ความคิดเห็นที่ 1   เท่าที่เคยเห็น บริษัทเลือกวิธี Leasing สำหรับรถยนต์ เพราะตามกฏหมายสรรพากรแล้วรถยนต์สามารถหักค่าเสื่อมได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่ถ้าทำ Leasing จะมองเป็นการเช่ารถยนต์แทนการซื้อรถยนต์ ซึ่งค่าเช่าสามารถหักค่าใช้จ่ายได้เต็ม ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ลงบัญชีสูงกว่า สามารถประหยัดภาษีได้มากกว่า สำหรับรถยนต์ที่ราคาเกิน 1 ล้านบาท อีกประเด็นที่ Leasing ดีกว่า Buying เพราะเรื่องของ Cashflow เหมือนที่คนซื้อรถเงินผ่อนแทนที่จะซื้อเงินสด เพราะต้องสำรองเงินไว้ใช้เรื่องอื่น จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 09:28:08

ความคิดเห็นที่ 2   ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน แต่ลองตอบดูว่าตรงเหตุผลหรือไม่ พอดีผมทำธุรกิจทั้งด้านการขาย การตลาด สินค้าอุตสาหกรรมและมีรูปแบบการให้เช่าทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ เบื้องต้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่ารูปแบบการเช่าจะมีผู้ใช้บริการมากกว่าการซื้อ แล้วแต่ธุรกิจหรือสินค้าบริการซึ่งต้องเปรียบเทียบคุณประโยชน์สุทธิที่จะได้รับว่ารูปแบบไหนดีกว่ากันก่อน เช่น ประหยัดต้นทุนหรือเงินลงทุน เพิ่มผลกำไร และแก้ปัญหาได้ต่างๆได้ แล้วแต่สินค้าและธุรกิจ ซึ่งรูปแบบการเช่ามักเป็นสินค้าหรือบริการที่สามารถใช้ร่วมกันได้(pooling system) เช่น พาเลท รถยนต์ อาคาร+สิ่งก่อสร้าง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนหรือซื้อสูง และมีสถาบันการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือไม่ก็องค์กรที่ทำธุรกิจให้เช่าเป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับสถาบันการเงิน ในทางบัญชีเป็นเรื่องการลงเป็นแอสเซทหรือต้นทุนค่าใช้จ่าย หากเป็นรูปแบบการซื้อก็ลงบัญชีแบบแอสเซทมีค่าเสื่อมและอายุการใช้งาน ส่วนรูปแบบการเช่าลงบัญชีแบบเป็นค่าใช้จ่าย นำค่าใช้จ่ายมาหักจากกำไร เบื้องต้นได้โดยตรง และรูปแบบการเช่าช่วยลดความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนได้ เมื่อไม่ต้องการใช้งาน ทำให้มีภาระต้นทุนความเสี่ยงและดอกเบี้ยต่ำกว่า รวมถึงการซ่อมบำรุงและเสียหายเนื่องจากการใช้งานตามปกติเป็นหน้าที่หรือต้นทุนของผู้ให้เช่าแล้วแต่สัญญาหรือข้อตกลง สังเกตุว่าชาวต่างชาติเวลาเข้ามาลงทุนมักจะทำการเช่ามากกว่าซื้อและให้ผู้อื่นทำแทนมากกว่าทำเอง รวมถึงกฎระเบียบต่างๆที่สามารถให้ถือครองโดยตรงได้หรือไม่ พอกิจการเดินไปได้ค่อยลงทุนซื้อเพื่อสร้างทรัพย์สินเพิ่ม เรียกว่ามาแต่ตัว จับเสือด้วยมือเปล่า หากเศรษฐกิจถดถอยก็ถอนตัวกลับไปแบบไร้ภาระต้นทุนและดอกเบี้ย ให้คนไทยรับภาระนี้แทนทั้งหมดฯลฯ รูปแบบการเช่าเพื่อลงทุนก็ยังคงมีความไม่แน่นอน ก็แยกประเภทออกไป เป็นเช่าโดยตรง เช่าช่วงต่อตามสัญญา เช่าแบบมีแฟคทอริ่งมาเป็นผู้รับผลประโยชน์ร่วม อื่นๆ มันมีภาระต้นทุนและความเสี่ยงที่แฝงอยู่ไม่เหมือนกัน อันเนื่องจากนโยบายหรือเหตุอันเกิดจากการเช่าสิ้นสุดลง เช่นเกิดภัยพิบัติ แผ่นดินไหว ไฟไหม้ เลิกกิจการ ล้มละลาย ฯลฯ หากตอบผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ.ที่นี้ด้วยครับ จากคุณ : หัวใจจากท้องทะเล เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 09:57:30