|
ความคิดเห็นที่ 7 |
ที่เป็นอยู่นี่ก็ดีอยู่แล้วนี่คะ
-เงินจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อเดือน ก็มีแล้ว -เงินให้พ่อแม่ ก็มีแล้ว -เงินลงทุน ก็มีแล้ว เยอะด้วย ได้ดอกเบี้ยปีละ 7% ตกปีละ 70,000 บาทประมาณเดียวกะหุ้นสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ถือว่าไม่เสี่ยงมาก ให้ถือไว้ยาว ๆ แต่ก็สามารถเพิ่มศักยภาพการลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้นได้ โดยหาเวลาไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม (มีเงินล้านแรกนี่ จะมีล้านต่อ ๆ ไปไม่ยากแล้ว นี่ถือว่ามาถูกทางแล้ว ไม่ควรขายทิ้งไปโปะบ้านเด็ดขาด)
-มีเงินเหลือ 3,000 บาท (แต่คำนวณข้างบนได้ 2,000 บาทนะ) ตรงนี้สำคัญมาก เก็บไว้เป็นกองทุนสำรองฉุกเฉินของครอบครัว (เราเรียกเองว่า กองทุนสบายใจเพื่อสุขภาพจิตที่ดีของตนเองและครอบครัว) เผื่อกรณีคุณตกงาน/เจ็บป่วยจนต้องออกจากงาน/ทุพลภาพทำงานไม่ได้/เสียชีวิต พูดง่าย ๆ กรณีไม่มีรายได้ประจำเข้าครอบครัวอีกแล้ว ถึงจะนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้ได้นอกเหนือจากนั้น ห้ามใช้เด็ดขาด! อ้อ 3,000 บาท ถือว่าเป็น 12% ของรายได้ ดีพอใช้ได้เลยไม่น้อยจนเกินไป แต่ถ้าได้ซัก 20% ของรายได้จะหรูมาก อนาคตมีสิทธิ์สบาย *** เก็บให้ได้ซัก 75,000 - 140,000 แล้วจึงหยุดเก็บ ปล่อยให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานต่อไป ***
-ส่วนค่าบ้าน ล้านห้า ก็ถือว่าราคาไม่ได้สูงมาก แต่ก็สูงเกินฐานะของคุณ (หมายถึงรายได้ต่อปี) จริง ๆ ดูจากเงินเดือน ราคาบ้านคุณไม่ควรเกิน 900,000-1,000,000 บาท จะสามารถผ่อนได้สบายกว่านี้ (กรณีไม่มีเงินดาวน์) แต่ถ้ามีเงินดาวน์ก็บวกเพิ่มเข้าไปในราคาที่บอก
*** ที่สำคัญไม่แนะนำให้ขายหุ้นมาโปะบ้าน เพราะ ดอกเบี้ยบ้านไม่น่าถึง 7% ต่อปี แต่ปันผลได้ประมาณ 7% ก็ถือหุ้นไว้ดีกว่าใช่ไหม ได้ส่วนต่างจาก %
-เรื่องภาษีสำคัญมากสำหรับมนุษย์เงินเดือน ไม่รู้ไม่ได้!!!
คุณเงินเดือน 25000 บาท คิดต่อปีเป็นรายได้ 300,000 บาท หักลดหย่อน ได้แก่ รัฐบาลยกเว้นให้ 150,000 + ค่าใช้จ่ายเหมา 60,000 + ตัวเอง 30,000 + ภรรยาไม่มีรายได้ 30,000 + ลูกยังไม่เรียน 15,000 + ประกันสังคม 9,000 + ... (ไม่รู้พ่อแม่เกิน 60 ปีไหม ถ้าเกินลดหย่อนได้อีกคนละ 30,000) ... = 294,000 บาท
ถ้าคิดรายได้จากเงินเดือนเท่านั้น จะยังเหลือที่ต้องนำไปคิดภาษีอีก 6,000 บาท หรือเสียภาษี 600 บาท ถ้ามีดอกเบี้ยผ่อนบ้านด้วยนำมาหักลดหย่อนน่าจะไม่เสียภาษีเลย ^^
แต่คุณมีปันผลประมาณปีละ 70,000 บาท เราไม่เคยมีรายได้จากปันผลซะด้วย เลยไม่แน่ใจเรื่องภาษีส่วนนี้ แต่คิดว่าต้องเอามาบวกรวมเป็นรายได้ระหว่างปีด้วย เลยจะกลายเป็นเงินที่ต้องถูกนำไปคิดภาษีเพิ่มอีก 76,000 บาท ก็คือต้องเสียภาษี 7,600 บาท
ถ้ายังผ่อนบ้านอยู่จะได้ลดหย่อนจากดอกเบี้ยบ้านอีก สมมุติเสียดอก 50,000 บาทต่อปี ไปหักลดหย่อนได้อีก 76,000-50,000=26,000 บาท เหลือที่ต้องเสียภาษีจริง 2,600 บาท
* แปลกคนจะขายสินทรัพย์มาใช้หนี้สิน ทั้ง ๆ ที่ยังมีรายได้เข้ามาตลอด ทั้ง ๆ ที่รายได้ยังมากกว่ารายจ่าย ทั้ง ๆ ที่สินทรัพย์ก็ให้เงินปันผลมากกว่าดอกเบี้ยของหนี้สินเสียด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ดอกเบี้ยของหนี้สินก็สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้อีกต่อ ทั้ง ๆ ที่สินทรัพย์ที่มีก็เป็นแนวทางที่จะทำให้มีอิสรภาพทางการเงินต่อไปได้ *
** เข้าใจว่าปกติแล้วคนปกติ มักใจร้อน อยากให้หนี้สินหมดไปไว ๆ แต่...แทนที่จะคิดโปะหนี้ ด้วยวิธีการขายของเก่า ควรลดความต้องการของตัวเองลงมาให้พอเพียงกับฐานะปัจจุบัน ถ้าอยากมีเงินเก็บมากกว่านี้ ควรขายบ้านนี้ซะ แล้วซื้อบ้านใหม่ที่พอสมควรแก่ฐานะ อย่างที่บอกไป ไว้รวยกว่านี้ค่อยซื้อแพงกว่านี้ก็ยังได้ หรือซื้อไว้ให้คนอื่นเช่า (บ้านที่อยู่อาศัยเองไม่ได้เอาไว้ให้คนเช่า ไม่ใช่สินทรัพย์ มันคือหนี้สิน) แต่ถ้าไม่อยากขายบ้าน (เข้าใจว่าพูดง่ายแต่ทำยาก) ก็ควรหารายได้เพิ่ม ยิ่งเป็นรายได้จากการขายของหรือไม่เสียภาษีจะยิ่งดี เพราะจะได้ไม่ไปโดนหักภาษีอีกเก็บได้เต็ม ๆ (แต่ต้องเป็นวิธีที่ถูกต้องตามกฏหมายนะคะ ^_<) **
แล้วคำว่า "อีกหน่อยลูกโต" ก็ควรจะรู้ว่าอีกหน่อยคือเมื่อไหร่ วางเป้าหมายการใช้เงินไว้ แล้วจะรู้ว่าเมื่อไหร่จะต้องทำอะไร
ฝากข้อคิดค่ะ หนทางปลดหนี้ที่ดีที่สุด คือลดความต้องการทางด้านวัตถุของตัวเองลง ลดรายจ่ายถ้าลดได้ หารายได้เพิ่มถ้าหาได้ เพิ่มศักยภาพการทำเงินของสินทรัพย์ให้มากที่สุด
! สงบใจ สติ ศึกษา ปัญญา คิด วางแผน ลงมือทำ สำเร็จ !
แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 53 22:18:06
จากคุณ |
:
m_y
|
เขียนเมื่อ |
:
5 เม.ย. 53 22:04:54
|
|
|
|
|