชอบฟังรายการ business connection 96.5 ของอาจารย์ (อ.ธันยวัชร์ ชอบแย่งคุณโกวิท พูด ประมาณว่าคิดออกแล้วต้องพูดเลย เดี๋ยวลืม) จากคุณ : scob1207 เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 07:08:51

ความคิดเห็นที่ 11   ไม่ได้ดูรายการนี้ครับ แค่อยากเสนอความเห็น SME แต่ละธุรกิจและแต่ละประเทศมีลักษณะไม่เหมือนกัน มีกลุ่มที่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก กลับมาบริหาร SME ตามหลักการธุรกิจสากล เจ๊งไปเยอะแล้วครับ รายละเอียดมันเยอะมาก คำถามที่ดูไร้สาระกว่านี้ ถ้าผู้บริหารตอบไม่ได้ ก็เป็นสาเหตุให้ธุรกิจเจ๊งได้เหมือนกัน ส่วนคำถามที่ว่า "ถ้ารายใหญ่ลงมาเล่นในตลาด" ผมว่าเป็นคำถามที่ทุกธุรกิจที่อยากโต ต้องตอบให้ได้ เพราะเมื่อตลาดใหญ่ขึ้น ยังไงก็ต้องมีคู่แข่งรายใหญ่โผล่ออกมา การเตรียมรับมือไว้เป็นสิ่งควรทำอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่อยากโต ทำก๊อกแก็กไปวันๆ คำถามนี้ ไม่ต้องหาคำตอบครับ เครียดเปล่าๆ จากคุณ : Jiang wei เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 09:44:03

ความคิดเห็นที่ 12   แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 14:14:34 จากคุณ : ดักคอยแล เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 14:13:37

ความคิดเห็นที่ 13   พอเค้าบอกว่า เลือกทำผลิตภัณฑ์ที่คู่แข่งไม่ทำ แกก็บอกว่า เขากลัวคู่แข่ง จริง พอเค้าอธิบายว่า เป็นการสร้างความแตกต่าง แกก็ย้ำอีกว่า เขากลัวคู่แข่ง จริง แกพูดคำว่าเขากลัวคู่แข่ง 4 ครั้ง ซึ่ง จริง ทั้งหมด จากคุณ : ดักคอยแล (ดักคอยแล) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 14:13:51

ความคิดเห็นที่ 14   ได้ชมอยู่ด้วยครับ เป็นรายการดีมากๆ ได้วิชาความรู้ + สาระ + บันเทิงดี สนุก รายการคงมีการตัดต่อตามบทบ้าง มีช่วงเด็ดๆ มันๆ + ตามสคิปบ้าง เพื่อให้ได้รสชาด ที่สำคัญต้องบันเทิงครับและแฝงความสะใจและการมีส่วนร่วมของผู้ชม ส่วนกลุ่มผู้ชมอาจสูงวัยซักนิด  จริงจังไปเดี๋ยวจะแก่เร็วนะครับ ชมกันสบายๆ ครับ ** ผมว่า การทำตลาด ขนมคบเคี้ยว ถ้ามาแนวๆ เถ้าแก่น้อย เป็นทางที่ชัดเจนครับ ** แอบดีใจครับ มีคนไทยเก่งๆ ที่หลากหลายความคิดเห็น ช่วยกันคิด+ทำ ช่วยกันพัฒนาอาชีพเกษตรและสาขาอื่นๆ ของไทยเราเอง ที่สามารถนำวัตถุดิบของไทยมาทำตลาด ไม่ต้องนำเข้าจากเมืองนอก ...ไม่ได้ว่าใครนะเนี๊ยะ..... อยากให้เถ้าแก่น้อยมาลุยตลาดนี้บ้างจัง ..ผักไทย ผลไม้ไทย จากคุณ : woodtate เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 14:52:20

ความคิดเห็นที่ 15   แกเก่งทั้งการตลาดและมายา.......แบบนี้ ปัญญาชอบ ถ้าเป็นแบบผู้บริหารกสิกร ปัญญาคงไม่ถูกใจเท่าไหร่ ..............เอาความรู้และแอคติ้งมาทำรายการ.............. จากคุณ : ผู้คงแก่เรียน เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 23:27:13

ความคิดเห็นที่ 16   คห.13 ผมว่าที่อ.ธันยวัชร์ พูดย้ำถึง 3 ครั้ง ก็เพราะว่าผู้ประกอบการตอบไม่ตรงคำถาม จริงๆเขาบอกในรายการเองด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาเขาถูกผู้ประกอบการรายอื่นก๊อปปี้ อ.ธันยวัชร์​จึงถามว่าที่ออกรสต้มยำก็เพราะ "คุณกลัวคู่แข่ง(ก๊อปปี้)" ซึ่งด้วยทิฐิ เขาก็ตอบว่า "ผมสร้างความแตกต่าง" จริงๆการสร้างความแตกต่างในการทำธุรกิจนั้น จำเป็นแต่ไม่เพียงพอ เมื่อคุณฉีกไปทำของใหม่แล้วเกิด คู่่แข่งขันสามารถก๊อปได้ทันที่ แม้จะเป็นต้มยำก็ตาม เพราะจ้างผลิตได้ เนื่องจากไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรซับซ้อนและไม่ได้มี R&D  ที่พิสดาร ดังนั้นการฉีกหนีในลักษณะนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย แต่สุดท้ายจะเหนื่อยตาย เพราะ SME จะกลายเป็นหนูทดลองยาไปในที่สุด  ตราบใดที่ GD ยังไม่สามารถสร้างแบรนด์ได้อย่างเถ้าแก่น้อยได้ ตราบนั้นการออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ฉีกไปเรื่อยๆ จะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย กรรมการต้องการให้ GD ตอบคำถามตรงนี้ต่าง มากกว่าจะพูดกว้างๆว่าผมสร้างความแตกต่าง  หรือย้อนว่า "คู่แข่งกลัวผม" แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 53 04:04:55 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 53 04:01:16 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 53 04:00:43 จากคุณ : ฟ่านหลี่ เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 04:00:22

ความคิดเห็นที่ 17   เห็นชื่อของ จขกท. "ด้วยความเคารพ" ทำให้นึกถึงคำว่า "เคารพ" จากพจนานุกรม อ.คึกฤทธิ์  ปราโมช ที่บอกว่า เคารพ ก. การแสดงต่อหน้าว่านับถือ แต่ลับหลังก็ด่าให้ จากคุณ : ฟ่านหลี่ เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 04:07:08

ความคิดเห็นที่ 18   ผมไม่เถียงว่า ธันยวัดสามารถอ้างหลักการตลาดได้อย่างมากมาย แต่ผมว่า แกติดอยู่กับตำราจนเกินไป พอ Greenday มีแผนจะทำอะไรบางอย่างนอกตำรา แกก็จะลากเข้าตำราให้ได้ (คิดเล่นๆ ว่า ต่อให้เอาเสี่ยเจริญ เสี่ยเฉลียว คุณตัน มา แต่ถ้าตอบไม่ตรงตำรา แกก็คงให้ไม่แตก) สังเกตนะครับ เปรียบเทียบกับรายการ เกมกลยุทธ ของโอสถสภา เขาเอา พวกท่องตำรา (ส่วนใหญ่เป็น นศ. หรือทำงานไม่กี่ปี) มาแข่ง แล้วให้ ผู้มีประสบการณ์ มาตัดสิน ซึ่งพอ ผู้เข้าแข่งขันคิดแผนอะไรที่ดูเหมือนดี แต่จริงๆ ไม่เวิร์ค กรรมการก็จะชี้ ซึ่งเราก็จะเชื่อ เพราะกรรมการเคยผ่านมาแล้ว แต่ SME ตีแตก เอา ผู้มีประสบการณ์ มาแข่ง แล้วให้ พวกท่องตำรา มาตัดสิน (ผมหมายถึงธันยวัดคนเดียว อีกสองคนล้วนมีประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจมาก่อน) พอผู้มีประสบการณ์บอกถึงวิธีปฏิบัติจากที่ผ่านประสบการณ์ลองผิดลองถูกมาแล้ว ธันยวัดก็อ้างตำรา (ส่วนใหญ่ตำราฝรั่งด้วย) แล้วอย่างนี้ ผมควรจะเชื่อใครดีครับ ประเด็นรายใหญ่เข้าตลาด ผมตามดูหลายครั้ง การซักของแกจะเป็นอย่างนี้ครับ SME : เรามี know how ที่ดีกว่า ธันยวัด :เขามีเงิน สร้างทีม R&D แป๊บเดียวก็ตามคุณทัน SME : เรารู้จักผู้บริโภคมากกว่า ธันยวัด : เขามีเงิน ทำ research แป๊บเดียวก็รู้หมด SME : เรามี connection กับ supplier ที่เหนียวแน่น ธันยวัด : เขามีเงิน เดี๋ยว supplier ก็เปลี่ยนใจได้ คือความคิดของแก ทุกอย่างแพ้เงินของรายใหญ่ครับ (ไม่เชื่อสังเกตดูเทปต่อๆ ไปได้ สไตล์นี้ตลอด) ผมถึงบอกไง อย่างนี้เอานักศึกษามานั่งถามก็ได้ แล้วพอ Greenday บอกว่าอยากให้ธันยวัดลองมาทำธุรกิจดูบ้าง แกก็อ้างตัวแกคือ มูรินโญ่ ที่ไม่เคยเป็นนักฟุตบอล แต่เป็นโค้ชที่เก่งมาก ตรงนี้แกพลาดหลายอย่าง คือ 1. มูรินโญ่เคยเป็นนักฟุตบอลครับ เป็นในระดับเยาวชน (Graduating to the senior level, he played at Rio Ave, where his father was coach, Belenenses and Sesimbra - Wikipedia) แต่พอเห็นว่าไม่รุ่ง ก็เลยมาเป็นโค้ชดีกว่า 2. โค้ชฟุตบอลเก่งๆ เกือบทั้งหมด ต้องเคยเล่นฟุตบอลมาแล้วทั้งนั้น ประเภทไม่เคยลงสนามเลยแล้วเป็นโค้ช มีน้อยมาก (จาก profile แกไม่เคยทำงานด้านการตลาดเลย (พูดง่ายๆ ไม่เคยขายของซักชิ้นเดียว) ถ้าเปรียบเทียบ ก็เป็นโค้ชที่เตะบอลไม่เป็นนั่นแหละ ซึ่งมีน้อยมาก) 3. แกเปรียบเทียบตัวเองเป็นโค้ชฟุตบอล ผมว่าไม่ถูก ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ครับ นักฟุตบอล = คนทำงานด้านการตลาด โค้ช = ที่ปรึกษาด้านการตลาด คนพากย์บอล = นักวิชาการด้านการตลาด ดังนั้น แกเป็นได้อย่างมากก็นักพากย์นั่นแหละ เปรียบเทียบอย่างนี้ดีกว่า คือในรายการ SME ตีแตกนั้น SME = ผู้กำกับหนังสั้น มาขอทุนทำหนังใหญ่ กรรมการกสิกร = ค่ายหนัง (ผู้อนุมัติเงินในการสร้างหนัง) ผู้เชี่ยวชาญอีกคน = ผู้กำกับหนังที่มีประสบการณ์ ธันยวัด = นักวิจารณ์หนัง ที่เปรียบกับนักวิจารณ์หนังก็เพราะ นักวิจารณ์นั้นเป็นอะไรที่ห่างไกลจากผู้บริโภคมากที่สุดแล้ว สังเกตหนังเรื่องไหนนักวิจารณ์บอกดี คนดูมักไม่ดู และในทางกลับกันก็เช่นเดียวกัน (และผู้กำกับก็มักจะท้านักวิจารณ์มาทำหนังอยู่บ่อยๆ ด้วย) ที่เขียนมายืดยาวไม่ใช่อะไร กลัวว่าคนดูจะเข้าใจว่าแกเก่งแบบใช้การได้จริงๆ โอเคครับ เก่ง แต่เก่งในตำรา ลีลาอาจจะดี แต่นั่นมันคนละเรื่องกันครับ แนะนำว่าเวิร์คพอยท์ควรจะเปลี่ยน คือกรรมการ 3 คนมาจากคนที่เคยทำธุรกิจมาทั้งหมด (ผมรวมคนเคแบงค์ด้วย เพราะตัดสินใจกับ SME และเงินทุนจริงๆ มาเยอะ) ร่วมกันโหวตแตกไม่แตก แต่คงธันยวัดไว้เรียกแขก แต่ไม่มีสิทธิ์โหวต อย่างนี้ผมว่าดีที่สุด จากคุณ : ด้วยความเคารพ เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 04:08:34 A:119.31.54.56 X: TicketID:259408

ความคิดเห็นที่ 19   ที่ อ. แกพูดก็ถูกนะครับ ถ้าสร้างแบรนรอยัลตี๊ไม่ได้ก็แพ้เงินกันทั้งนั้นล่ะครับ จากคุณ : Jump.Jr เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 08:54:31

ความคิดเห็นที่ 20   ดูจากชื่อและคอนเซ็บรายการว่า SME ตีแตก ก็คือ SME ต้องตีโจทย์ให้แตก ว่าถ้าเกิดปัญหาแต่ละแบบขึ้นจะแก้ปัญหาอย่างไร วิทยากรก็ตั้งคำถามสมมติเหตุการณ์ให้แล้ว ผู้ร่วมรายการมีหน้าที่ตอบปัญหาแก้ปัญหา ถ้าตอบไม่ได้ หรือตอบผิดทาง ก็คือตีโจทย์ไม่แตกแก้ปัญหาผิดทาง ในโลกความเป็นจริงทางธุรกิจ อาจทำให้ธุรกิจล้มเหลวได้เลยนะครับ จากคุณ : <SportivO> เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 09:30:25

ความคิดเห็นที่ 21   ในความเห็นส่วนตัวของผมนะ ถ้าพวกเราในฐานะผู้ชมดูออกว่าอาจารย์ธันยวัชร์มีบางอย่างน่าสงสัย (Questionable) จริง ผู้จัดรายการ รวมทั้งผู้สนับสนุนหลักก็ย่อมจะรู้เหมือนกัน แต่คงจะเป็นประเด็นเดียวกับ คคห. บนๆ นะครับ เรื่องลีลาและภูมิความรู้ของแก อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมรายการต้องเชิญมา อาจารย์ท่านนี้ทำงานด้านสื่อเป็นหลักนะครับ เท่าที่ผมเห็น พวกหนังสือพิมพ์ แม๊กกาซีน และจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ด้านธุรกิจ-การตลาด ถึงแม้จะเป็นอาจารยพิเศษด้วย แต่ผมไม่คิดว่าเป็นแนว academic จริงๆ ไม่เหมือนกับอาจารย์ประจำตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ดังนั้นประสบการณ์ที่ผ่านมาส่วนใหญ่น่าจะเป็นการนำ case study คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งได้จากข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง จากการทำวิจัย(เชิงธุรกิจ) การสัมภาษณ์ แล้วจึงมาเขียนเป็นบทความ ซึ่งไม่ถือเป็นบทความทางวิชาการ ใช้อ้างอิงไม่ได้ สมมติเช่น แม็กกาซีนทางการตลาดเล่มหนึ่ง ซึ่งผมถือว่าเป็นเพียงบทความข่าว ที่มุ่งเน้นให้ข้อมูลว่าใครทำอะไรที่ไหน โดยมีความเห็นของผู้เขียนบทความแทรกเข้าไปเพียงเล็กน้อย เรื่องความสามารถเราอาจจะต้องสงสัยต่อไปครับ แต่เรื่องความเหมาะสมนั้น แกอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ก็ได้ จากคุณ : nungning เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 14:05:57

ความคิดเห็นที่ 22   ยังไม่ว่างดูสักตอน โดยส่วนตัว เวลานั่งคุยกับอ.ธันยวัชร์ บางความคิดของเขาผมก็ชอบ บางความคิดผมก็ไม่ชอบ อย่างนึงที่ชอบ คือเขาพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยหลักการ การซักประเด็นรายใหญ่เข้าตลาด เป็นผม ถ้าSMEบอกแบบนี้ ผมก็ตีแบบเดียวกันกับคุณธันยวัชร์ อย่างที่คห.18บอกครับ เอานักศึกษามาถามแบบเดียวกันก็ได้ เป็นคำถามพื้นๆ ที่SMEต้องตอบให้ได้ ถ้าคิดจะอยู่รอดในธุรกิจ คห.ที่6 หยิบประเด็นสำคัญของธุรกิจนี้ รวมถึงยกประเด็นกลยุทธ์ของSMEได้ถูกแล้ว ธุรกิจนี้คือสินค้าCommodity R&Dแปปเดียวก็ทัน ขอเวลาไม่นานก็รู้จักผู้บริโภคเหมือนกัน Supplier ถ้ามีคนให้เงินเพิ่ม ก็เพิ่มกำลังผลิตได้ Competitor based strategy ใช้ได้ผลจริง แค่ชั่วขณะที่คู่แข่งยังไม่ปรับตัว ใครๆก็อยากรวย พร้อมที่กระโดดเข้ามาเล่นในตลาดถ้ามันคุ้ม โรตีบอยเป็นตัวอย่างของความล้มเหลว มาเร็ว เคลมเร็ว ไปเร็ว ถ้าถามว่า ถ้ามันน่าจะดีแล้วทำไมรายใหญ่ถึงไม่เข้ามาเล่น ไม่ใช่เพราะกลัวSME แต่เป็นเรา จะเอากำลังไปทุ่มขยายตลาดใหญ่ หรือจะลงมาแย่งตลาดเล็กๆ ปล่อยSMEขยายตลาดไปก่อนก็ได้ มูลค่าตลาดดูว่าจะคุ้มเมื่อไร ค่อยทุ่มเงินมากวาดตลาดก็ได้ แพงกว่า แต่สบายใจกว่า การที่เอาทฤษฎีเข้ามาอธิบาย อาจจะดูไม่น่าเชื่อถือเท่ากับให้คนมีประสบการณ์ตัดสิน ทฤษฎีต่างๆเกิดจากการสังเกต รวบรวมสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลายๆที่ แล้วสรุปออกมา ฟังทฤษฎีไว้บ้าง กรอบความคิดเราจะกว้างขึ้นครับ อย่างน้อยก็จะได้ระวังในจุดที่คนอื่นพลาดมาแล้ว ไม่ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย ส่วนตัวเวลาคุยกับอาจารย์ ผมก็ไม่ชอบการลากเข้าทฤษฎีของเขา แต่ก็ยอมรับได้ บางทีก็ได้ความรู้เตือนตัวเอง เฮ้ย เราอย่าเพิ่งตื่นเต้นอะไรมากไป มีคนเขาทำมาแล้ว และต้องระวังจุดนี้จุดนี้ ไปหากรณีศึกษาเพิ่มได้ตามที่อาจารย์บอก ความชอบไม่ชอบส่วนตัวเรื่องหนึ่ง การเปิดกว้างทางความคิดแล้วนำทุกอย่างมาทำประโยชน์เรื่องหนึ่งครับ สุดท้ายละ ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการคนหนึ่งที่ผ่านมาอ่านที่ผมเขียน แล้วตอบคำถามในรายการไม่ได้ อย่าเพิ่งตกใจว่ากิจการเราแย่แล้ว ทักษะของผู้บริหาร - ต้องอธิบายได้ ต้องทำตามที่ตกลงกันให้สำเร็จ ทักษะของผู้ประกอบการ - อาจจะอธิบายไม่ได้ ตัดสินใจให้ถูกละกัน บางทีคุณอาจจะอธิบายสิ่งที่คุณทำไม่ได้ ทำตามสัญชาตญาณและข้อมูลที่ได้มามันก็สำเร็จเรื่อยๆ ให้ผู้บริหารหรือนักวิชาการเขาอธิบายความสำเร็จของคุณแทนแล้วกัน ระวังอย่างเดียว ถ่อมตัวเข้าไว้ เจ้าสัวเทียมเป็นต้น ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จครับ แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 53 18:00:20 จากคุณ : numnumnum1 เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 17:59:52

ความคิดเห็นที่ 23   จขกท. ใช่ชื่อว่า ด้วยความเคารพ แท้ที่จริง พูดอย่างทำอย่าง แค่เขียนชื่อ ธันยวัชร์ ก็ผิดเสียแล้ว ทั้งที่คนอื่นก็เขียนถูกให้เห็นแล้ว การอธิบายความก็ยังเอาสีข้างเข้าแถ แถมยังเป็นบัครผ่านซะอีก ถือว่ามีเลศนัย ผู้อื่นอธิบายความก็ยังไม่ยอมรับ จขกท. ถือว่ามีอคติโดยแท้ ป่วยการที่จะเขียนตอบคนประเภทนี้ เขียนเหมือนขี้แพ้ชวนตี แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 01:12:35 จากคุณ : ฟ่านหลี่ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:11:57

ความคิดเห็นที่ 24   คุณฟ่านหลี่ - คำว่า "ด้วยความเคารพ" สมัยนี้ ความหมายมันไม่ตรงตามตัวอักษรหรอก สังเกตพวกพิธีกรรายการทีวีได้ ผมใช้ในความหมายนี้ (แสดงว่าคุณไม่ค่อยตามสื่อ) - "สีข้างเข้าแถ" คงหมายถึง เห็นไม่ตรงกับคุณ ผมพยายามเข้าใจคุณนะ - "ผู้อื่นอธิบายก็ยังไม่ยอมรับ" สงสัยจะอ่านไม่ละเอียดที่ผมเขียนว่า "โอเคครับ เก่ง แต่เก่งในตำรา ลีลาอาจจะดี แต่นั่นมันคนละเรื่องกันครับ" อ่านโดยรวมๆ คุณไม่เห็นพูดถึงข้อดีของ ธ. ที่เป็นประเด็นของกระทู้นี้เลย สันนิษฐานว่าหาไม่ได้ ถ้างั้น ใครล่ะที่ ขี้แพ้ชวนตี มากกว่ากัน เพิ่มเติมประเด็นนะครับ ไปดูรายการประเภทที่มีผู้เข้าแข่งขัน แล้วมีกรรมการตัดสิน 3 คนทุกรายการเลยครับ (American Idol, British got talent, AF, The Star, ชุมทางเสียงทอง ฯลฯ) ทุกรายการล้วนเอา "ผู้มีประสบการณ์" มาทั้ง 3 คน ไม่มีรายการไหนเอา "นักวิชาการ" มาตัดสินเลย จากคุณ : ด้วยความเคารพ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 12:55:44 A:119.31.16.232 X: TicketID:259408

ความคิดเห็นที่ 25   avatar หนังทำเงินสูงสุด Hurt locker หนังยอดเยี่ยม บางที หนังยอดเยี่ยมในสายตาคนตัดสิน อาจจะทำเงินได้ ไม่สูงก็ ได้ จริง ไหม จากคุณ : beetan เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:11:45

ความคิดเห็นที่ 26   ผมว่าตัวรายการ ควรจะปรับปรุง ให้เคลียร์กว่านี้ คนที่ดู ก็คือผู้บริโภค ถ้าผู้บริโภคมีเสียงบ่นมา แปลว่ารายการให้ความรู้ หรือไขข้อข้องใจของคนดูไม่ชัดเจน ฝ่ายคนดู ก็ต้องดูอย่างมีสติครับ อย่าพึ่งเชื่อไม่ซะทั้งหมด อย่าพึ่งตัดสินหรือสรุป อะไรเร็ว ๆ คนส่วนใหญ่ในประเทศเรา ยังไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจในจำนวนที่มากพอ ที่รายการจะพูดง่าย ๆ แล้วก็ผ่านไป คุณฟ่านลี่ ครับ ผมชอบในคอมเม้นของคุณนะครับ ได้ความรู้แยะเลยครับ แต่คุณกำลังเหมือนจะ เอาตัว product เป็นที่ตั้งเกินไปนะครับ คุณคงเข้าใจคำว่า product push กับ product pull นะครับ ถ้ารายการไม่ต้องการกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งก็คือชาวบ้านทั่วไป (ซึ่งผมว่าก็มากอยู่พอสมควร ที่จะทำให้รายการอยู่ได้) ก็ไม่ต้องอธิบายมากก็ได้ครับ ผมว่าประเด็นของกระืูทู้นี้คือ การนำเสนอของการราย มากกว่า ประเด็นของความถูกต้อง นะครับ ผมไม่ได้บอกว่าคุณฟ่านลี่ต้องรับผิดชอบนะครับ แต่ผมว่ามันหลงประเด็นมากกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 21:01:04 จากคุณ : 361points เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 20:57:07

ความคิดเห็นที่ 27   จาก คห.18 ทุกคำถาม เป็นคำถามที่ sme ต้องตอบให้ได้นะครับ ว่าจะจัดการกับปัญหาเจ้าใหญ่ลงมาเล่นด้วยยังไง จะคิดทำอะไรโดยดูตาม้าตาเรือก็ดูจะ มองโลกในแง่ดีเดินไปครับ อาจารย์แกพยายามจะถามคำถามประเภท ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เนี่ย จะทำยังไง ดูได้จากหลาย ๆ คำถาม ออกมาแนวร้ายที่สุดหมดเลย sme เอง ผมว่า ก็คงไม่อยากจะบอกรายละเอียดมาก เพราะอาาจะถือเป็นไพ่ตายของตัวเองก็เป็นได้ (ซึ่งก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าไพ่เด็ดหรือไม่เด็ด แต่มันอาจจะเป็นไม้ตายของเขาที่มีก็ได้) มาออกรายการก็มีทั้งข้อดีและเสีย อันนี้อาจเป็นสเหตุให้บางครั้งก็ แถไปบ้าง ผมว่า ถ้ามองจากจุดยืนของทั้งสองฝ่าย ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน มันล้วงลูกถึงวิธีการทำมากเกินไป ไม่ว่ายังไงสุดท้ายก็ ตีแตก แต่ไม่ได้แตกในแง่กลยุทธ์ ที่มันแตก ก็เพราะว่า มันแตกเองโดยธรรมชาติของธุรกิจ ที่ไม่ได้อยู่ในจุดที่อิ่มตัว ถ้าตั้งเป้าหมายไม่สูงเกินไป มองดูความเป็นไปได้ จากสายตาของผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็จะสรุปได้ว่าแตกหรือไม่แตก ถ้าดูจากกราฟ จุดเริ่มต้น -ขาขึ้น - และอิ่มตัว ผมว่ากรรมการคงจะมองเห็นว่ามันอยู่ในช่วงขาขึ้นมากกว่า ก็ให้แตกไว้แล้วในใจ ถ้าเป้านั้นสมเหตุสมผลกับความสามารถขององค์กร (อย่างพวกปัจจัยภายในอะไรหลาย ๆอย่าง ทั่วไปขององค์กร) ถามคำถามอื่น ๆ ประกอบ ให้แน่ใจอีกที สุดท้าย ประเด็นมันก็มา Focus อยู่ที่ตัวกรรมการ จะเป็นเพราะ รายการมักจะจับกล้องไปเสมอ ๆ หรือ อาจารย์แจกโดยบุคลิคแล้วมักจะดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว ก็กลายเป็นเป้าใหญ่ไป ในเมื่ออาจารย์เป็นจุดเด่น จุดขายของรายการ การบ้านตรงนี้ผมว่าเป็นงานของ workpoint ที่ต้องดูให้ดีทีเดียวเลยนะครับ ในขณะเดียวกัน กรรมการก็มี 3 คน 2 คน คือคนที่ผ่านของจริงมา + 1 คนนักการตลาด (แต่คนนี้ มักจะกระหน่ำคำถามใส่) กติกาคือ ทำให้แตก 2 ใน 3 จะวางกลยุทธ์ยังให้ได้อย่างน้อย 2 เสียง และโปรโมท ภาพลักษณ์ของ sme ไปด้วยในตัว แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 22:43:28 จากคุณ : 361points เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:41:55

ความคิดเห็นที่ 28   ขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องประเด็น เจ้าใหญ่ลงมาในตลาด ประเด็นที่ผมชี้ล่าสุด ไม่ได้อยู่ตรงที่ ความเป็นไปได้ของการที่เจ้าใหญ่ลงมาแข่ง แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ ธ. แกจะให้เจ้าใหญ่ชนะตลอด ไม่ว่า SME จะตอบอย่างไรก็ตาม ซึ่งในชีวิตจริง มันไม่ใช่สูตรสำเร็จขนาดนั้น แต่ ธ. แกไม่รู้ไง ว่าเจ้าเล็กจะชนะเจ้าใหญ่แบบไม่ใช้เงินแข่ง ทำยังไง แกก็เลยอ้าง "เงินเยอะายกหูถามอย่างนั้น เค้าไม่ take คุณ serious หรอก (คือถ้านำคำปรึกษาไปทำแล้วเจ๊ง เค้าคงไม่มาด่าคุณ และคุณก็คงไม่ต้องรับผิดชอบอะไร) จะว่าไป ธ.อาจจะเหมือนหมอกฤษ confirm แห่งวงการการตลาดก็ได้ คารมดี character เด่น แต่เอาจริง คงไม่มีคนบอกว่าหมอกฤษเป็นหมอดูที่ดูแม่นนะครับ ดังนั้น ไม่เถียงครับว่ามีภูมิรู้เยอะ แต่จะเอาแค่คนที่มีภูมิรู้ มาตัดสินคนที่มีทั้งภูมิรู้ (ผมว่าผู้ประกอบการสมัยนี้ เรียน MBA เป็นเรื่องปกติ) และประสบการณ์ด้วย ผมว่าเกินไป และทำให้ผู้ชมได้ภูมิปัญญาที่ไม่สมบูรณ์ด้วย สุดท้าย เห็น ธ. พยายามแขวะเรื่อง การยอมรับความคิดเห็น ของ SME (ทั้งในกระทู้นี้ กับในรายการวิทยุ) คำถามคือ คุณทำแบบนั้นให้เขาเห็นเป็นตัวอย่างหรือเปล่า ? คุณเป็นนักวิชาการที่ยอมรับความคิดเห็นของผู้มีประสบการณ์หรือเปล่า ? หรือเอาแต่ ego นำหน้า พูดง่ายๆ คือ คุณทำยังไงกับเขา เขาก็ตอบคุณแบบนั้นนั่นแหละ (สังเกต เค้าพูดกับคุณ และพูดกับกรรมการอีกสองท่าน ต่างกันมั้ย ลองดูละกันครับ) ---------- ตอบคนยกตัวอย่างหนัง Hurt Locker ว่า หนังที่กรรมการบอกยอดเยี่ยม อาจไม่ทำเงินก็ได้ คุณครับ อยากจะบอกว่า การยกตัวอย่างของคุณ ยิ่งเป็นการสนับสนุนผู้มีประสบการณ์ มากกว่าพวกนักวิชาการที่ไม่มีประสบการณ์นะครับ เพราะผู้ชนะออสการ์แต่ละรางวัล จะได้มาจากการเลือกของผู้คนในสายงานนั้นครับ (เช่น ตากล้องโหวตให้ตากล้อง) ส่วนหนังยอดเยี่ยม ก็ได้จากทุกคนในอุตสาหกรรมหนัง (5,000-6,000 คน) ทุกสายงานโหวตกัน ซึ่งเท่าที่ผมเห็น ก็ไม่มีนักวิชาการหนัง หรือคอลัมนิสต์ หรือนักวิจารณ์เลย (หรือถ้ามี ก็เป็นแค่คนกลุ่มเดียว) จากคุณ : ด้วยความเคารพ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 03:27:49 A:110.49.8.27 X: TicketID:259408

ความคิดเห็นที่ 29   (ส่งใหม่ เพราะข้อความขาดไปครับ) ขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องประเด็น เจ้าใหญ่ลงมาในตลาด ประเด็นที่ผมชี้ล่าสุด ไม่ได้อยู่ตรงที่ ความเป็นไปได้ของการที่เจ้าใหญ่ลงมาแข่ง แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ ธ. แกจะให้เจ้าใหญ่ชนะตลอด ไม่ว่า SME จะตอบอย่างไรก็ตาม ซึ่งในชีวิตจริง มันไม่ใช่สูตรสำเร็จขนาดนั้น แต่ ธ. แกไม่รู้ไง ว่าเจ้าเล็กจะชนะเจ้าใหญ่แบบไม่ใช้เงินแข่ง ทำยังไง แกก็เลยอ้าง "เงินเยอะ เท่ากับ ชนะ" ไปตลอด ล่าสุดครับ เห็นแกไปดริฟท์ในรายการวิทยุ เรื่องเป็นที่ปรึกษา เป็นมูรินโญ่ มีการอ้าง ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ด้วย บอกว่า ดรักเกอร์ ไม่เคยทำธุรกิจ จริงครับ ดรักเกอร์ไม่เคยทำธุรกิจ แต่ในปี 1945 ดรักเกอร์ซึ่งเป็นนักวิชาการ ได้ไปเป็นที่ปรึกษาให้ GM ในด้าน management จน GM ประสบความสำเร็จ ดรักเกอร์ก็เลยดังขึ้นมา คำถามคือ ธ. เป็นที่ปรึกษาบริษัทใหญ่อะไรบ้างครับ (เห็นแกบอกจะมาเฉลยในรายการ ซึ่งถ้าเป็นจริง ผมก็จะยอมรับแกในจุดนี้) แต่บอกก่อนว่า ไม่เอาประเภทที่เค้าโทรมาถาม หรือเดินมาถามตามงานสัมนานะ (ถ้ายกอย่างนั้นมา ก็ดริฟท์ไปหน่อยมั้ย) แต่ต้องประเภทได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทนด้วย เพราะถ้ายกหูถามอย่างนั้น เค้าไม่ take คุณ serious หรอก (คือถ้านำคำปรึกษาไปทำแล้วเจ๊ง เค้าคงไม่มาด่าคุณ และคุณก็คงไม่ต้องรับผิดชอบอะไร) จะว่าไป ธ.อาจจะเหมือนหมอกฤษ confirm แห่งวงการการตลาดก็ได้ คารมดี character เด่น แต่เอาจริง คงไม่มีคนบอกว่าหมอกฤษเป็นหมอดูที่ดูแม่นนะครับ ดังนั้น ไม่เถียงครับว่ามีภูมิรู้เยอะ แต่จะเอาแค่คนที่มีภูมิรู้ มาตัดสินคนที่มีทั้งภูมิรู้ (ผมว่าผู้ประกอบการสมัยนี้ เรียน MBA เป็นเรื่องปกติ) และประสบการณ์ด้วย ผมว่าเกินไป และทำให้ผู้ชมได้ภูมิปัญญาที่ไม่สมบูรณ์ด้วย สุดท้าย เห็น ธ. พยายามแขวะเรื่อง การยอมรับความคิดเห็น ของ SME (ทั้งในกระทู้นี้ กับในรายการวิทยุ) คำถามคือ คุณทำแบบนั้นให้เขาเห็นเป็นตัวอย่างหรือเปล่า ? คุณเป็นนักวิชาการที่ยอมรับความคิดเห็นของผู้มีประสบการณ์หรือเปล่า ? หรือเอาแต่ ego นำหน้า พูดง่ายๆ คือ คุณทำยังไงกับเขา เขาก็ตอบคุณแบบนั้นนั่นแหละ (สังเกต เค้าพูดกับคุณ และพูดกับกรรมการอีกสองท่าน ต่างกันมั้ย ลองดูละกันครับ) ---------- ตอบคนยกตัวอย่างหนัง Hurt Locker ว่า หนังที่กรรมการบอกยอดเยี่ยม อาจไม่ทำเงินก็ได้ คุณครับ อยากจะบอกว่า การยกตัวอย่างของคุณ ยิ่งเป็นการสนับสนุนผู้มีประสบการณ์ มากกว่าพวกนักวิชาการที่ไม่มีประสบการณ์นะครับ เพราะผู้ชนะออสการ์แต่ละรางวัล จะได้มาจากการเลือกของผู้คนในสายงานนั้นครับ (เช่น ตากล้องโหวตให้ตากล้อง) ส่วนหนังยอดเยี่ยม ก็ได้จากทุกคนในอุตสาหกรรมหนัง (5,000-6,000 คน) ทุกสายงานโหวตกัน ซึ่งเท่าที่ผมเห็น ก็ไม่มีนักวิชาการหนัง หรือคอลัมนิสต์ หรือนักวิจารณ์เลย (หรือถ้ามี ก็เป็นแค่คนกลุ่มเดียว) จากคุณ : ด้วยความเคารพ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 03:31:18 A:192.168.0.240 X:110.49.8.27 TicketID:259408

ความคิดเห็นที่ 30   ที่ผมยกตัวอย่างหนังก็เพราะว่า ในการตัดสินจากผู้มีประสบการณ์เองก็ตามหรือนักวิชาการก็ตาม ไมสามารถที่จะทำนายอนาคตการตลาดของผู้บริโภคได้ไงครับ ผมแค่ยกตัวอย่างให้ดูเองว่า ใช่ว่าผู้มีประสบการณ์จะตัดสินหรือนักวิชาการถูกเสมอไป Hurt locker เอง นักวิเคราะห์หนังเองบอกว่ายอดเยี่ยม แต่ถ้าไปเทียบกับตลาดผู้บริโภคเอง อาจจะดูแย่ก็ได้ หนังที่ดีคือหนังที่เราชอบ ไม่ใช่หนังที่นักวิจารณ์หนังชอบ จำไม่ได้เหมือนกัน ปีไหนก็ไม่รู้หนังยอดแย่แห่งปี แต่ทำเงินติด top 5 ใน Box office ติดต่อกัน นั้นก็เป็นการย้ำว่า ในสายตาคนมีความรู้และประสบการณ์ ใช่ว่าจะถูกใจคนบริโภคได้เสมอไป _________________________________________ ในทางกลับกัน การที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งใช้ คือพฤติกรรม มากกว่า ด้านรุก brane การตลาด ถ้าคุณจะเลือกของใช้ประเภทหนึ่ง คุณจะตัดสินใจจากอะไร 1.เคยเห็นทางสื่อ 2.มีคนเล่ามา อาจเพื่อน พ่อ หรือ ญาติๆ 3.เคยใช้มาก่อน 4.การเข้าถึงของสินค้า เครื่องสำอางค์หลายๆ ยี่ห้อหรือสินค้าประเภทอื่น ไม่เห็นต้องทำการตลาดอะไรมากมายแต่ใช้สินค้าขายตัวมันเอง ในตอนแรก ที่ คุณตัน โออิชิ รุกการตลาดครั้งแรก ไม่ใช้ สื่อโฆษณา แต่ใช้การเข้าถึงและการบอกต่อของตัว product เอง การทำของคุณ ตัน คือ ขายแบบ ลดเ แลก แจกกระห่ำ ใน สวน จตุจักร เพื่อตี ตลาด ของ คนที่ เดิน จตุจักร นั่นคือการ เข้าถึงลูกค้า 7-11 จุดกำเนิดจริงๆ คือ คนคิดว่าถ้า ตัวเองเป็นลูกค้า แล้วตัวเอง ต้องการอะไร เหมือน กัน นั่น คือ การเข้าถึงของสินค้า ไม่ใช่ สื่อ และ technic  ของการตลาดอะไรที่ซับซ้อน   ต้องคิดว่าตัวเอง เป็นลูกค้า แล้ว ดู ว่า ตัวเอง ต้องการอะไร จากคุณ : beetan เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 09:08:42

ความคิดเห็นที่ 31   ^ ^ ^ ผม ไม่รู้ นะ แต่นี้คือตรรกะง่ายๆในการทำตลาดของผม จากคุณ : beetan เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 09:10:46

ความคิดเห็นที่ 32   เจ้าใหญ่ๆ ใช่ ว่าจะตีตลาด เล็ก ได้ เสมอ ไป ถ้าคุณมีความคิดที่ต่างและนอกกรอบ จากคุณ : beetan เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 09:12:33

ความคิดเห็นที่ 33   น้อมรับทุกความคิดเห็น และขอบคุณมากๆครับ ทุกอย่างเป็นประโยชน์กับ Greenday อย่างแท้จริง ผมขออนุญาตนำ Link ไป post ใน facebook น่ะครัับ http://www.facebook.com/pages/Greenday/386718578625 จากคุณ : nathawut_p@yahoo.com เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 10:00:27 A:10.2.7.78 X:58.181.130.5 TicketID:258828

ความคิดเห็นที่ 34   อ่านกระทู้บนๆ แล้ว ดุเดือดเลือดพล่านกันน่าดูเลยทีเดียว... จขกท. ตั้งประเด็นได้น่าสนใจครับ... "คำถามแบบนี้ ให้นักศึกษามาถามก็ได้" ผมเห็นด้วย ดังนั้นที่ต้องคิดก็คือ SME ที่มาออกรายการ ก็ควรที่จะต้องเตรียมใจตอบคำถามพื้นฐานแบบนี้ให้ชัดเจนด้วยครับ สังเกตหลายเทปแล้ว อ. ธันยวัชร์ ตั้งคำถามคล้ายตอนสอบวิทยานิพนธ์อย่างมาก เป็นคำถามที่หากคุณไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจริงๆ ก็จะโดนถามย้ำๆ ซ้ำๆ จนคนถูกถามรู้สึกโมโหนั่นแหละครับ ถามว่า รายใหญ่โดดลงมาถล่มรายเล็กแล้วรายเล็กจะเจ๊งเสมอไปทุกครั้งไหม คำตอบคือไม่ อันนี้ผมเห็นด้วยหมดใจ แต่ SME ที่ออกรายการ ควรจะต้องตอบให้ชัดเจนด้วยว่า เหตุใดตนจึงเชื่อมั่นว่า ต่อให้รายใหญ่โดดลงมาถล่ม เราก็จะไม่เป็นไร อ้างอิงจาก คห ที่ 18 "ประเด็นรายใหญ่เข้าตลาด ผมตามดูหลายครั้ง การซักของแกจะเป็นอย่างนี้ครับ SME : เรามี know how ที่ดีกว่า ธันยวัด :เขามีเงิน สร้างทีม R&D แป๊บเดียวก็ตามคุณทัน SME : เรารู้จักผู้บริโภคมากกว่า ธันยวัด : เขามีเงิน ทำ research แป๊บเดียวก็รู้หมด SME : เรามี connection กับ supplier ที่เหนียวแน่น ธันยวัด : เขามีเงิน เดี๋ยว supplier ก็เปลี่ยนใจได้" คำตอบที่เพียงแค่บอกว่า "เรามี know how ที่ดีกว่า" แค่นั้น มันไม่เคลียร์สำหรับ อ. ธันยวัชร์ ไงครับ ผมเองก็ไม่เคลียร์... อย่างไรที่เรียกว่าดีกว่า? แล้วดีกว่าแล้ว มันลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ หรือไม่... หากดีกว่าจริง แต่ลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ ก็จะเป็นอย่างที่ อ. ธันยวัชร์ พูดต่อครับ คือ ทำ research แป๊บเดียว ก็ลอกเลียนแบบได้ คำตอบที่ว่า มี connection กับ supplier ที่เหนียวแน่น... ก็ควรต้องให้เคลียร์ว่า เหตุใดเราจึงเชื่อว่าเหนียวแน่น และควรจะต้องแน่นขนาดที่ เงิน ไม่ทำให้มิตรภาพสั่นคลอน... ผมว่านี่ต่างหากครับ คือประเด็นสำคัญที่ อ. ธันยวัชร์ ต้องการคำตอบ และจากที่ผมดูหลายๆ เทปมา SME ส่วนใหญ่ ตอบตรงนี้ไม่ได้... อ. ธันยวัชร์ ไม่ได้ต้องการโจมตีใครนะครับ แต่แค่อยากให้ตอบให้ตรงประเด็นและชัดเจนเท่านั้นเอง ส่วนมาก ผมจะเห็นว่าตอบตรงประเด็น แต่ไม่ชัดเจนครับ (หรือเพราะผมดูแต่ในเทป เลยได้ฟังไม่หมดก็ไม่ทราบ) จากคุณ : นายกาฝาก เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 11:02:14 A:203.155.58.254 X: TicketID:260074

ความคิดเห็นที่ 35   สปิริตดี จริงๆครับ คุณ ณัฐวุฒิ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ เชื่อว่าถึงองกรณ์จะเล็กแต่มีผู้บริหารที่แข็งแกร่งและเชื่อมั่นในศักยภาพของสินค้า พร้อมที่รับปัญหาและต่อสู้ องกรณ์นั้นจะไม่ล้มไปง่ายๆ แน่นอน และนี่คงเป็นเหตุผลที่ Greenday เอาชนะใจอาจารย์ ธันยวัชร์ได้ ต่างหาก.... จากคุณ : No Nong เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 13:53:46 A:58.8.239.251 X: TicketID:249266

ความคิดเห็นที่ 36   สุดยอดทุกท่าน...เก่งค่ะ จากคุณ : ขวัญใจซูโม่ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 20:58:21

ความคิดเห็นที่ 37   - ขอโทษนะคะ เห็นที่นี่มีแต่คนเก่งๆ   จะฝากlink รบกวนท่านผู้รู้สละเวลา ช่วยแนะนำด้วยค่ะ   ไม่ทราบจะผิดกติกาอะไรหรือเปล่า แต่อยากได้ความเห็นจากหลายๆ ท่านค่ะ  ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B9028633/B9028633.html#13 จากคุณ : ขวัญใจซูโม่ เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 00:50:01

ความคิดเห็นที่ 38   รู้ไว้ใช่ว่า  ดีก็เอาไปใช้ ไม่พอใจก็เก็บไว้ฟังเป็นข้อมูล จากคุณ : อาศัยไปเที่ยว เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 16:47:25

ความคิดเห็นที่ 39   ผมคิดว่าตอบเลี่ยงๆให้ผ่านๆไป และก็ บลัฟกลับๆ อย่างเดียว ตอนที่ คุณ ณัฐวุฒิ พูดว่าผมอยากให้อาจารย์ลงมาแข่งเหลือเกินครับ ผมว่าเสียมารยาทสุดๆ แต่ อ ธันยวัชร์ แกตอบกลับได้ดีมากครับ ที่ยกตัวอย่าง โจเซ่ มูริญโญ่ น่ะครับ ผมคิดว่าตรงนี้ ควรจะปรับนะครับ ควรจะมีลุคของผู้บริหารที่ อ่อนน้อมอยู่บ้าง คนไทยชอบเชียร์มวยรองน่ะครับ พอเห็นงี้แล้ว ทำให้ ความรู้สึกที่มีต่อ แบรนด์ แปลกๆไปน่ะครับ และผมก็คิดว่า ธุรกิจไม่น่าจะไปได้ไกลในบ้านเราสักเท่าไหร่ ถ้างบ PR ไม่มากจริงๆ แต่ในตลาดต่างประเทศก็ไม่แน่ครับ มีโอกาสประสบความสำเร็จ ปล. ก็แค่ความคิดเห็นครับ อย่าซีเรียสนะครับ :) แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 53 08:31:35 จากคุณ : BankTiez (banktiezi) เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 08:27:55

ความคิดเห็นที่ 40   http://radio.mcot.net/fm965/viewdj.php?DjId จากคุณ : กฤตย์ (Krit_C) เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 10:28:11

ความคิดเห็นที่ 41   เคยเรียนกับอาจารย์เหมือนกัน ก็ลักษณะแบบนี้แหละค่ะ อย่าคิดมากเลย ถ้ารายใหญ่ลงมาสู้ก็ดี สิค่ะ แสดงว่าสินค้าคุณได้รับควาใสนใจจากผู้บริโภค ดูแล้วน่าจะสร้างกำไรได้ไม่น้อยรายใหญ่ ถึงมาแข่งตลาดเดียวกัน เราต้องสร้าง Brand ให้ผู้บริโภครับรู้และจดจำ Brand เราให้ได้คะ รักษาฐานลูกค้าเก่าให้มากที่สุด จากคุณ : Sassy Anie เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 18:13:05