ความคิดเห็นที่ 1 การันตี กระทู้คุณภาพครับ ก็ไม่เข้าใจว่า น้ำมันเปลี่ยนไป ทองคำแพงขึ้น บ้านรถ แพงขึ้น แต่ ยังจ่ายแปดพันเหมือนเดิม แล้วเมื่อไรคนเค้าจะลืมตาอ้าปากกันได้ล่ะครับ พี่น้องครับ จากคุณ : mix_more เขียนเมื่อ : วันเนา 53 15:43:19

ความคิดเห็นที่ 2   ใช่ครับ อีก 1 เสียง 555+ จากคุณ : 123 เขียนเมื่อ : วันเนา 53 15:45:26 A:58.8.225.93 X: TicketID:238410

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยคับ !! VOTE กระทู้นี้ จากคุณ : TarotCard เขียนเมื่อ : วันเนา 53 15:47:13

ความคิดเห็นที่ 4 อย่าลืมนะคะ  ว่ามาตรฐานของป.ตรีสมัยนี้ต่ำกว่าสมัยก่อนเช่นกัน  สมัยก่อนจบป.ตรีทำงานได้แน่นอนทุกคน ไม่งั้นไม่จบมาได้หรอก  สมัยนี้ปวดตับกับเด็กบางคนไม่รู้จบมาได้ไง  พอเฉลี่ยกันแล้วเด็กกลุ่มนี้มีเยอะด้วยค่ะ  ทำให้เด็กจบใหม่ที่มีคุณภาพโดนดึงเงินเดือนตามไปด้วยน่ะเจ้า -*- จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : วันเนา 53 15:51:50

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนตัวคิดว่าสมัยนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่งานใช้แรงงาน ไม่ว่าจะจบที่ไหนอย่างไร ไม่ควรเริ่มต้นต่ำกว่า 1 หมื่นบาทครับ ไม่งั้นโอกาสลืมตาอ้าปากยากมากครับ นายจ้างสมัยนี้กดค่าแรง แล้วอ้างว่ากำไรน้อย เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งก็จริงบางส่วน แต่พอเศรษฐกิจดี ก็ไม่เพิ่มค่าจ้าง ทำให้ฐานเงินเดือนต่ำเรื่อยมา ยิ่งบริษัทใหญ่ๆ ยิ่งให้เงินน้อย แล้วอ้างว่า เงินน้อยแต่มั่นคง ซึ่งเป็นค่านิยมที่ผิดมาก จากคุณ : อยากเห็นคนไทยบินได้ เขียนเมื่อ : วันเนา 53 15:53:09

ความคิดเห็นที่ 6 เพราะนายจ้างมีโอกาสเลือกมากกว่าไงคะ ตามปกตินายจ้างก็คงไม่อยากจ่ายแพง ยิ่งถูกยิ่งดี คนหางานมีตัวเลือกน้อยกว่า ถ้าไม่เจ๋งจริง ก็ต้องยอม ไม่งั้นก็ ตกงาน ไม่มีจะกิน นอกจากค่าแรงถูกแล้ว ยังมีเงื่อนไขอื่นๆอีกนะ วันหยุด วันลา บางที่ก็มั่วนิ่มหักเงิน แล้วถ้ามาโพสในเวป จะมีบางความเ็ห็นว่า " ไม่พอใจ ก็ลาออกสิ " อืม... จากคุณ : love2loveU เขียนเมื่อ : วันเนา 53 16:03:20

ความคิดเห็นที่ 7 ผมก็เห็นอยู่บ่อยๆ ในการตอบกระทู้ห้องสีลมครับ ทำงานเอาประสบการณ์ก่อน ค่อยมาคิดเรื่องเงินทีหลัง มันก็เป็นเช่นนี้แล จากคุณ : มิตจัง เขียนเมื่อ : วันเนา 53 16:12:56

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะมีคนพูดอย่างนี้มาตั้งนานแล้วววววว ... ถูกกก ใจ !!!!!! เคยได้ยินแต่ว่าต้องอดทนๆๆๆๆ .... อดทนเพื่อให้เงินเดือนขึ้นไปละ 1000 แล้วกี่ปีมันจะรวย ? จากคุณ : KinkyVans เขียนเมื่อ : วันเนา 53 16:33:15

ความคิดเห็นที่ 9 มันก็ขึ้นกับว่า บุคลากรมีความสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทขนาดไหน เรื่องคุณภาพบุคลากร เห็นด้วยตาม คคห.4 ซึ่งอันที่จริงเราว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้นะ ได้เด็กจบใหม่มา ทำอะไรไม่เป็นเลย ต้องมาสอนกันใหม่หมด ไม่รู้ว่าตอนอยู่มหาวิทยาลัยเรียนอะไรกัน (หรือว่า อาจารย์ก็ทำอะไรไม่ค่อยเป็น เลยไม่รู้จะสอนอะไร??) พื้นฐานเลยนะ การรับโทรศัพท์ การเขียนจดหมาย เขียนเรียงความ ทำไม่เป็นเลย! สั่งให้หาข้อมูลบน google ก็ยังไร้ความสามารถแม้แต่จะคิดว่า คีย์เวิร์ดน่าจะเป็นอะไร เสิร์ชยังไงถึงเจอ (คือเราเสิร์ชอะไรก็เจอ เด็กเสิร์ชไม่เจอ -_-") ให้เขียนรายงานการประชุมหรือรับเรื่องจากลูกค้า ก็เขียนผิดๆ ถูกๆ อ่านไม่เป็นประโยค อย่าเพิ่งไปพูดถึง technical skill ที่จำเป็นในการทำงานเฉพาะทาง ซึ่งยิ่งอาการหนักกันไปใหญ่ ซึ่งอันนี้มันเป็นต้นทุนสำหรับธุรกิจนะ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันต่ำลง เราพูดในฐานะบริษัทคนไทยขนาดเล็กธรรมดา ไม่มีปัญญาจะไปแย่งการจ้างงานกับพวกบริษัทใหญ่ๆ หรือข้ามชาติหรอก คือถ้าจะยกระดับความสามารถในการแข่งขันขององค์กรธุรกิจไทยจริงๆ ต้องปรับปรุงหลักสูตรอย่างมาก เราถึงว่า การศึกษาของไทยต้องการการปฏิรูปทั้งระบบ ปล. บริษัทเราให้เงินเดือนขั้นต่ำ 12,000 ครบปีปรับขึ้น 30% หลังจากนั้นเป็นไปตามความสามารถ ซึ่งเราว่ามันก็พอประมาณแล้วนะ ที่ยกตัวอย่างมาข้างบนนี้ มันมีอย่างนี้จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน คนที่พอมีเซ้นส์ สอนนิดหน่อยก็ไปต่อได้ แบบนี้ก็มีเหมือนกัน ซึ่งคนกลุ่มนี้บริษัทยอมทุ่มเงินให้อยู่แล้ว (ถ้าเจอตัวนะ) เพราะคุณพิสูจน์ต้วเองได้ว่ามีความสามารถเหมาะสมที่ได้เงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ เพียงแต่ว่า...คุณทำได้หรือเปล่าล่ะ? จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : วันเนา 53 16:39:53

ความคิดเห็นที่ 10 ธนาคาร ปี 37 เงินเดือน 7,500 - 8,500 ปี 53 เงินเดือน 12,000 - 13,000 จากคุณ : Knight เขียนเมื่อ : วันเนา 53 16:56:59

ความคิดเห็นที่ 11   เห็นด้วยกับฝ่ายนางจ้างและลูกจ้างค่ะ เห็นด้วยกับนายจ้างในแง่ที่ว่า คุณภาพของลูกจ้างลดต่ำลง แต่ถ้าเจอคนที่เก่งจริงๆก็ยอมจ่ายแพง เห็นด้วยกับลูกจ้างในแง่ที่โดนกดค่าแรงทั้งที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น หลายบริษัทชอบอ้างว่าเป็นเพราะจบใหม่ไร้ประสบการณ์เลยกดเงินเดือน ทำนานไปเป็นงานก็แทบไม่ขึ้นให้ หรือไม่ขึ้นเลย คราวนี้อ้างเรื่องเศรษฐกิจ ตั้งแต่ดิฉันเรียนจบเมื่อหลายปีก่อนนู้น จนปัจจุบัน บริษัทต่างๆก็ยังอ้างว่า "เศรษฐกิจไม่ดี" อยู่เหมือนเดิม จากคุณ : ก็แค่ลูกจ้าง เขียนเมื่อ : วันเนา 53 17:38:59 A:125.27.83.171 X: TicketID:257794

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นด้วยกับ จขกท ค่ะ จัด กิฟท์ไปเลย จากคุณ : แมวสีส้ม (เจ๊ดาว) เขียนเมื่อ : วันเนา 53 17:42:07

ความคิดเห็นที่ 13 ถูกใจผมมากครับ สำหรับกระทู้นี้ อิอิ ^^ จากคุณ : มาริอ้วน เขียนเมื่อ : วันเนา 53 17:43:06

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนนี้งานน้อย คนจบเยอะ นายจ้างเป็นต่อ ลูกจ้างอย่างเรามีทางเลือกไม่มาก ขอให้มีงานทำก็โอเคแล้ว จากคุณ : Helloha (Helloha) เขียนเมื่อ : วันเนา 53 17:49:35

ความคิดเห็นที่ 15 ถูกใจกระทู้นี้จริงๆ ที่บริษัทเมย์ ก็ปรับเงินเดือนขั้นต่ำพนักงานวุฒิปริญญาตรีทุกคน เมื่อ 2 ปีที่แล้วเป็น 13,600.- บาทค่ะ การัณตรีโบนัท 1 เดือน ตอนนั้นพนักงานทุกคนเฮกันสนั่นเลย เราก็ดีใจกะเค้าไปด้วย เพราะพนักงานบางคนตอนนั้นได้ไม่ถึงหมื่นนะ แม้ว่าจะมีสวัสดิการเรื่อง อาหาร 2 มื้อ/วัน + ชุดฟอร์ม เพราะเคยคิดเล่นๆว่า ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ที่จะใช้ชีวิตในกรุงเทพ แบบไม่ลำบากมากมาย (กะคร่าวจากความคิดของตัวเองนะคะ) ค่าเดินทาง 1500.- ค่าอาหาร 3000.- ค่าที่พัก 3500.- ค่าโทรศัพท์ 500.- จิปาถะ 1500.- แค่คิดเล่นๆ ก็ปาเข้าไป 10000.- แล้วอ่ะ แล้วถ้าเงินเดือนต่ำกว่าหมื่นจะเป็นไปได้ไง??? ทุกวันนี้ลองคำนวนรายจ่ายประจำเดือนที่จำเป็นของตัวเองดู แค่นึกก็ปวดหัวแล้ว   ค่าอาหาร 6000.- ค่าน้ำมัน 5000.- ค่าโทรศัพท์ 2000.- ให้พ่อ 3000.- อัตราเงินเดือนอย่างน้อยก็น่าจะปรับตามค่าครองชีพนะคะ **คหห.ข้างบนทำให้ตกใจได้อีก 16 ปีผ่านไปอัตราเงินเดินปรับขึ้นมา 4500.-!! โอ้..พระเจ้า!!! จากคุณ : maydaysayHi เขียนเมื่อ : วันเนา 53 17:54:58

ความคิดเห็นที่ 16 ขอเห็นต่างนะครับ 15 ปีก่อน คนเรียนปริญญาตรีได้ ฐานะทางบ้านต้องดีพอสมควรเลยล่ะครับ  ผมมาจากต่าง จว  มีนับคนได้เลยครัยบที่จบระดับนั้น  ส่วนใหญ่จบแค่ระดับ วิชาชีพนะครับ  ถ้าเปรียบ 15ปีก่อน ป.ตรี  ถ้ามองในตอนนี้ก็ต้อง ป.โท ล่ะครับ เพราะการศึกษาขั้นพื้นฐานมันเปลี่ยนไปแล้วนะครับ  อย่าลืมข้อนี้ จากคุณ : foduck เขียนเมื่อ : วันเนา 53 17:59:44

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นด้วยนะคะ ว่ารายได้ไม่เคยทันค่าครองชีพเลย แต่จะไปโทษนายจ้างก็ไม่ได้หรอกค่ะ มีแต่คนอยากได้ของดีราคาถูกทั้งนั้น เราเองมองว่า กฎหมายบ้านเราไม่คุ้มครองแรงงานเลยค่ะ ค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่เคยพอกิน ไม่เคยพอใช้ การเอารัดเอาเปรียบของนายจ้าง ก็ยังคงไม่สามารถเอาผิดอะไรได้ ถ้าไม่ใหญ่จริง นาทีนี้ทำได้แค่พัฒนาตัวเองให้เป็นที่ต้องการของตลาดค่ะ แล้วเราจะได้เป็นผู้เลือก.. จากคุณ : fantastic GiRL เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:11:49

ความคิดเห็นที่ 18 กระทู้ตรงใจมากๆ บางที่ วุฒิป.โท ยังไม่ถึงหมื่นบาทเลย เป็นสัญญาจ้าง มองดูแล้ว คุณวุฒิสูง ต้องทำวิทยานิพนธ์อีก ไม่คุ้มกับการลงทุนเลยจริงๆ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 53 18:21:13 จากคุณ : Christian Chang เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:17:20

ความคิดเห็นที่ 19 ถูกใจให้ 3 กีบ  อยากให้นายจ้าง บ. ญี่ปุ่น มาเห็นจัง เราว่านะ ไม่ว่าค่าครองชีพจะสูงมากขึ้นเท่าไหร่  แต่ค่าจ้างหรือแรงงาน ขั้นต่ำไม่ได้ขยับตามไปด้วยสักนิด แล้วยังงี้คนไทย รากหญ้าจะลืมตา อ้าปากกันได้ยังไง การแข่งขันสูง  แต่เงินเดือนไม่ได้สูงตามไปด้วย เราเป็นลูกจ้าง  ครั่นจะไปเรียกร้องเงินเดือนสูงๆๆมากไม่ได้ แต่นายจ้าง ก็เอาเปรียบกันเหลือเกินให้เงินเดือนน้อยกว่ามาตรฐานก็มีเราก็ไม่ใช่ไก่กา ให้อัตราเงินเดือนเท่าไหร่ก็ได้  รู้ไว้ซะ5555+ การแข่งขันสูง  องค์กรดีๆๆ งานดีๆๆ เงินดีๆๆๆ ก็มีคู่แข่งดีเยอะ  ตอนนี้ก็ต้องตกงานไปตามระเบียบ จากคุณ : A Force Princess เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:29:45

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 15 ปีก่อนมีคนจบตรีหรือโทน้อยกว่าปัจจุบันมากครับ  15 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของไทยเติบโตขึ้นไม่เท่าไหร่แต่คนจบจากมหาลัยมีเพิ่มขึ้นมากกกก  กลายเป็นว่าซัพพลายของคนหางานเพิ่มขึ้นมาก แต่ดีมานด์ตำแหน่งงานมันเพิ่มนิดเดียว ผลก็คือว่าเงินเดือนที่แท้จริง(หักเงินเฟ้อ)แล้วลดลง นี่ไงครับคือคำตอบ และอีกอย่างนะครับ ช่วงปี 38-40 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจบูมมาก ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกพอดี ซึ่งเงินเดือนช่วงนั้นเป็นช่วงพีคพอดีครับ จากคุณ : Rhythm of Love เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:33:36

ความคิดเห็นที่ 21   ผู้สมัครกับอัตราจ้างงานมันแปรผกผันกันสูง มันก็เลยเป็นเยี่ยงนี้ จากคุณ : Che_Eng เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:40:13

ความคิดเห็นที่ 22 อันนี้ผมไม่ทราบนะ สำหรับผม ถือว่ารายได้ผมพอใช้สบายๆ ผมว่าน่าจะขึ้นกับความสามารถมากกว่าวุฒิด้วย จากคุณ : Fatalbringer เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:44:24

ความคิดเห็นที่ 23 เป็นเพราะแรงงานล้นตลาดหรือเปล่าครับ.. เอาง่ายๆ เลยดีกว่า อย่างแถวๆ ที่โรงงานผม ลูกน้องที่จบ ปวส. เหมือนกัน ผู้ชาย ถ้าได้เป็นพนักงานก็ Start หมื่นกว่า + OT + ค่าต่างจังหวัด รวมๆแล้ว เดือนนึงเกือบๆ 2 หมื่น แต่ถ้าเป็น ผู้หญิง มาเป็น Admin เป็นพนักงานรายวันวันละ 250 +OT ต่างกันเท่าตัวเลยทีเดียว จากคุณ : JenGo_KunG เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:44:56

ความคิดเห็นที่ 24 ในอีกมุมนึง คนที่ประสบความสำเร็จ เงินเดือนเกิน 2 แสนก่อนอายุ 40 ก็มีมากมายเช่นกัน สมัย 15 ปีก่อน คนจะทำแบบนั้นได้ ต้องเก่งขั้นเทพจริงๆ ปริญญาตรีมันต่ำลง สมัยก่อนคนจบตรี ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน (รุ่นพ่อรุ่นแม่ ชัดเจนมาก) สมัยนี้ จบปริญญาโทในไทย ยังรับโทรศัพท์ฝรั่งโทรมาไม่เป็นเลย ไหนจะความรู้อื่นๆ อีก Pay for performance ครับ จากคุณ : เด็กสร้างบ้าน คนสร้างภาพ เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:45:30

ความคิดเห็นที่ 25 สงสารก็แต่คนใช้แรงงานครับ ผมเคยไปนอนโรงพยาบาลมาสักพัก แม่บ้านทำความสะอาด อายุประมาณ 50 ปี มีเงินเดือน 4 พันบาท มีที่พักให้ ผมรู้สึกว่า... มันจะพอใช้ได้ไงหว่า จากคุณ : เด็กสร้างบ้าน คนสร้างภาพ เขียนเมื่อ : วันเนา 53 18:47:14

ความคิดเห็นที่ 26 ทั้งโหวต ทั้งถูกใจครับ อิๆ ก็เพราะผมไม่ใช่เจ้าของกิจการ จากคุณ : miraculous เขียนเมื่อ : วันเนา 53 19:17:35

ความคิดเห็นที่ 27 ถูกใจจริงๆครับ ค่าแรงไม่สัมพันธ์กับค่าครองชีพเลยครับ ทำงานได้ดีก็ไม่ขึ้นเงินเดือนให้ อ้างว่าเป็นrateมาตรฐาน จากคุณ : christ church เขียนเมื่อ : วันเนา 53 19:25:20

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาดู ในฐานะนายจ้าง จากคุณ : ลูกจ้างเก่า (Dr. Will) เขียนเมื่อ : วันเนา 53 19:29:53

ความคิดเห็นที่ 29 จ่ายเงินเดือนสูงกำไรเค้าก็ลดลงสิครับ จากคุณ : Final~Lab เขียนเมื่อ : วันเนา 53 19:34:14

ความคิดเห็นที่ 30 ผมเพิ่งจบใหม่ ขอสะท้อนมุมมองครับ เห็นด้วยจริงๆครับ ตอนเพิ่งเริ่มหางาน เมษา ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงกราฟดิ่งสุดๆ เรียกเงินเดือน 15K ซึ่งก็คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับมาตรฐานของตัวเอง ปรากฎว่าไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์เลยครับ แปลกใจว่ามันมากไปตรงไหน จนว่างงานมาช่วงนึ่ง เลยลดค่าตัวมาเรียก 10K บ้าง 12K บ้าง บริษัทโทรมาทุกวันเลยครับ จนสุดท้ายไปได้งานที่ได้เงินเดือน 20K ครับ ก็พออยู่ได้แบบสบายๆ แต่ถ้าจะให้เหลือเก็บ ต้องวางแผนดีๆ กับเงินก้อนนี้ครับ ซึ่งผมคงเน้นวางแผนใช้เงิน ไปกับการลงทุนทางด้านการศึกษาของตัวเองมากกว่า เพื่อหวังจะต่อยอดในอนาคตเงินเดือน 200K กับเค้ามั่งอ่ะคับ ส่วนความเห็นของ จขกท.ผมคิดว่ามันเป็นไปตาม Demand supply แหละครับ ถ้าเราContribute รายได้ให้บริษัทได้คุ้ม ผมว่าต้องมีบริษัทยอมจ่ายให้สมค่าตัวครับ จากคุณ : treser[*_-] เขียนเมื่อ : วันเนา 53 19:45:26

ความคิดเห็นที่ 31 ตราบเท่าที่บริษัทต่างๆยังแข่งกันตัดราคา แทนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นไป ตราบนั้นรายได้ของลูกจ้างก็ถูกกดลงไปอยู่เสมอ จากคุณ : numnumnum1 เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:05:07

ความคิดเห็นที่ 32 ที่น่าตกใจอีกอย่างนึงพวกผ่อนรถผ่อนบ้าน สมัยก่อนผ่อน10-15ปี เดี๋ยวนี้ผ่อน25-35ปีแถมเป็นคอนโดอีกต่างหาก จากคุณ : t.lek เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:18:06

ความคิดเห็นที่ 33   เด็กจบใหม่พวกบริษัทกดเงินเดือนแบบติดดินเลยครับ เผอิญว่าน้องชายตอนจบมาก็หางานแบบปูพรมเลย ไปสัมภาษณ์แล้วไม่เอาเต็มไปหมด แต่มีอยู่บริษัทหนึ่งตอบรับกลับมาทาง Email ว่ารับเข้าทำงาน บริษัทอยู่แถวมีนบุรี เป็นบริษัทเยอรมัน ที่บริษัทใช้แต่ภาษาอังกฤษ เผอิญน้องผมมันจบอินเตอร์มา เขาเลยเรียกให้ไปทำงานด้วย แต่พอบรรทัดที่เขาเขียนมาให้ว่าเงินเดือนเท่าไรนี่ ผมถึงกับอึ้ง 8,500 บาท ต่อเดือนครับ พ้นโปรก็ไม่มีปรับ อึ้งครับอึ้ง เผอิญผมทำงานก่อนหน้าน้องประมาณ 3 ปีกว่าๆ ตอนเริ่มทำงานผมสตาร์ท 11,500 บาท ทำงานอยู่ธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งดีกรีจบมานี่ไม่ได้ดีกว่าน้องผมเลย อินเตอร์ก็ไม่ได้เรียนมา สุดท้ายก็ไม่ได้เลือกที่นี่ครับ เพราะไม่ไหวจริงๆ จากคุณ : modmodmo เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:26:51

ความคิดเห็นที่ 34 เห็นด้วย เรื่องผ่อนบ้าน สมัยก่อนจัดได้แค่ยี่สิบปี ตาลีตาเหลือกโปะกัน สิบปีก็เป็นไทแล้ว แถมหลังหนึ่งสามสี่แสนเอง ทุกวันนี้ เห็นราคาบ้าน คอนโด แล้วปวดตับ แถมห่างเมือง ออกไปเรื่อยๆ แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 53 16:27:27 จากคุณ : PICCANINNY'S DAD เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:31:00

ความคิดเห็นที่ 35 เดี๋ยวนี้ผ่อนบ้านได้เต็มที่ 40 ปีนะครับ จากคุณ : อยากเห็นคนไทยบินได้ เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:38:15

ความคิดเห็นที่ 36 อ้อ เพิ่มเติมนะครับ ตอนนั้นทาวเฮ้าส์ใหม่ 20 ตารางวาซอยเสือใหญ่รัชดาราคาหลังละ 3 แสนกว่าบาทครับ ตอนนี้ทาวเฮ้าส์แบบเดียวกันต้องมี 3 ล้านอัพ หรือทาวเฮ้าส์สมัยนี้ทำเลรอบนอกก็ต้องมี 1.5-2 ล้านแล้วดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยขนาดนี้ คนทำงานจะมีบ้านของตัวเองยังไงครับ รุ่นผมผ่อนกันไม่ถึง 20 ปีก็ได้เป็นของตัวเองแล้ว แต่ตอนนี้แค่กินอยู่ไปวันๆยังเศร้า เห็นคนที่จบมาใหม่ๆเหนื่อยมากเลยครับ สู้ๆนะครับ จากคุณ : amry เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:40:11

ความคิดเห็นที่ 37 เราว่ามันก็แล้วแต่สายงาน แล้วแต่ความสามารถ ศักยภาพของบุคคล และก็แล้วแต่ด้วยว่าเนื้องานที่จะไปทำได้ใช้ความสามารถนั้นแค่ไหน อย่างสมมติเราเก่งภาษาอังกฤษมาก (สมมตินะคะ สมมติ 555) แต่ไปสมัครงานในบริษัทที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย ต่อให้โทอิคเรา 985 เค้าก็ไม่สนใจอ่ะ เงินเดือนเค้าก็ pay ให้เท่าที่เค้าจะได้ใช้งานจากเรา สรุปว่า ถ้ามั่นใจในศักยภาพตัวเอง ควรจะหางานที่ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ และขอให้มั่นใจว่าคุณจะทำงานได้สมกับค่าจ้างที่ได้รับมา อีกทั้งอาจจะต้องใจเย็นหน่อย เด็ดเดี่ยวพอที่จะปฏิเสธงานที่สัมภาษณ์ได้ เราว่าสามารถหาได้นะคะ เงินเดือนที่พอใจกันทั้งคนจ่ายและคนรับ จากคุณ : สาวแว่นเลี้ยวซ้าย เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:51:31

ความคิดเห็นที่ 38   พูดถูกต้องเลย แต่คนจบมันเยอะ นายจ้างเลยกดค่าแรงได้ จากคุณ : Ter เขียนเมื่อ : วันเนา 53 20:55:20 A:85.154.15.76 X: TicketID:182506

ความคิดเห็นที่ 39 สมัยนั้นโทรศัพท์นาทีละ 3 บาท เครื่องราคาเป็นหมื่น โปรโมชั่นไม่มี  แถมเสียทั้งโทรเข้า-โทรออก คอมพิวเตอร์เครื่องละ 4 หมื่น  ปรินเตอร์ราคาเหยียบหมื่น หน่วยความจำเม๊กกะไบต์ละ 1000 ไม่มีอากู๋  ไม่มีโปรแกรมวิเศษ  ไม่มีข้อมูลให้ค้นหามากมายแบบในปัจจุบัน  ไม่ีการทำธุรกรรมผ่านเน็ตที่สะดวกและลดค่าใช้จ่าย เครื่องเล่นวีซีดีตัวละ 6 พัน ทีวีจอหลอดหมื่นกว่า พวกนี้คือสิ่งที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา มีการแข่งขัน  ทำให้ราคาสินค้าถูกลง  แต่ต้องแลกกับการลดต้นทุนลงมา   มีทางเลือกมากขึ้น  ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น  กระทบกับความต้องการแรงงานที่ถูกทดแทนด้วยราคาและคุณภาพของสิ่งอำนวยความสะดวก จากคุณ : ชาวบางนา เขียนเมื่อ : วันเนา 53 21:22:38

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นด้วยนะคะ ลองดูมุมมองของเราบ้าง เราเองก็กำลังลำบาก เพราะกำลังหางานใหม่อยู่ แต่อายุเลข 3 ต้นๆ แล้ว งานหายากมาก เพราะเด็กจบใหม่เยอะ ตัวเลือกเยอะ แล้วเด็กสมัยนี้ภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่ 3 ก็เก่ง ทำเอาคนมีประสบการณ์อย่างเรา ลำบากเหมือนกัน บางที่ระบุเลยว่า จบการศึกษาจากสถาบันต่างประเทศจะพิจารณาเป็นพิเศษ แต่อายุและฐานะอย่างเรา คงไปเรียนต่างประเทศไม่ทันแล้วคะ สรุปว่า ตอนนี้นายจ้างได้เปรียบมากๆ อยากได้เด็กแค่ไหน เก่งแค่ไหน หรือประสบการณ์ทำงานมากแค่ไหน เขาเลือกได้เยอะ แถมกดเงินเดือนสุดๆ ต้องทำใจคะ บางทีเก่งอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมีดวงด้วยนะคะ จากคุณ : wasabi girl เขียนเมื่อ : วันเนา 53 21:26:11

ความคิดเห็นที่ 41 ......... ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะไม่เคยกินเดือน จบมาก็มาเป็นพ่อค้าเลย สู้ๆๆ กันก็แล้วกัน เพราะผมก็อยู่ได้เพราะรายได้ของพวกคุณ : ) จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : วันเนา 53 22:00:15

ความคิดเห็นที่ 42 ผมก็ไม่เห็นว่าคนจะรายได้น้อยยังไงเลยนะครับ เด็กจบใหม่ได้เงินเดือนสองหมื่นกว่าก็เยอะไป สามสี่หมื่นก็มีถ้าสมัครดีๆสำหรับตรี  ถ้าทำ consult หรือ IB ก็ได้อีกมากมาย หลายๆคนก็ทราบ แต่อย่าลืมครับ ไม่ใช่ทุกคนจะได้เงินดีเสมอไป..... คุณต้องเก่งพอที่จะให้เขาจ่ายเหมือนกัน ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว แทบทุกคนมีปริญญาหมด แต่ไม่ได้แปลว่าแต่ละคนมีความสามารถเท่ากัน จากคุณ : Blahz -_-' เขียนเมื่อ : วันเนา 53 22:06:58

ความคิดเห็นที่ 43   เงินเดือนตลาดแรงงานอ้างอิงตามค่าแรงขั้นต่ำประจำวันและเงินเดือนข้าราชการ แค่ภาครัฐยังไม่ให้ความสำคัญ ทำไมบริษัทต้องเพิ่มให้มันสูงเกินหน้าไปมาก บางคนอาจอ้างว่าข้าราชการมีสวัสดิการดีกว่า เเต่ขอถามว่ามีซักกี่คนที่ได้ใช้สวัสดิการ เหล่านั้นอย่างเต็มที่ บางคนบ้านมีฐานะอยู่ได้ ไม่ต้องพึ่งค่ารักษาพยาบาลที่กำหนดเพดานเบิก ไม่ต้องใช้สิทธิ์กู้ยืม ไม่ต้องเบิกพ่อแม่เพราะตัวคนเดียว บลา บลา บลา อย่าว่าเเต่เด็กจบใหม่เลยครับ คนที่ทำงานไปซักระยะจนถึงจุดอิ่มตัวในองค์กร คนเหล่านั้นก็จะถูกจ้างให้ออก เพราะอยู่ไปก็ไม่รู้จะให้ขึ้นไปไหนได้อีก โอกาสในการ พัฒนาองค์กรก็น้อยลง เอาเงินไปจ้างเด็กจบใหม่ได้อีกเยอะเเยะ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : วันเนา 53 22:32:53 A:125.24.238.198 X: TicketID:195709

ความคิดเห็นที่ 44 เด็กจบใหม่ได้ 2 หมื่นอาจมีครับ แต่ไม่ถึง 10% แน่ และที่คุณว่าขึ้นกับความสามารถ ไอ้ความสามารถที่ว่าเอาอะไรมาวัด ต่อให้คุณตั้ง KPI มาวัดประสิทธิภาพในการทำงาน คุณก็เลี่ยงความพอใจส่วนตัวไม่ได้หรอก ดังนั้นสังคมจึงแก่งแย่งกัน เลียนาย ขายเพื่อน เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ผมถามว่ารู้จักเงินเฟ้อไหมครับ ลองไปคิดดูว่าเงิน 13000 เมื่อ 15 ปีก่อนนั้นมันเทียบกับเดี๋ยวนี้เป็นเท่าไหร่ครับ จากคุณ : amry เขียนเมื่อ : วันเนา 53 22:59:54

ความคิดเห็นที่ 45 เงินเดือนจ่ายตามความสามารถครับ ถ้าเป็นของจริง อยู่ที่ไหนบริษัทก็ยินดีจ่าย แต่ของปลอมทำเหมือน บาทเดียวก็ไม่อยากจ่าย จากคุณ : I am fine thank you เขียนเมื่อ : วันเนา 53 23:01:11

ความคิดเห็นที่ 46 ค่าแรงขั้นต่ำน่ะครับ หากใคร อยากได้มากกว่าค่าแรงเฉลี่ยขั้นต่ำ ก็ต้องโดดเด่นมากหน่อย อืม.......   พูดยากมากๆ เอาเป็ว่า มีหลายคนที่รู้จักไม่ได้อยู่ในค่าเฉลี่ยของคนบางกอก มีทั้งมากกว่าเส้นเฉลี่ย และน้อยกว่าเส้นฉลี่ย แล้วก็ดูเขาจะอยู่กันได้น่ะครับ จากคุณ : tanoy_delphi เขียนเมื่อ : วันเนา 53 23:18:07

ความคิดเห็นที่ 47 อืม รู้ปัญหาแล้ว จะให้ทำไงดีล่ะ ขอช่วยกันแนะทางออกให้ดีกว่ามั้ยครับ เพราะผมก็อยากมีทางออกบ้าง จากคุณ : semi (Semi) เขียนเมื่อ : วันเนา 53 23:28:17

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่อยากจะบอก ลูกพี่ลูกน้องเรา เพิ่งจบมา ไำด้เงินเดือน 4,000 บาท ต่างจังหวัดคะ แต่ก็นะ จะเหลืออะไรล่ะนี่ จากคุณ : kaemboum เขียนเมื่อ : วันเนา 53 23:47:18

ความคิดเห็นที่ 49 ผมว่า จขกท.....เค้าตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อคนส่วนใหญ่นะครับ คือจบตรีส่วนใหญ่ หมายถึงเงินเดือนเฉลี่ยของประชากรที่จบใหม่นะครับ ไม่ใช่แบบว่าจบแล้วสตาร์ท 20000 40000 คือ จขกท เค้ากำลังพูดถึงคนส่วนใหญ่อะครับ ผมว่าคนที่ไปเทียบความสามารถ สถาบันเนี่ย นอกเรื่องแล้วอะครับ ผมมักจะคิดเสมอว่าเด็กที่เค้ามาทำงานเซเว่น อีเลฟเว่นเนี่ย เค้าอยู่ได้ยังไง ผมสงสารเค้านะ เซเว่นงานหนักมาก แถมทำเป็นกะอีก เมื่อคืนผมไปซื้อซาลาเปา ผมก็ถามน้องเค้าว่า "น้อง ๆ น้องไม่ได้กลับบ้านเลยหรอ แล้วเค้าจะให้น้องหยุดชดเชยอ๊ะเปล่า" น้องตอบว่า "ให้ค่าแรงเพิ่มค่ะ" ผมเองทำงานผมก็ไม่อยากจะทำเลยโอทีเนี่ย งานเลิกก็อยากกลับบ้าน เงินเดือนเรามากกว่าเค้า แต่ก็ไม่อยากทำล่วงเวลา แล้วดูน้อง ๆ พวกนั้นสิ ชั่วโมงไม่กี่บาท แถมต้องทำโอทีอีก ผมอดสงสารน้องพวกนั้นไม่ได้ น้องพวกนี้่ส่วนใหญ่ก็จบตรีกันมาทั้งนั้น กลายมาเป็นแรงงานเดือนละ 7-8 พัน เฮ้อออ เศร้าอะ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 53 23:59:11 จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : วันเนา 53 23:56:45

ความคิดเห็นที่ 50 Due? Deal? จากคุณ : kazama เขียนเมื่อ : วันเนา 53 23:57:40

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่เห็นด้วยสุดๆว่าสมัยนี้ เด็กจบใหม่ห่วยลง ไม่จริงเลยซักนิด เก่งขึ้นทุกรุ่นแหละ แต่ปัญหาคือ เมืองไทยตอนนี้อยู่ที่เดิมกับสิบปีที่แล้ว ประเทศที่ตลาดแรงงานเงินเดือนเยอะๆ ส่วนมากต้องมีภาคธุรกิจที่เข้มแข็งด้วย ซึ่งจะสังเกตุได้ง่ายกับในประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งสำหรับบริษํทพวกนี้ เงินเดือนที่ได้เยอะๆ ก็จะเป็นภาคที่สร้างมูลค่าได้สูง เช่นภาคบริการ พวกบริการทางการเงินต่างๆ (พวกที่ทำงาน wall street น่ะแหละ) หรือพวกที่อยู่บริษัทข้ามชาติขนาดยักษ์ อันนี้จะแตกต่างจากประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด เพราะภาคที่สร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจเยอะๆ จะเป็นภาคการผลิต แต่ถ้าดูในภาพลึกแล้ว สิ่งที่เราผลิต ไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มเลย เพียงแค่เป็นวัตถุดิบกลางสำหรับบริษัทยักษ์ๆแบบนี้อีกที ฉะนั้น มานก้อจนดักดานแบบนี้แหละ จากคุณ : ! o_o ! เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 00:08:27

ความคิดเห็นที่ 52 เพราะเด็กสมัยนี้มองที่เงินก่อนที่จะมองที่ความสามารถตัวเอง หลาย ๆ คนบ่นเรื่องเงิน แต่ทำงานเราว่าไม่คุ้มกับเงินที่เค้าได้เลย ทักษะเบื้องต้นยังทำไม่ได้ เช่น การใช้โปรเเกรม Microsoft office บางคนจบโทมาทำไม่เป็นเลย (อันนี้ประสบการณ์ตรง) ต้องให้สอน สอนแล้วก็ไม่จำ ทำงานแบบมึน ๆ ตลอด ผิดซ้ำซาก แล้วก็ชอบแก้ตัว แต่ชอบบ่นมากว่าเงินเดือนไม่เยอะ ไม่เข้าใจเลยว่าตอนเรียนเค้าทำอะไรอยู่ จบมาได้ยังไง อยากให้หลาย ๆ คนสำนึกว่าตอนนี้เรายังแข่งกันเองระหว่างคนไทยในตลาดแรงงาน แต่ต่อไปในอนาคตเราจะต้องแข่งกับแรงงานเพื่อนบ้านเราค่ะ รายได้ที่คุณได้ตอนนี้คิดว่าน้อยแล้ว ในอนาคตการแข่งขันทางด้านแรงงานจะแรงกว่านี้ ให้เตรียมตัวไว้เลย อันนี้เราไม่ได้พูดในแง่ของผู้ใช้แรงงานนะคะ แต่เป็นพวกพนักงานออฟฟิตนี่แหละค่ะ ฉนั้นถ้า corporate slave ทั้งหลายยังชะล่าใจ น้อยใจในโชคชะตา ปล่อยให้เวลามันผ่านไปวัน ๆ โดยที่ตัวเองไม่พัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อสายงานละก็ ในอนาคตคุณจะลำบากกว่านี้แน่นอน จากคุณ : Glico_alfie เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 00:10:09

ความคิดเห็นที่ 53 เห็นด้วยกับหลาย ๆ ความคิดเห็นะคะ ว่าสมัยก่อนคนเรียนจบปริญญาตรียังคงมีน้อยอยู่ ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยนี้ ดังนั้นปริญญาตรีในสมัยนั้น จึงมีคุณค่ามากกว่าสมัยนี้ เพราะคนเรียนน้อยกว่านั่นเอง และถ้าจะเทียบกับสมัยนี้ เห็นด้วยกับความเห็นที่ว่า ขั้นต่ำคงจะต้องเป็นปริญญาโท ซะแล้วล่ะค่ะ และอีกหนึ่งเหตุผล เด็กจบปริญญาตรีสมัยนี้ ทำงานแทบไม่เป็นเอาซะเลย จนบางครั้งยังงงว่าที่สถาบันที่จบมา อาจารย์เค้าสอนอะไรกัน ต้องคอยบอก ต้องคอยสอนแทบจะทุกอย่าง อะไรที่ไม่ได้บอก ก็คิดเองไม่ค่อยจะเป็น พยายามจะสอนให้คิด ดันไม่เข้าใจ คิดว่าพี่ไม่สอนงานให้อีกต่างหาก บางครั้งเหนื่อยนะคะกับการสอนเด็กจบใหม่ ต้องคอยบอกคอยสอนแทบจะจับมือทำงานอยู่แล้ว เด็กจบปริญญาตรีอายุ 22 - 23 แล้ว ยังง้องแง้งเหมือนเด็ก ๆ ดุนิดหน่อยก็น้อยใจ จะลาออก คนเป็นพี่ที่ควบคุมกลุ้มเหมือนกันนะคะ เจอเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้ และไม่ได้มีแค่คนเดียวนะคะ ส่วนใหญ่เด็กจบใหม่แทบจะ set แบบนี้แป๊ะ ประสบการณ์ก็ไม่มี แต่...อยากได้เงินเดือนเยอะ ๆ ซึ่งเราว่าคนสมัยก่อนไม่ได้คิดแบบนี้นะคะ คนสมัยก่อนมักจะคิดว่างานอะไรก็ได้ ขอให้ได้ประสบการณ์ ยินดีที่จะทำทั้งนั้น เด็กสมัยก่อน หนักเอาเบาสู้มากกว่าเด็กสมัยนี้ และเด็กป.ตรีสมัยก่อนจบออกมาก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าสมัยนี้ ไม่ง้องแง้ง งอแง มากนัก ฝากไปถึงน้อง ๆ ที่กำลังหางาน กำลังท้อกับเงินเดือนที่ได้รับไว้หน่อยนะคะ อยากให้เปลี่ยนแนวความคิดที่ว่าเงินเดือนจะต้องจ่ายตามวุฒิ จำนวนปีที่ทำงาน เงินเฟ้อ ขอให้เปลี่ยนแนวความคิดมาเป็นว่าเงินเดือนเค้าจะจ่ายตามความรู้ความสามารถดีกว่านะคะ จะได้ไม่รู้สึกท้อเวลาได้เงินน้อย เพราะต้องลองมาพิจารณาตัวเองดูว่า เงินเดือนที่ได้เหมาะสมกับสิ่งที่เราให้กับนายจ้างไปรึเปล่า มิใช่เอาคุณวุฒิ หรืออื่น ๆ มาเป็นตัวตั้ง ส่วนความสามารถ วัดกันได้แน่นอนค่ะ จากผลของการทำงาน ไม่จำเป็นต้องใช้ KPI อะไรด้วยซ้ำไป ผลของงาน ก็ออกมาเห็น ๆ อยู่แล้ว อย่าไปคิดว่าคนส่วนใหญ่ก้าวหน้าได้เพราะเลียแข้งเลียขานะคะ ยุคนี้มันยุคสองพันสิบแล้ว ทุกธุรกิจต่างแก่งแย่งแข่งขันเพื่อหารายได้เข้าบริษัทกันทั้งนั้น เค้าไม่เลี้ยงคนที่ไม่ควรจะเลี้ยงไว้หรอกนะคะ การจะประเมินพนักงานคนหนึ่ง แค่ช่วงโปรก็พอจะรู้บ้างแล้วค่ะว่าใครทำงานได้จริง ใครเก่งแต่ปาก แต่ถ้าจะถามว่าใครเก่งจริง หรือแค่ทำงานได้ก็คงต้องดูผลงานซักระยะหนึ่งก่อน จากคุณ : สายรุ้งกลางฟ้า เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 00:21:34

ความคิดเห็นที่ 54 มันเป็นเรื่องของdemandกับsupply คนจบใหม่เยอะขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ยังไงก็คงยากที่จะแก้ไขที่ระบบค่ะ ต้องพยายามพัฒนาตัวเองดีกว่า หาทางเพิ่มทักษะต่างๆ เค้าใช้งาน 100 ก็ทำไป 150 ถ้ามีความพยายาม ยังไงอะไรๆก็ต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ค่ะ สู้ๆกันนะคะ จากคุณ : ทาสผู้ซื่อสัตย์ของท่านซิเรียส เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 00:34:53

ความคิดเห็นที่ 55 บางคนก็ชอบมองข้ามช้างเผือก ชอบมองแต่ช้างในเมือง เน้อ^^ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 01:01:32

ความคิดเห็นที่ 57 ขึ้นกับคุณภาพครับ จบ ม ของรัฐ ไม่ค่อยดังในภาคกลาง ผมเห็นช่วงทดลองงานได้ 18k - 22k ถมเถไป จบใหม่ อยากได้เยอะๆถามน่อยเหอะ ทำไรเป็นมั่ง บุคลิกดีไหม ภาษาได้ไหม สอบข้อเขียนผ่านไหม (แค่สอบข้อเขียนนี่ผมเห็นมาเป็นร้อย แต่ผ่านอยู่ 3 คน) ส่วนใหญ่ที่จบใหม่มาสตาร์ทน้อยๆผมก็เห็นว่ามันเหมาะกับงานแล้วนะ ถ้างานที่คุณทำสร้างผลประโยชน์ให้บริษัท 35000 ต่อเดือน คุณถึงจะเหมาะสมที่จะได้เงินเดือน 20000 ต่อเดือน จากคุณ : Rapter เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 02:05:41

ความคิดเห็นที่ 58   เห็นคุณ Amry เอ่ยถึงสิงคโปร์ เลยมาตอบด้วยครับ ผมเพิ่งจบใหม่ ทำงานธนาคารในสาย IB IT เนื่องด้วยจบวิศวะคอมที่เกาะนี้ ค่าเรียนที่นี่ หักกู้ต่างๆแล้ว ยังต้องจ่ายเองปีละราวๆ 1.5-2 แสนบาท ในระดับปริญญาตรีอะครับ ผมไม่ได้ทุนหรือไร เลยเป็นหนี้กู้เรียนราวๆ 5แสนกว่าบาทตลอดสี่ปี ดังนั้นหากมาคิดดูเรื่องต้นทุนในการเรียนแล้ว รวมถึงค่าครองชีพ ที่สูงกว่าไทยราวๆ 3-4 เท่า (ดูจากราคาก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด กระดาษทิชชู่) มันก็สมเหตุสมผลที่นิสิตจบใหม่ที่นี่ได้เงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ยราวๆ เจ็ดหมื่นบาทครับ พอหักค่าที่พัก (ห้องนอนห้องเดียว อย่างต่ำก็หมื่นสอง) ค่ากิน ค่าเดินทาง รวมทั้งคืนเงินให้แก่ธนาคารที่ปล่อยกู้การศึกษา ไปๆมาๆ เหลือเก็บเผื่อฉุกเฉิน ไม่ถึงหมื่น(เพิ่งปีแรกครับ ยังมีหนี้อยู่) ซึ่งถ้าดูเพื่อนๆผมบางคนที่จบจากมหาลัย ได้ในระดับเกียรตินิยมไม่ว่าจะหนึ่งหรือสอง เหล่านี้คงเป็นกลุ่ม top percentile ของคนจบในประเทศ สตาร์ทที่ 2.5-4.5หมื่นบาท ผมว่าเผลอๆเค้าเก็บได้มากกว่าผมอีกนะครับ ผมเห็นด้วยเลยครับว่านายจ้างกดมากๆ ดูง่ายๆจากงาน บัญชี (ดูได้จากเงินสตาร์ทที่ Big 4) หรืองานธนาคาร หรือแม้กระทั่ง ด้าน FMCG เช่น P&G, Unilever ซึ่งจากที่เห็นเพื่อนเก่าในไทย ก็ได้ราวๆ ค่ามีนที่เกาะนี้ หารสามกว่าๆหรือสี่พอดีเลย (1-2หมืน) >.< แทบไม่มีเหลือเก็บกันเลยในปีแรกๆ ขอแก้ไขลบชื่นสถาบันเพราะมิได้มีเจตนาล่อเป้าครับ แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 53 02:23:01 จากคุณ : การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ (เด็กติดเกาะสิงคโปร์) เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 02:13:58

ความคิดเห็นที่ 59   คงต้องถามกลับ...ว่าเด็กจบใหม่ทั้งหลายที่โดนกดค่าแรงนั้น มีอะไรนอกจากปริญญา และTranscript หรือเปล่า? ผมจบวิศวะโยธา สีเหลืองแดง เกรด2.5 เรียน5ปี ยังไม่ได้ใบ กว. เคยสมัครงาน 3 ที่ช่วงใกล้จะจบ เคยสมัคร บ.ปริญสิริ แต่ติดที่อาจเรียนต่อในอนาคต ก็บอกเขาไปตรงๆ เขาไม่รับก็ไม่ว่าอะไร เคยสมัคร บ.แห่งหนึ่ง ทำงานเกี่ยวกับคอนกรีตแถวๆรังสิต เสนอให้เรา9000บาท ผมก็ไม่เอา ที่สุดท้าย สมัครงานบริษัทต่างชาติที่เข้ามาตั้งในไทย เสนอไป20000 เขาให้ผม25000 แต่สวัสดิการมีแค่ประกันสังคม และทำงานค่อนข้างหนัก(48hr/week) ทำมาแล้ว10เดือน ตอนผมสมัครงานผมไม่ได้มีปริญญาอย่างเดียว ผมมีวุฒิบัตรของ วสท.ที่ไปอบรมมา 3 ใบ ประกาศนียบัตรอีก2ใบ หนังสือรับรองการฝึกงานจากTechnip อีกใบ ผมคิดว่ามันอยู่ที่... 1. คนจบปริญญาปีๆหนึ่งมีกี่คน ไม่ต้องนับก็ได้ ตอนเข้าพิธีรับพระราชทานก็ดูๆเอา พวกนี้แหละ คู่แข่งเราทั้งหมดในตลาดแรงงาน เยอะแค่ไหน คิดเอาเอง ถ้าเรามีแค่กระดาษเหมือนๆกันที่เรียกว่าปริญญา และไม่ได้มีเกียรตินิยม หรืออะไรที่จะบอกว่า "ข้าเหนือกว่าพวกบัณฑิตโหลๆผลิตจากโรงงาน" นายจ้างก็ไม่มีเหตุผลที่จะจ้างเรามากกว่าคนอื่น ตอนเป็นนักศึกษา ใช้สิทธิ์ให้คุ้ม พวกสมาคมวิชาชีพทั้งหลายมีราคานักศึกษาอยู่แล้ว เอาเวลาว่างไปอบรม เอาความรู้ เอากระดาษวุฒิบัตร 2. เขาให้เงินหลักพัน ต้องถามตัวเองว่าแค่นี้เหรอ? ไอ้ "อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา" น่ะมันใช้ได้ แต่ไม่ใช่กับทุกกรณี มัวแต่มองโลกในแง่ดีว่าทำไปก่อน เอาประสบการณ์ งานดีๆที่เราไม่เจอ คนอื่นก็งาบไปกิน ถ้ามั่นใจว่าตัวเองมีค่ามากกว่าบัณฑิตโหลๆยกแพ็คผลิตจากโรงงาน ก็ต้องกล้าปฏิเสธงาน จากคุณ : มิได้มุ่งหมายให้พ้อง เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 08:54:01 A:119.31.10.105 X: TicketID:264403

ความคิดเห็นที่ 60   เห็นด้วยกับ จขกท ครับ แต่เรื่องนี้มันอธิบายง่ายๆด้วยหลักเศรษฐศาสตร์เลยครับ มันเป็นเรื่องของ ดีมานด์ และ ซัพพลาย เด็กจบ ป.ตรี ในปัจจุบันโคดเยอะเลยครับ  แต่ละปีจบออกมาไม่รู้กี่แสน 15ปี ที่ผ่านมา คูณด้วย เด็กจบ ป.ตรีปีละ 3แสน เท่ากับมีคน จบ ป.ตรีเพิ่มขึ้น 4.5ล้านคน  ในขณะที่ภาคเอกชนใหญ่ๆเพิ่มขึ้นน้อยมาก ภาครัฐเท่าเดิม ส่วนsmeผุดขึ้นมามากหน่อย แต่ก็ไม่ได้เศษเสี้ยวของเด็กจบใหม่ที่เพิ่มขึ้น ลักษณะนี้เด็กจบใหม่ก็เหมือนกับสินค้าล้นตลาดไงครับ ในฐานะที่ผมผ่านมาทั้ง2ด้านแล้ว ทั้งด้านลูกจ้าง และ ผู้ประกอบการ ผมมองเรื่องนี้ง่ายๆ ในฐานะเด็กจบใหม่  หางานทำไม่ได้ มีคนให้เดือนละ8500บาท ผมก็ต้องทำอยู่ดี   จริงไหม ถ้าไม่เอาก็ไม่มีกิน ในฐานะนายจ้าง ผมโยนเงินไปเดือนละ 8500บาท ก็มีคนแย่งกันสมัครแล้ว ผมจะต้องไปเพิ่มอีกทำไม   ส่วนไอ้เรื่องที่ว่า เด็กจบใหม่คุณภาพด้อย กว่าในอดีต ทำให้เงินเดือนน้อย อันนี้มันคนละเรื่องเลยครับ   มันเป็นเรื่องของดีมานด์และซัพพลายล้วนๆครับ จากคุณ : Cabriolet เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 09:14:16

ความคิดเห็นที่ 61 นายจ้างที่บอกว่าเด็กห่วยลง ก็ลองจ่ายสัก 30000 สิครับ ไม่ใช่ 12000 จ่าย 12000 ก็คงได้แค่เด็กกลางๆ แถมจ่ายน้อยกำลังใจจะทำงานมันก็ไม่มีอีก จ่ายเยอะแล้วบอกว่าไม่ดีจะเอาออกดีกว่า รับรองทำงานกันเป็นไฟ เพราะกลัวโดนเอาออก แถมหางานจ่ายเยอะขนาดนี้ก็ไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่รู้เอาเงินไปจ้างลูกน้องสามคนดีกว่าหรือเปล่านะ :P จากคุณ : Toey84 เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 10:35:13

ความคิดเห็นที่ 62 เคยคุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ร่วมงานกัน ต่างก็วางแผนให้ลูกทำงานในต่างประเทศก่อน (คือรุ่นเราไม่ทันแล้ว) ไม่ได้เน้นเงินเดือน (แต่ไม่ได้ต่ำจนเครียดล่ะ) มุ้งเน้นประสบการณ์และกระบวนการคิด โมเดลเสื่อผืนหมอนใบมันยากแล้ว มันมีแต่สร้างความเชื่อมั่น ร่วมมือกับทุน บริหารทุน รับส่วนแบ่ง ... อนาคตข้างหน้ามันไม่แน่ แต่คนคิดเป็นจะอยู่รอดน่ะ .. คิดผิด คิดใหม่ อย่าไปยึดติด เหมือนเราต้องเปลี่ยนค่านิยม หากยังมุ่งหางานในเมืองไทย เพื่ออยู่กับครอบครัว พ่อ แม่ ก็ต้องยอมรับระบบเงินเดือนที่แปลกๆ แบบนี้ไปก่อน ยิ่งสมัยนี้แรงงานข้ามชาติเยอะมาก พวกมาทาง พม่า จีน อินเดีย จะมุ่งมั่นกว่าเราเยอะ (ไม่ค่อยไฮโซแบบฝรั่ง) ทำให้เป็นตัวเลือกที่แข่งกับเราได้ เพราะเราแก้สังคมไม่ได้ เราแก้ภาพรวมของประเทศไม่ได้ ทางออกคือ "คิดให้มากๆ" "หาโอกาส" และ "ลงมือทำ" เจอสังคมยุคเปลี่ยนแปลงพอดี อาจจะต้องมองและตั้งสติกันเยอะๆหน่อยครับ จากคุณ : KENG76 เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 10:41:02

ความคิดเห็นที่ 63   สำหรับเรา เท่าที่รู้ ถึงจุดหนึ่ง ดัชนีชนิด(บุคคล/อุตสาหกรรม) ดัชนีเวลา ดัชนีสถานที่ เป็นปัจจัยและตัวกำหนด รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้การทำงานง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ความสำคัญในการใช้แรงงานทั่วไปลดลงไปมาก ยกเว้นแรงงานที่มีความสามารถ มีทักษะ มีพัฒนาการที่ดี บางอุตสาหกรรมเช่น โรงสีข้าว โรงอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร มีการใช้แรงงานคุณภาพต่ำลดลงกว่า 80% แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น กว่าเดิม 50% ฯลฯ จากคุณ : หัวใจจากท้องทะเล เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 10:42:43

ความคิดเห็นที่ 64 คือถ้าจะแก้ปัญหานะ ขอทำความเข้าใจกับต้นเหตุของปัญหาก่อน เราเองก็ทดลองมาหลายแบบนะ ทำมาหลายปี ยอมรับว่าช่วงหลังๆ นี้ ยอมจ่ายแพงๆ เพื่อจ้างคนที่เข้ามาแล้วทำงานได้เลย ไม่สนว่าวุฒิอะไร อย่าง Project Manager ที่บริษัท เมื่อตอนที่รับเข้ามา เค้ายังไม่จบตรีเลยด้วยซ้ำไป แต่ลอจิกดีมาก เราพบว่าทำแบบนี้คุ้มกว่า ดีกว่า สบายกว่า จ่ายเยอะ แต่ก็ได้งานจริงๆ แต่ขณะเดียวกันมันก็มีงานบางอย่างที่ "ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง" คือเราต้องการแค่ ปวช. ปวส. ก็ทำได้ (ถ้าเป็น ปวช. ปวส. เหมือนสมัยก่อนที่เราเคยร่วมงานด้วย) ดังนั้นอันที่จริงเงินเดือนขั้นต่ำ 12,000 นี่คือสำหรับตำแหน่งงานที่ต้องการเพียง ปวช. ค่ะ เราเคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าไม่รับเด็กจบใหม่เลย แล้วเค้าจะไปเอาประสบการณ์จากที่ไหน มันก็เหมือนกระทู้ที่บ่นๆ กันว่า รับแต่คนมีประสบการณ์ ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เด็กจบใหม่บ้าง ก็เพราะว่า บริษัทรับคนมีประสบการณ์ แล้วไม่ต้องมาปวดหัวกับคุณภาพเด็กจบใหม่ที่ "ใช้ไม่ได้" ยังไงล่ะ เอ้า.. เหมือนจะวนเป็นงูกินหาง ก็ถ้าเด็กจบใหม่ไม่มีโอกาสทำงาน แล้วจะมีประสบการณ์ได้ไง (ละโว้ย) ดังนั้นมันก็ต้อง balance บ้าง คืองานบางอย่างต้องจ่ายแพง ก็จ่าย งานบางอย่างเป็นงานพืันฐาน ก็จ่ายเรทปกติ ซึ่งอันที่จริงย้อนไปตรงข้างบน ตำแหน่งงานนั้นๆ เราต้องการคนจบ ปวช. ต่างหาก แต่ว่ามันไม่มีเลยแฮะ หายไปไหนหมด ในกระทู้ก่อนๆ ที่เราเล่าประสบการณ์ทำงานให้ฟัง เราเคยพูดไปแล้วว่า โครงสร้างเศรษฐกิจน่ะ มันจำเป็นต้องมีคนระดับ "ปฏิบัติการ" เป็นคนลงมือทำ คือการศึกษาภาคบังคับที่จบ ม.6 ปวช. หรือปวส. (วิชาชีพเฉพาะทาง) จำนวนมากๆ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เหมือนอย่างในญี่ปุ่น ซึ่งคนทำงานก็จะคุ้มทุนเร็วด้วย ไม่ต้องมานั่งกลุ้มว่าลงเรียนมหาวิทยาลัย เสียเงินไปตั้งเยอะ เพียงแค่จบ ม.6 หรือ ปวช. ก็เริ่มงานได้ทันที ไม่กี่ปีมีประสบการณ์มาก ยิ่งถ้าเก่งๆ หัวดี ลอจิกดี ก็ก้าวกระโดดได้ไว ไปเรียนต่อก็ง่ายเพราะคุณเข้าใจแล้วว่าจะเอาสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้กับการทำงานได้ยังไง เราถึงได้รู้สึกว่า การศึกษาในเมืองไทย ต้องการการปฏิรูปทั้งระบบ จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 11:34:56

ความคิดเห็นที่ 65 รายได้เด็กจบใหม่ไม่ปรับตัวตามค่าครองชีพ หลายท่านพูดถึงสาเหตุไปแล้ว และผมก็คิดว่ามันครอบคลุมครับ แต่ยังไงซะผมก็มองไปที่เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตการทำงานมากกว่า ยิ่งคนรุ่นผมและรุ่นน้องมีคุณภาพไม่ตรงใจตลาดแรงงานแบบนี้ผมยิ่งสบาย โอกาสขึ้นเป็นระดับบริหารของผมชัดเจนมาก ขึ้นอยู่กับเวลาอย่างเดียว และผมเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่มีโอกาสก้าวหน้าแบบผมครับ เมื่อเปิดเสรีแรงงานในภูมิภาคอาเซียนแล้วสถานการณ์ในตลาดแรงงานจะยิ่งรุนแรงกว่านี้อีกครับ ผมห่วงเพื่อนๆน้องๆรุ่นเดียวกันที่ยังไม่ปรับตัวในชีวิตการทำงาน ไม่ทำตัวให้เป็นมืออาชีพจริงๆ เพราะเมื่อเปิดเสรีแรงงาน แรงงานทั้ง Skill และ Unskill จากชาติเพื่อนบ้านจะไหลเข้ามาที่ประเทศเราจำนวนมากครับ แล้วท้ายที่สุด คุณจะจ้างใครระหว่างคนเวียดนามที่พูดเวียดนาม ฝรั่งเศส ไทยได้กับคนไทยที่พูดได้แต่ภาษาไทยครับ? จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 11:36:33

ความคิดเห็นที่ 66 ช่วยๆกด VOTE โหวต กันก้ดี นะครับ ทั้งถูกใจครับ อิๆ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 11:38:56

ความคิดเห็นที่ 67 มีหลายความเห็นข้างบน ที่น่าสนใจ คือมันเป็นไปตามสภาวะตลาดและการแข่งขัน ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี ตลาดเสรี การแข่งขันกับแรงงานจากประเทศอื่นๆ ต่อไปปัญหาจะไม่ได้อยู่แค่ปริญญาตรี แต่จะลงไปถึงระดับ ม.6 ปวช. ปวส. เนื่องจากทักษะของแรงงานของเรามีไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับตลาดโดยทั่วไปได้ ถึงแม้จะยกระดับการศึกษาให้สูงขึ้น ก็ไม่ได้ช่วย จะจบตรีจบโท มันก็ไม่เกี่ยว เพราะที่สำคัญมันอยู่แค่ว่า "คุณทำได้หรือเปล่า" เท่านั้น อย่างที่พวกเราก็เคยรู้สึกๆ กันอยู่ ว่าบริษัทต่างชาติไม่ดูวุฒิ ดูแค่ความสามารถ นั่นแหละค่ะ ใช่เลย! แล้วศักยภาพแรงงานของประเทศเราในภาพรวม ดีเพียงพอหรือยัง เอาเป็นว่าเราตัดพวกเก่งเวอร์ปลายเคิร์ฟออกไปแล้วนะ เอาที่เฉลี่ยๆ กลางๆ เคิร์ฟเนี่ยแหละ สมมุติว่า กลุ่มที่เล่นอยู่ในพันทิปส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่อยู่กลางเคิร์ฟ (แน่นอนมีปลายเคิร์ฟอยู่บ้าง แต่เราจะไม่พูดถึง) เคยเห็นมั้ย กระทู้ที่เวลาเอาข้อมูลจากเว็บต่างประเทศมาลง เป็นภาษาอังกฤษ และจะมีคนมาโพสต์ว่า "ช่วยแปลให้หน่อย" ต๊ะเอาไว้ตรงนี้ก่อนนะ นี่แค่เรื่องทักษะด้านภาษา ลองคิดกันต่อดูถึงทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านตรรกะ การสื่อสาร การประสานงาน การค้นคว้า ฯลฯ หันไปดูตลาดนิดนึง สมมุติว่าเราแบ่งส่วนของผู้ประกอบการออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ หนึ่งคือผู้ประกอบการระดับ International ซึ่งหมายถึงว่า มีลูกค้าจากหลายประเทศไม่ใช่เพียงลูกค้าคนไทย (ถึงแม้บริษัทจะอยู่ในไทย แต่รับงานจากบริษัทต่างชาติในไทยเนี่ยแหละ ไม่ต้องออกไปเมืองนอกหรอก) กลุ่มสองคือผู้ประกอบการระดับ Local คือให้บริการเฉพาะในท้องถิ่น เช่นอาจเป็นระดับอำเภอ หรือจังหวัดของตัวเอง บริษัทเกือบทั้งหมดในกรุงเทพ เป็นแบบที่ 1 มีที่เป็นแบบที่ 2 บ้างแต่น้อย Assume อีกว่า เป้าหมายของบัณฑิตใหม่ที่หางานทำในกรุงเทพ ก็คือบริษัทแบบที่ 1 ไม่เลือกแบบที่ 2 ลองวิเคราะห์ต่อสิคะ ว่าทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นในการทำงานกับบริษัทเหล่านี้ และบัณฑิตใหม่ของเรา มีทักษะเหล่านั้นหรือยัง สู้กับแรงงานต่างชาติได้หรือเปล่า (เค้าเป็น inter กันแล้วนะ) จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 11:51:14

ความคิดเห็นที่ 68 อันที่จริงมีจุดที่เด็กรุ่นใหม่ได้เปรียบ คือความสามารถในการปรับตัวกับสภาวะยุ่งเหยิง (chaos) ทั้งนี้เนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมของสังคมที่เป็นอย่างนี้เอง คงไม่ต้องวิเคราะห์ต่อเพราะน่าจะเห็นพ้องกัน เด็กรุ่นใหม่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า ดังนั้นต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ปัจจุบันนี้ องค์กรขนาดใหญ่ๆ มีอายุเฉลี่ยของระดับบริหารที่ต่ำลงเรื่อยๆ เพราะความที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมาก คนที่มีความสามารถจัดการกับเทคโนโลยีได้ดีก็จะได้เปรียบ เราน่าจะมองตรงนั้นว่าเป็นโอกาส คือ วัยวุฒิ อาวุโส อะไรแบบสมัยก่อน ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไปแล้ว นั่นก็คือคุณมีโอกาสในการเติบโตมากกว่าสมัยก่อนจริงไหม มันก็ย้อนกลับไปที่ประโยคเดิมนั่นเอง "แล้วคุณทำได้หรือเปล่า?" จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 11:56:04

ความคิดเห็นที่ 69 เท่าที่อ่านนะครับ หลายท่านบอกว่า "เงินเดือนจ่ายตามความสามารถ" อันนี้ผมไม่เถียงเลยครับ เห็นด้วยและสนับสนุน ครับ แต่ "จะมีสักกี่แห่งล่ะครับ ที่ประเมินความสามารถอย่างสะท้อนความเป็นจริง" น่ะครับ ผมเห็นหลายที่มาก บางคนทำงานหนักแทบตาย แต่พอประเมินกลับได้ประเมินเท่ากับคนที่ แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะครับ แล้วแบบนี้ จะให้เค้าทำยังไงเหรอครับ เค้ามีความสามารถ มีผลงาน แต่เวลาประเมินกลับได้การประเมินเท่าคนอื่นซะงั้นน่ะครับ พอบอกว่า ถ้าองค์กรคุณแบบนี้ ให้คุณหางานใหม่สิ อยากจะบอกว่า องค์ประกอบในการย้ายงานมันก็มีนะครับ การย้ายงานแต่ละครั้งมันก็มีความเสี่ยง มีต้นทุนในการย้ายงานด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่จำเป็นคนไม่มีใครเค้าอยากย้ายงานกันหรอกครับ เห็นไหมครับ มีความสามารถ มีผลงาน แต่ยังจ่ายแบบตลก ๆ เลยครับ ยิ่งถ้าทำงานต่างจังหวัด หรือธุรกิจครอบครัวยิ่งแล้วใหญ่ จ่ายผลตอบแทน ตลกมากมาก เคยเห็น manager โรงงานขนาดใหญ่ ใหญ่มาก ๆ แต่ขึ้นเงินเดือนเป็นเศษสตางค์ไหมครับ นี่เรื่องจริงครับ ทั้ง ๆ ที่ทำงาน 6-7 วัน กลับบ้านถ้ามีปัญหา โทรตามก็ต้องรับสายตลอด ตลกไหมครับ ตลกไหมครับ ที่ชีวิตของเรา สิ่งที่เราทุ่มเทมาตลอด ต้องขึ้นอยู่กับปลายปากกาของคนกลุ่มหนึ่ง ชี้ชะตาของเรา แนวคิดที่ว่า ทุ่มเทความสามารถของเราไปซะให้เต็มที่ แล้วเงินจะตามมาเอง มันเป็ฯแนวคิดที่ดีครับ ดีมากมาก แต่ในโลกความจริงมันไม่ได้เป็นตามตำรา หรือสิ่งที่คุณคิด 100% หรอกครับ ถ้าเป็นไปตามตำรา ป่านนี้หลายคนเป็นผู้บริหารไปมากมายแล้วครับ ส่วนแนวคิดที่ว่า ชั้นจ่ายน้อยนะ แต่ชั้นไม่ไล่เธอออก หรือ ถึงรายได้จะน้อยแต่ก็มั่นคงนะ อยากจะให้ปรับเปลี่ยนกันบ้างน่ะครับว่า จะมีบ้างไหมที่แบบว่า "มั่นคงนะ ไม่ไล่ออกง่าย ๆ แต่ก็ต้องทำงานด้วย และรายได้ก็ให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ น่ะครับ" เฮ้อ ราคาทองคำ ราคารถยนต์ ราคาน้ำมัน วิ่งไปเท่าไรกันแล้วครับ พี่น้องครับ ยังจะมา start กันที่ 8000 อีก สมัยนี้ กับสมัยก่อนราคาค่าครองชีพ ราคา ค่าข้าว มันก็แตกต่างกันเยอะแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 53 13:12:04 จากคุณ : mix_more เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 12:42:22

ความคิดเห็นที่ 70 สุด ๆ ครับ ยิ่งสำหรับเด็กที่จบนิติศาสตร์ (ทุกมหาลัยยกเว้น รัฐบาล 2 แห่งน่ะครับ) หางานยากมากกกก   ไปทำงานที่สำนักงานกฎหมาย  ก็โดนกดราคา  โดยให้เหตุว่าจะสอนงานให้อย่างนั้นอย่างนี้  แล้วก็ให้เงินเดือนน้อย ๆ   ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะครับ  เรตอยู่ที่ประมาณ 5-7 พันล่ะครับ ผมโดนมาแล้ว  เริ่มต้นที่ 2 พัน  เหอะๆ  ไม่ทำก็ไม่ได้ครับ  อยากได้ประสบการณ์นิ  อยากได้ความรู้นิ  และมีคนอีกหลายร้อยคนที่ตกเป็นลูกจ้างราคาถูกให้กับพวกหัวหน้าสำนักงานกดขี่เรื่องค่าจ้างครับ  (บอกตรง ๆ ค่ารถเมล์ที่ผมนั่งไป-กลับที่ทำงานแพงกว่าเงินเดือนที่ผมได้อีกครับ  นี่ยังไม่รวมค่ากินประจำวันน่ะ เหอะๆ  ถ้าพ่อแม่ไม่อุดหนุน  มีหวังอ้วกแตก...) ปล....เด็กจบนิติฯใหม่ ๆ จะยังไม่มีตั๋วทนาย กันครับ  เลยโดนกดแบบเขาจะให้เท่าไหร่ก็ต้องยอม   ในเวปสภาทนายก็มีการกล่าวถึงประเด็นนี้กันครับ ส่วนถ้ามีตั๋วทนายแล้ว  ก็จะได้เยอะขึ้นมาหน่อย  อันนี้แล้วแต่ความสามารถของบุคคลแล้วครับ แก้ไขครับ "ผมทำไปแค่ 2 เดือนก็ลาก่อนครับ สำนักงานนี้" แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 53 13:00:56 จากคุณ : คนไม่พิเศษ "ซาคุ" เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 12:58:12

ความคิดเห็นที่ 71 ปัญหามีหลายแบบจังเลย คิดกันว่าเด็กจบใหม่ไม่มีคุณภาพ มาบ่นว่าเด็กทำอะไรไม่เป็น วิธีแก้ - ตอนสัมภาษณ์ เอาเข้ามา ก็ดีๆหน่อย เอาให้มั่นใจหน่อย มองเรื่องทัศนคติเยอะๆ จะทำงานร่วมกับใครก็เอาหัวหน้าคนนั้นไปคุยด้วยว่าจะเข้ากันได้ไหม ดูนานๆค่อยรับ ผมเห็นความเห็นที่มาบ่นๆทีหลังเนี่ย บอกตรงๆผมเบื่อครับ  บางทีเด็กจบใหม่แบบผม ที่สู้ทุกๆงานก็น้อยใจครับ เหมือนโดนเหมาไปด้วย - ปริญญาตรีมันเข้ามาเรียนง่ายไป สมัยนี้ใช้เงินน้อยกว่าเดิม แถมมีกู้ด้วย จริงๆควรจะจ่ายแพงๆหน่อย คือ ให้คนที่พร้อมจริงๆ เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยอะครับ คนที่ไม่พร้อม ไม่ควรเรียน แต่ด้วย สังคมไทย มันยึกติดกับวุฒิปริญญามากๆๆๆ (จนจะอ้วกออกมาแล้ว) ขอให้ได้จบตรี เนี่ยครับ มันเลยมี "กระบวนการช่วยให้จบ ป ตรี ได้ง่ายขึ้น" คุณภาพของคนจบใหม่เลยต่ำลง เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร กูเกิ้ล รับจ้างทำโปรเจค ฯลฯ เพราะงั้น เราต้องทำให้ประเทศไทย เลิก คิด เลิกยึดติดว่า เราต้องจบปริญญาตรี เราต้องคิดกันใหม่ว่า คนที่เรียนปริญญาตรีคือ - คนที่พร้อมจริงๆเรียนแล้วต้องจบ 100% ถ้าไม่จบอาจจะเพราะ เสียชีวิต หรือพิการ ทำให้เรียนต่อจนจบไม่ได้ - คนที่มีเงินจ่ายค่าเทอม ค่าอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องการเรียนทั้งหมด อยากให้เก็บให้แพงขึ้นกว่านี้ บางทีเข้า lab ก็อยากได้ทดลองของดีๆด้วย - คนที่มีเป้าหมายในชีวิตแล้ว ว่าจะทำอะไร และจะเรียนปริญญาตรีเพื่ออะไร อยากให้มหาวิทยาลัย จัดระบบการรับคนเข้าไปแบบนี้ดีกว่า นี่อะไร พอเรียน ม ปลาย เสร็จนะ จ้องงงงงงงจะเข้ามหาวิทยาลัยกันทันที ทำให้มีระบบ รร กวดวิชา อ.อุ๊เคมีมั่งละ ฟิสิกส์หมอประกิตเผ่ามั่งละ ขึ้นมาเรียกเก็บเงินลูกหลาน กว่าจะเรียนจบ ใช้เงินไปเท่าไหร่ !!! พอจบมา ได้เงินเดือนเท่าไหร่ !!! บางคนไม่มีหนี้ ทางบ้านช่วยค่าเรียน.........สบายตัว บางคนกู้เรียน...........จบมาเงินเดือนเท่าเนี้ย........ แล้วก็มาใช้หนี้อีก แทนที่จะเอาเงินคืนพ่อแม่ที่เขาอุตส่าเลี้ยงดู ส่งเสียจนเรียนจบ ดันต้องเอาเงินให้ธนาคารที่เราไปกู้มา เพราะเราอยากเรียน เพราะเราอยากจบ อยากมีวุฒิ..........ดีมั้ย มันเป็นไปไม่ได้ใช่ปะ ที่จะจบ ม 6 ปวช ปวส แล้วไปทำงานเลย ก็ทำๆไปสักพักหาประสบการณ์ หาเงินเก็บเงินไว้ ไม่ต้องมีหนี้ เหมือนเรียน ปตรี พอทำงานไปสักพัก...เออ เราชอบแบบนี้อะ อืม แบบนี้โอเคนะ ปริญญาตรีมีเปิดมั้ยนะ โฮ๊ มีเปิดด้วยแฮะ เงินเก็บเราทำงานมาได้สักพักละ ไปเรียนตรีละกัน ไปเรียนปุ๊บ โห..... ค่าเทอมแพงงงงงงงจัง แต่เราก็จ่ายไหวเพราะเราพร้อมจริงๆที่จะเข้ามาเรียนแล้ว เรียนจบเราก็มีทั้งประสบการณ์การทำงาน ว่างานหนักๆเราก็สู้มาแล้ว (ม6 ปวช ปวส) ตอนนี้เราก็เรียนจบ ตรี เราก็เป็นหัวหน้าได้เลย (แต่กว่าจะจบ มันก็ยากมากๆเหมือนกัน) เราก็ได้เงินเดือนในระดับที่เหมาะสม พร้อมๆกับไม่มีหนี้สินด้วย เพราะเราเรียนตรี โดยมาจากความพร้อมจริงๆ ....................... ........... .. มันจะเป็นไปได้มั้ยละ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 13:02:32

ความคิดเห็นที่ 72 กระทู้นี้โคตรโดนใจผมสุดๆ เอาไปเลย 3 กิฟ สุดๆ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 13:15:56

ความคิดเห็นที่ 73 กำลังจะเป็นเด็กนิติจบใหม่ปลายปีนี้ หนาวๆร้อนๆเลยทีเดียว ได้ยินมายาวนานเรื่องการฝึกงานตั๋วทนายเหมือนกัน แบบที่ีพี่ รี 70 ว่าไว้ จากคุณ : ศุกร์เล็งลัคนา เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 13:19:13

ความคิดเห็นที่ 74 อ่านความเห็นของคุณสาวน้อยร้อยแปดก็นึกขึ้นได้เกี่ยวกับเรื่องงานพื้นฐาน หลายๆ จบปริญญาตรีแล้วหลุดเข้าไปทำงานในลักษณะที่เป็นงานพื้นฐานเยอะ ซึ่งงานพวกนี้บางงานก็ไม่ได้ต้องการคนระดับปริญญาตรีด้วยซ้ำ งานพวกนี้เห็นด้วยว่าต้องจ่ายตามอัตราจ้างงานทั่วไป ทำดีก็ไม่ได้มีผลต่อบริษัทมาก วัดผลดีไม่ดีก็ไม่มีผลกับบริษัทเท่าไหร่ บริษัทก็เลยขึ้นเงินให้ไม่ได้มากเท่าไหร่ เช่น บางคนจบปริญญาตรี แต่ไปทำงานในช็อป ไปยืนขายของ หรือไปเป็นโอเปอเรเตอร์รับโทรศัพท์ ซึ่งเป็นงานที่ต้องมี แต่ไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจ แผนการหลักๆ ของบริษัทเท่าไหร่ งานพวกนี้มันก็คงจ่ายเยอะกว่าตลาดไม่ได้ จริงๆ คือ เวลาสมัครงานต้องดูด้วยว่าเราสมัครงานที่มันจะโตได้หรือเปล่า บางตำแหน่ง เป็นตำแหน่งที่ต้องมีเฉยๆ แล้วบริษัทก็ไม่มีที่ให้โตด้วย คุณออกเดี้ยวก็หาคนมาทำใหม่ได้ เพราะมันเทรนง่าย เป็นงานพื้นฐาน ก็อยากให้เด็กรุ่นใหม่มองหา career ไม่ใช่ job ซึ่งค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง career มันโตได้ มันก็จะโต แล้วเงินก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นด้วย แต่งานพวกนี้ก็ใช่ว่าจะหาง่ายๆ สำหรับคนที่จบมหาลัยไม่ดี คนที่จบมหาลัยดีๆ ก็อาจจะมีโอกาสด้านนี้เยอะหน่อย แต่คนที่หลุดไปทำงานพื้นฐานก็เยอะเหมือนกัน จากคุณ : Toey84 เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 13:27:50

ความคิดเห็นที่ 75 "บางคนทำงานหนักแทบตาย แต่พอประเมินกลับได้ประเมินเท่ากับคนที่แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะครับ" ถูกใจประโยคนี้ของคุณ mix_more มากเลยค่ะ เงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถเสมอไปค่ะ จากคุณ : Kuromiko เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 13:50:08

ความคิดเห็นที่ 76 คนที่บอกว่าเงินเดือน ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถจริงๆ ถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเอง ก็ลาออกเลยครับ คนมีความสามารถ ที่ไหนก็พร้อมจะจ่ายครับ คนที่อายุ 35+ เงินเดือนหนึ่งแสนบาทอัพ แล้วเปลี่ยนงานบ่อยๆ เปลี่ยนกี่ทีก็ยังเกินแสน มีอยู่มากมายนะครับ คำว่างานหายาก มันเป็นคำพูดของคนที่ความสามารถไม่ถึงครับ จากคุณ : แอบรักสาวใจร้าย เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 14:16:49

ความคิดเห็นที่ 77 อ่านแล้วเครียดดดดด T^T ทำกันด้าย จากคุณ : air_ae_1 เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 15:01:59

ความคิดเห็นที่ 78 มันก็น้อยจริงๆครับสมัยนี้ แทบไม่พอดำรงชีพในปัจจุบัน แถวนายจ้างยังคาดหวังว่า "เด็กจบใหม่จะต้องทำนู่นนี่นั่น เป็นทุกอย่างตามที่เค้าต้องการ" มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ  ยังไงก็ต้องมาสอนกันอยู่ดี ใครมันจะไปล่วงรู้ว่าคณคาดหวังมากแค่ไหน ล่าสุดไปสัมภาษณ์มา เค้าก็ให้ลองทำ Excel สูตร v lookup แต่ผมทำไม่เป็นหรอกก็เลยบอกเค้าไปตามนั้น เค้าก็เลยถามว่า"ทำไมทำไม่เป็นละคะๆ" จะบ้ารึ ไม่ได้เรียนมา และไม่ได้รู้ว่าจะต้องได้ใช้ จะทำเป็นได้ยังไง บริษัทคุณไม่ได้เปิดโรงเรียนสอนมาเพื่อ เป็นพนักงานที่นี่ซะหน่อย จากคุณ : bkkbakk เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 16:08:05

ความคิดเห็นที่ 79 แสนสองเลยเหรอ ค่าเฉลี่ยเงินเดือนเด็กจบใหม่แอดมินที่สิงคโปร์นี่เมื่อสี่ห้าปีก่อนแค่หกหมื่นเองนะ อะไรมันจะขึ้นเร็วขนาดนั้น จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 16:15:38

ความคิดเห็นที่ 80 ถูกใจกระทู้นี้มากๆ ค่ะ เราลาออกจากงานที่ กทม. เพราะไม่พออยู่พอกิน หางานใหม่ก็ยากมากๆ พอกลับมาบ้าน ลองหางานดู อัตราค่าจ้างต่ำมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 5000-7000 บาท จริงอยู่ที่อยู่บ้านเราเอง ข้าวมีกิน บ้านมีให้อยู่ แต่บางคนเค้าก็มีหนี้สิน หรือต้องช่วยเหลือครอบครัว มันก็ไม่พอจะใช้จ่ายอยู่แล้ว แล้วจะเอาที่ไหนมาเก็บ จริงไหมคะ? อย่างตอนนี้งาน admin ที่โรงแรมแห่งหนึ่งเปิดรับสมัครที่นี่ เงินเดือน 8000-9000 แต่เอาประสบการณ์ 3 ปี คือแทบไม่เปิดโอกาสให้เด็กจบใหม่ หรือ คนที่เพิ่งจบได้ไม่นานเลยค่ะ แลวก็เห็นประกาศรับสมัครอยู่ตลอด ไม่ได้คนสักที เค้าน่าจะลดสเป็กลงมาหน่อยเนาะ ตอนนี้ตกงานมา 7 เดือนแล้วค่ะ หางานที่บ้านตัวเองไม่ได้สักที จะดิ้นรนเข้า กทม.อีกทีก็คิดอยู่ว่าที่ใหม่จะให้เงินพอที่จะกินใช้และจุนเจือครอบครัวหรือเปล่า ขออภัยที่เข้ามาบ่นค่ะ แต่เหนื่อยใจกับการหางานมากๆ ไอ้ที่จะเรียนต่อก็ตัดไปได้เลยล่ะค่ะ เพราะไม่มีเงินเรียน แค่หนี้เรียน ป.ตรีก็จะไม่มีปัญญาผ่อนอยู่แล้ว ทำเรื่องผ่อนผันไปก็ให้เวลาแค่นิดเดียว เครียดจนบางครั้งอยากนอนแล้วไม่ตื่นอีกเลย เฮ้อ... จากคุณ : ~Northlady~ เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 17:04:17

ความคิดเห็นที่ 81 คุณแอบรักสาวใจร้ายครับ ถ้าคนสมัครมีProfile ดีพอๆกันแล้วเรียกมาสัมภาษณ์คุณรู้ได้ยังไงครับว่าใครเก่งและมีความสามารถกว่ากัน และขณะที่สัมภาษณ์เขาโม้เกินความจริง แต่อีกคนบอกตามความเป็นจริงจะทำยังไงครับ แต่ละคนมาจากสภาพแวดล้อมคนละอย่าง จะเปรียบเทียบกันยังไครับ คุณไม่สามารถตรวจสอบไดทั้งหมดหรอกครับ คุณรับผู้จัดการฝ่ายขาย แต่ก่อนอยู่โตโยต้า ขายได้เดือนละ 200 คันกับผู้จัดการที่ขายฮุนได ได้เดือนละ 5 คัน ใครเก่งกว่ากันครับ จะอ้างเป้า แล้วเป้าเอาอะไรมาตั้งครับ สมัยก่อน Forecast จากปีที่ผ่านมาได้ หรือวิเคราะห์ค่าแนวโน้มได้ แต่เดี๋ยวนี้ตลาดมันเป็นแบบ Dynamic มากๆคุณทำอย่างงั้นได้กับสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น ผมยกตัวอย่างบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย ผู้จัดการขาย ก ทำตลาดอย่างหนักมา 2-3 ปียังขายไม่ได้ แต่ผู้จัดการ ข เข้ามาได้ 2 เดือน มีโครงการไทยเชื่อมั่นเข้ามาต้องการซื้อพอดี 2,000 ล้าน ขายได้พอดี ผมต้องไล่ผู้จัดการ ก ออกใช่ไหมครับ คุณอาจบอกว่าไม่จริงบริษัทต้องมองออกว่าใครทำงาน ไม่ต้องทำเป็ฯโลกอุดมคติครับ ความเป็นจริงคือนาย ก จะต้องซวย จากคุณ : amry เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 17:42:07

ความคิดเห็นที่ 82 ผมว่านายจ้างส่วนใหญ่ก็อยากให้เงินเดือนลูกจ้างเยอะๆเหมือนกันแหละ ไม่มีคนอยากจ้างคนเงินเดือนน้อยๆ มาหรอกครับ แต่มันถูกบังคับที่ต้นทุนการดำเนินงาน ผมเป็นทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ในฐานะลูกจ้างผมอยากได้เงินเดือนเยอะๆ ในฐานะนายจ้างผมก็ต้องลดต้นทุนซึ่งมันจะทำให้ผมขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงจะได้ขายได้เยอะๆ ตราบใดที่บริษัทยังหาคนในตำแหน่งที่ต้องการในราคาที่ถูกที่สุดได้แล้วผมจะจ่ายเพิ่มทำไม ถ้าผมจ่ายเพิ่มแล้วผมจะแข่งขันกับบริษัทอื่นได้อย่างไร จากคุณ : cartharsis (cartharsis) เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 17:43:14

ความคิดเห็นที่ 83 #71 ถูกใจอย่างแรงค่ะ เอากีบไปเลย บ.เดิมที่เราเคยทำงาน มีพี่สาวคนนึง ทำงานมาที่นี่เข้าปีที่ 5 แล้วมั้ง พี่แกทำทุกอย่าง ทั้ง manager, HR, operator กระทั่งงานเอกสารทั่วไป แถมยังดูเรื่องกฎหมายแรงงาน เรื่องประกันสังคมให้กับเด็กๆทั้งออฟฟิศอีก ทำงานคล่องมาก ลุยมาก เก่งมากๆ ...แต่ได้เงินเดือนแค่ 16k... ได้เงินเดือนขึ้นปีละไม่เกิน 300.- ฟังแล้วตกใจ เลยถามเค้าว่าทำไมไม่ไปเริ่มใหม่ที่อื่น (ใครที่ชอบแย้งว่า อยู่ไม่ไหวก็ไปที่อื่น ลองฟังเหตุผลพี่เค้าดูนะ) "ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เคยหานะ แต่พี่อายุตั้งเท่านี้แล้ว (32) ไปสมัครที่ไหนก็ยาก ใครๆเค้าก็อยากได้เด็กๆไฟแรง แถมพี่มีลูกด้วย ใครจะเป็นคนรับประกันล่ะว่าถ้าพี่ลาออกจากที่นี่แล้วพี่จะหางานได้ แล้วพี่จะกินอะไร ลูกจะกินอะไร ได้น้อยหน่อยก็ยังดีกว่าย้ายงานโดยที่ยังมองไม่เห็นอนาคตนะ" ปล.1 พี่เค้าทำงานคนเดียวค่ะ สามีดูแลลูก อันนี้น่าเห็นใจ ปล.2 เราว่าที่หลายๆคนบ่น แต่ก็ยังทน อาจจะมาจากสาเหตุประมาณนี้ก็ได้มั้งนะ ปล.3 เราออกมาจากที่นี่เกือบปีแล้วค่ะ มาเป็นแม่ค้าแล้ว สบายใจกว่าเยอะ ^^" จากคุณ : ขอเข้ามาแชร์ (เลดี้ลิลิ) เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 18:02:04

ความคิดเห็นที่ 84 เถ้าแก่ แอบเข้ามาดู อีกที จากคุณ : มองต่าง (Dr. Will) เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 18:08:42

ความคิดเห็นที่ 85   เห็นเงินเดือนคนทำงานเอกชน ปรับขึ้นที 30% จะเป็นลม แล้วอย่างผมล่ะ ไม่เกิน 5 % มั้ง สู้ต่อไป ครับ จากคุณ : ไม่มีการศึกษา เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 18:16:31

ความคิดเห็นที่ 86 ผมชอบ อย่าง คห.4,6,9,16,20 โดยเฉพาะ คห.53 อธิบายได้ค่อนข้างดี คห.76 ก็สั้นๆกระชับ และโดนดี แต่ออกจะเจ็บๆคันๆ สักหน่อย และหลายๆความเห็นในนี้นะครับ เห็นหลายๆ คห. สงสัยประเด็น เรื่องคุณภาพของเด็กจบใหม่ ว่าด้วยเรื่อง Demand & supply ที่ปีหนึ่งผลิตบัณฑิตจบใหม่มามากมาย แล้วจะหาใครที่โดดเด่นมาทำงานดีล่ะ ในขณะที่ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ที่ขาดแคลนเป็นกลุ่มแรงงานฝีมือวิชาชีพ ซึ่งก็ไม่ตรงกันอีก จึงทำให้บัณฑิตจบใหม่หลายคนตกงาน (เรื่องกฎหมายแรงงาน คงไม่พูดนะครับ เพราะคงไปแก้ค่าแรงขั้นต่ำ หรือฐานเงินเดือนไม่ได้อยู่ดี) แล้วจบมากันมากมายแบบนี้ ทำงานได้เก่ง คุณภาพเหมือนกันทุกคนมั้ย? ก็คงตอบว่าไม่น่าจะเก่ง หรือมีคุณภาพในระดับที่ยอมรับได้ เท่ากันทุกคน โครงสร้างก็ยังเป็นรูป สามเหลี่ยมหงาย แบ่งเป็นแค่ 2 โซนก็พอ เอาเป็นว่า ธรรมดา กับ โดดเด่น กล่าวคือ คนที่โดดเด่นมีปริมาณน้อยกว่า ในขณะกลุ่มธรรมดาพื้นๆมีเยอะกว่ามาก (จริงๆอยากจะบอกว่า ป.โท ปี พ.ศ.นี้น่าจะเป็นกลุ่มที่เทียบเท่า ป.ตรี ในยุคนู้นครับ ขนาด ป.โท เองพักหลังๆมานี้ ยังเห็นจบกันเพียบเลยครับ ทั้งในและนอกประเทศ อีกหน่อยรุ่นลูกพวกเรา การศึกษาพื้นฐาน ทุกคนอาจจะจบโท ก็เป็นได้ครับ) แล้วนายจ้างหล่ะ ทำยังไง? ผมว่านายจ้าง เขาคัดกรองได้นะครับ 1. เรื่องมหาลัย สาขา ที่จบมีส่วนแน่นอนครับ บ.เอกชนชั้นนำส่วนใหญ่ก็รับเด็กมียี่ห้อทั้งนั้นครับ (ไม่รวมเด็กเส้น เด็กฝาก อันนั้นไม่ว่ากัน) เพราะอะไร ? มันเป็นการการันตีได้ระดับหนึ่งแล้วว่า เด็กคนนี้ได้ผ่านด่านการฟันผ่ากับเด็กคนอื่นๆมาแล้วในสมัยเรียน เขาจึงโดดเด่นกว่าคนอื่น (ขนาดที่หลาย บ. ต้องแย่งเข้าไปจัดสอบในมหาลัยชื่อดัง ดูดเด็กปี 4 ก่อนจบก็มีหลาย บ. ครับ) แต่ใช่ว่าเด็กมียี่ห้อจะได้เข้าทำงานบริษัทชั้นนำกันทุกคนนะครับ เขาเหล่านั้นยังต้องสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองเพื่อเข้าทำงานอีก แล้วต้องสร้างอะไรอีกบ้าง? 2. ภาพรวมในเรื่องทักษะ บุคคลิกภาพ รวมถึงภาษาครับ ถ้าจบมาเกรดดี เก่ง ดูคล่องแคล่ว ทักษะด้านต่างๆดี ทำงานได้ พูดจารู้เรื่อง ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ง๊องแง๊ง แถมบุคคลิกดี ภาษาได้อีกต่างหาก กลุ่มนี้ผมว่าเขาเข้าขั้นจิ้มเลือกบริษัทที่อยากทำได้เลยนะครับ ส่วนเด็กอีกคน ถ้าจบมาเกรดดีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ภาษา หรือคุยไม่รู้เรื่องก็คงไม่ได้งานเหมือนเพื่อนคนแรก ก็อาจจะได้ บ. เบอร์รองๆลงมาแทน ซึ่งก็จะประยุกต์ลงไปกับ การหาคนเข้าทำงานกับ บริษัทขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ราชการ ธุรกิจครอบครัว และอื่นๆ ซึ่งอัตราค่าจ้าง สวัสดิการ ก็แปรผันตามโครงสร้างบริษัท และมันก็แปรผันตามความสามารถของผู้สมัคร และสาขาด้วยครับ กล่าวคือ (สมมุติคร่าวๆ) กลุ่มขนาดเล็ก  ฐานเงินเดือนก็จะจ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่กฎหมายกำหนด หรืออยู่ในค่าเฉลี่ย กลุ่มขนาดกลาง ฐานเงินเดือนก็จะขยับดีขึ้นมา + สวัสดิการที่ดีขึ้นมาด้วย กลุ่มขนาดใหญ่ ฐานเงินเดือนก็จะจ่ายมากกว่าค่าเฉลี่ยขึ้นไปอีก + โบนัสก็ดี + สวัสดิการอีกเพียบ ซึ่งแต่ละกลุ่มแต่ล่ะบริษัทล้วนแล้วมี Target group อยู่แล้วครับ ในขณะที่ผู้สมัครเอง ก็คงมีการประเมินตนเองแล้วด้วยว่า เหมาะที่จุดไหน สรุป ไม่ว่าจะจบที่ไหนมาก็ตามแต่ คุณคือ 1 ในยุทธจักรแล้วครับ ที่ฟันผ่ามาได้ มีอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสจบ ป.ตรี แต่กลับมาสู่โลกของความจริง การแข่งขันมันก็ยังมีอยู่ครับ ทางเดียวที่เราจะทำได้คือ "การพัฒนาตนเองให้โดดเด่น" เพื่อให้เราเป็นคนที่ถูกเลือก อย่างเพื่อนๆด้านบนหลายๆคนบอกไว้ครับ ฝึกฝนทักษะตนเองให้เก่งครับ (ไม่ว่าจะด้านภาษา คอมพิวเตอร์ ช่างฝีมือ บุคคลิกภาพ และอื่นๆ ) ถ้าคุณมีความโดดเด่นแล้ว ผมมั่นใจว่า คุณ !! จะเป็นผู้ถูกเลือกครับ ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับฝีมือคุณแล้วครับ สู้ๆ !! โชคดีในการหางาน และการทำงานครับ ปล. หลังจากคุณโดดเด่น เป็นคนเก่ง ได้สมใจแล้วนั้น อยากให้มีสติ เป็นคนดี ไม่เบียดเบียน และมีจริยธรรมควบคู่ไปกับการทำงานด้วยนะครับ รับรองคุณจะก้าวหน้าแน่นอนครับ ^ ^ จากคุณ : Heinz เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 20:31:29

ความคิดเห็นที่ 87 ชอบกระทู้นี้มากครับ ขอแย้งเรื่อง Singapore นิดนึงครับ คือผมเคยได้ข้อเสนอของบริษัทที่นู้นครับ แต่รายได้ก็พอๆกับที่เมืองไทยครับ ผมคิดว่างานที่ต้องใช่ทักษะและประสบการณ์เยอะๆ ที่ Singapore อาจจะมีคนทำเยอะอยู่แล้วน่ะครับ แต่ที่เมืองไทยยังขาดอยู่อีกเยอะ เลยทำให้รายได้ในบางอาชีพในบ้านเราสูงกว่าที่นู้นครับ ถ้าอยากได้เงินเยอะๆ ผมคิดว่าต้องพยายามหาอาชีพที่ยากๆ คนทำได้น้อยๆ ครับ แล้วก็ต้องเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานด้วยครับ ปล. ตัวผมเองก็เงินเดือนน้อยครับผม จากคุณ : Lennon50 เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 20:36:55

ความคิดเห็นที่ 88 เพราะแบบนี้ผมก็เลยมาหางาน ต่างจังหวัด เงินเดืิอนก็เพิ่มจากที่เดิมระดับนึง แต่รายจ่ายลดลงไปเยอะ ย้ายภูเขาเป็นเรื่องยาก ย้ายใจตัวเองง่ายกว่าครับ จากคุณ : Vegetarian_Power เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 20:44:33

ความคิดเห็นที่ 89 ผมขอเห็นแย้งนะครับ ก่อนอื่นอย่าลืมว่าตลาดแรงงานมีหลายระดับ ถ้าพูดแค่เฉพาะ ป. ตรี อย่างเดียว เงินเดือนขั้นต่ำ อยู่ที่ 7960 บาท ของ กพ. (ข้าราชการ) จนถึง 25k ในสายการตลาด (รวมค่า com) โดยตัดสายวิชาชีพคือ พวกแพทย์-วิศวะ ออกไปก่อน เห็นชัดที่สุด คือเป็นไปตาม demand supply ครับ เด็กสามารถเลือกได้ว่าตัวเองจะอยู่ในตลาดแรงงานระดับไหน ขึ้นอยู่กับว่าทำ value added ให้ตัวเองมากแค่ไหนยังไง รวมถึงคุณภาพของสถาบันด้วย ตลาดจำเป็นต้องมีค่า mean อยู่ ซึ่งถ้าเด็กรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในระดับล่างต่ำกว่าค่า mean แล้ว สิ่งที่ควรทำคือ ถีบตัวเองขึ้นให้สูงกว่า mean ใช่ไม๊ครับ แล้วคุณภาพที่ตัวเด็กพัฒนาขึ้น จะไปสร้างคุณค่าให้กับองค์การ ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด เป็นไปตามกลไกระบบ free market ทุกประการครับ ไม่ได้ว่าใครนะครับ แต่ผมอยากให้เด็กจบใหม่คิดก่อนว่า แทนที่จะคิดว่า ทำไมองค์การถึงให้เราได้เท่านี้ ให้เปลี่ยนเป็นคิดว่า เราได้ให้ความสามารถแก่องค์การคุ้มกับที่ได้รับมาหรือเปล่า จากคุณ : ดุก เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 22:18:33

ความคิดเห็นที่ 90 กำ พวกคุณเข้าใจกันหน่อยสิครับว่า งานหายาก มันไม่ใช่ประเด็นครับ "งานหายาก เอาไว้บอกสำหรับคนที่ความสามารถไม่ถึง" ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ประเด็นกระทู้นี้น่าจะเป็น "แม้แต่ จะไม่เลือกงานแล้ว อะไรก็ทำหมด ยังได้เงินเดือนที่ไม่เหมาะสมเลย" แล้วมันก็มีเยอะด้วยในสังคมไทยครับ ประมาณเนี้ยอะ คิดว่าประเด็นมันคือ "เมื่อมันได้งานทำแล้ว" มันไม่ใช่  "ช่วงกำลังหางาน"  นะครับ ข้ออ้างที่ว่า "งานหายาก เป็นข้ออ้างของคนที่ไม่มีความสามารถ" ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง......ไม่เถียง แต่.......มันเป็นส่วนนึงของเหตุผลของงานหายาก คำว่า งานหายาก แบบหายากจริงๆ มันก็มีจริงๆ จำนวนคนอยากทำงาน มันเยอะกว่างานต้องการคนนะครับ หรือ ดูอย่าง คห 70 สิครับ (ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางนะ) เขาจบมาในสาขาที่กระจอกรึป่าว ก็ไม่ใช่.... เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรู้และความมานะในการเรียนมากตั้งหลายปี แล้วเป็นยังไงครับ เงินเดือน 2 พัน ........ ......จบนิติศาสตร์นะ .....พ่อผมจบ ป 4 ทำงานเป็นช่างฟิตขันน็อตกับยกเหล็ก 10 วันได้เงิน 4 พัน.........ไม่ต้องพูดเรื่องกฎหมายกับพ่อผมนะครับ ก็ชาวบ้านธรรมดาคนนึงแหละครับ ลองดูนะครับ คนที่พูดว่า งานหายาก เป็นข้ออ้างของคนไม่มีความสามารถ พูดเหมือนกับว่าจะออกจากที่นี่แล้วไปทำที่ไหนก็ได้ทันที...อะไรแบบนั้นเลยทีเดียว ทีเนี้ย ปัญหาคือ เด็กที่จบใหม่จาก ป ตรีเนี่ย ยังไม่เก่งพอ ใช่มั้ย หลายๆคนก็พิมพ์ๆมาแบบนั้นใช่ป่าว ซึ่งเราทุกคนก็เข้าใจปัญหานี้กันดีนะ โอเคนะ ผมก็เสนอวิธีแก้ปัญหาไปแล้ว ใน คห ที่ 71 นะครับ ใครอยากแนะนำ ติชม เพิ่มเติม หรือจะต่อยอดวิธีแก้ปัญหา หรือไม่เห็นด้วยยังไง ก็ยินดีครับ ปัญหามันเกิดตรงนั้น พวกเราก็ช่วยกันแก้ตรงนั้นครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 22:41:10

ความคิดเห็นที่ 91 นึกถึงประเด็นเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรว่าต้องปฏิรูปใหม่ ที่พูดเกี่ยวกับแรงงานและชาวนาไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรส่วนใหญ่ ของประเทศได้ โดนนายทุนแย่งไปหมด ซึ่งประเด็นนี้ก็ลามไปถึง ความเป็นธรรมในสังคมที่ชนชั้นล่างไม่มีปากไม่มีเสียง แล้วก็พูดถึงกระบวนการยุติธรรมอีก โอ้โฮ ช่างเหมือนกับปัญหาในกระทู้นี้เป๊ะเลย!!! ระบบก็เป็นแบบนี้แหละฮับ รู้รึเปล่าครับ 99%ของบัญชีเงินฝากมีเงินน้อยกว่า1ล้านบาท ขณะที่1%ของบัญชีที่เหลือมีเงินคิดเป็น 3/4ของทั้งระบบ จากคุณ : April showers bring May flower เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 22:52:24

ความคิดเห็นที่ 92 ผมพึ่งสัมภาษณ์แบบเปิดใจครั้งแรกครับ ที่ทำงานผ่านมาสัมภาษณ์ทุกที่ได้ทุกที่  หลังจากทำงานมาสี่ที่  และสัมภาษณ์มาเจ็ดแปดที่ คราวนี้ตอบแบบเปิดใจไม่มีแอ๊บเพราะขี้เกียจโม้  เพราะคิดว่าอาชีพเซลล์ถ้าได้ยอดแล้วไม่น่าจะมีปัญหา  ไปที่ไหนเขาก็น่าจะรับ แต่แล้วไม่ได้งานครับ  แจ่มไหมครับ   ขนาดคุณสมบัติตรง  เขาเรียกมาพิเศษนอกรอบมาเลย   เจือกบ้าจี้ออกงานมาด้วย ผมว่าดวงก็มีส่วนนะ  ส่วนเงินน้อยๆงานไม่มีอนาคต  ถ้าเราไม่เลือกซะบ้างจะลำบากครับ  ส่วนเรื่องหัวใจให้ไปนี่  พอออกงานเขาก็ไม่มามีมิตรภาพกับคุณหรอกครับ  มันเป็นแค่คำลวงหลอกเท่านั้น จากคุณ : คนกลางวัน เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 00:04:40

ความคิดเห็นที่ 93   จริงแฮะ เราเริ่มทำงานที่แรก ปี 2547 เงินเดือนเริ่มต้น 13,280 ไม่ต่างจากปี 2538 เลย จากคุณ : พลอย (Noslogan) เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 01:08:22

ความคิดเห็นที่ 94 ขออนุญาตคุณสาวน้อยร้อยแปด "แต่ขณะเดียวกันมันก็มีงานบางอย่างที่ "ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง" คือเราต้องการแค่ ปวช. ปวส. ก็ทำได้ (ถ้าเป็น ปวช. ปวส. เหมือนสมัยก่อนที่เราเคยร่วมงานด้วย) ดังนั้นอันที่จริงเงินเดือนขั้นต่ำ 12,000 นี่คือสำหรับตำแหน่งงานที่ต้องการเพียง ปวช. ค่ะ ในกระทู้ก่อนๆ ที่เราเล่าประสบการณ์ทำงานให้ฟัง เราเคยพูดไปแล้วว่า โครงสร้างเศรษฐกิจน่ะ มันจำเป็นต้องมีคนระดับ "ปฏิบัติการ" เป็นคนลงมือทำ คือการศึกษาภาคบังคับที่จบ ม.6 ปวช. หรือปวส. (วิชาชีพเฉพาะทาง) จำนวนมากๆ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เหมือนอย่างในญี่ปุ่น ซึ่งคนทำงานก็จะคุ้มทุนเร็วด้วย ไม่ต้องมานั่งกลุ้มว่าลงเรียนมหาวิทยาลัย เสียเงินไปตั้งเยอะ เพียงแค่จบ ม.6 หรือ ปวช. ก็เริ่มงานได้ทันที ไม่กี่ปีมีประสบการณ์มาก ยิ่งถ้าเก่งๆ หัวดี ลอจิกดี ก็ก้าวกระโดดได้ไว ไปเรียนต่อก็ง่ายเพราะคุณเข้าใจแล้วว่าจะเอาสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้กับการทำงานได้ยังไง" ถูกใจมากๆครับ อยากให้อ่านกันเยอะๆ ไม่ใช่แค่ปตรี แล้วแต่สำหรับคนที่กำลังคิดจะต่อปโท เพราะ "ไม่รู้จะทำไรดี" ด้วย เราไม่ได้ต้องการฝ่ายปฏิบัติการอย่างเดียวนะครับ... ตอนนี้ปิรามิดเข้าใกล้หัวกลับอย่างเดียวไม่พอ ฐานก็เน่า บนก็เน่า กลางก็เน่า เน่าไปซะครึ่ง ตอนนี้ถ้าเราทำตัวเองให้มีคุณภาพจริงๆผมว่าทางออกมีครับ "ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้(ทำจริงและมีคุณภาพ)ต่อให้ต้องย้ายภูเขาถมทะเล มันก็ต้องสำเร็จ.." โคทข้อความดร.ซุน ยัต เซ็นครับ จากคุณ : lARtZnolASt เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 09:22:30

ความคิดเห็นที่ 95   ดุเด็ดเผ็ดมัน จริงๆ ดัน ครับ ดัน จากคุณ : beetan เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 10:27:24

ความคิดเห็นที่ 96 เท่าที่เห็นมา  สำหรับพวกส่ายสังคมศาสตร์ เด็กจบใหม่หลายๆคน ก็เงินเดือนมากกว่า 15k ตั้งแต่เริ่ม บางบริษัทสามารถให้ได้ และบริษัทไหนให้ได้ ก็จะมีผู้สมัครจำนวนมากเข้าไปแย่งตำแหน่งกัน  ทำให้บริษัทมีตัวเลือก และไม่ค่อยพลาดกับการรับพนักงานที่เก่งและถูกใจ มาทำงาน ในขณะที่บริษัทหลายแห่ง จ่ายให้แค่ 6-8 พันบาท ก็จะเจอปัญหาไม่มีตัวเลือก อีกทั้งรับมาแปปๆก็ออกไปทำงานที่อื่น แต่ก็ใช่ตามที่หลายๆท่านพูด งานที่รับ ป.ตรี เข้าไป ต้องทำอะไรได้มากกว่า งานธุรการในสำนักงานง่ายๆ อาทิ รับโทรศัพท์ พิมงาน จัดแฟ้ม และตำแหน่งงานที่มีภาระเพียงแค่งานธุรการ ที่สามารถสอนกันให้เป็นภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเท่าเรทปริญญาตรีก็ได้ เพียงแต่ทุกวันนี้ ปวช ปวส หายากกว่าปริญญาตรี ถ้าอยากให้เงินเดือนปริญญาตรีสูงขึ้น ก็คงต้องหาทางไม่ให้คนจบปริญญาตรีจบออกมาเยอะขนาดนี้ พูดถึงปัจจุบัน ผมเห็นใจปริญญาโทสายสังคมยิ่งกว่าอีกครับ เรียนยาก แพง หลายๆคนคิดว่า ถ้าจบโทคงช่วยให้สามารถหางานที่เงินเดือนสูงๆได้ หลายคนก็ได้ตามหวังน่ะครับ โดยเฉพาะพวกที่เรียนโทสายเดียวกับที่ทำงาน เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่หลายคน เลือกที่จะไม่ทำงาน ไปเรียนต่อเลย พอจบมา เจอความจิงที่ปวดใจกว่า เพราะสมัครงานยากไม่ต่างจากปริญญาตรี และที่สำคัญ ต้องมานั่งแย่งกับคนจบปริญญาตรีด้วย หวังว่าอนาคต ป.เอก บ้านเราจะไม่ตกต่ำเยี่ยงนี้ แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 53 10:56:25 จากคุณ : Ougust เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 10:55:30

ความคิดเห็นที่ 97   เด็กจบใหม่พื้น ๆ มีให้เลือกมากมายสำหรับนายจ้าง เงินเดือนก็จะพื้น ๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น เพราะ นายจ้างสามารถหาได้ทั่วไป ใครลาออกก็มีคนมาแทนที่ได้ทันที คนพวกนี้เงินเดือนมักจะไม่สูง เพราะใคร ๆ ก็ทำงานแทนได้ น้อง จบตรีในไทย ทำงานที่แรก ได้ 22,000 มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สวัสดิการอื่น ๆ  สูงกว่าคนจบโทสายเดียวกันอีก ที่นี่มาดูว่าเพราะอะไร  จบด้วยเกียรนิยม และ ภาษาอังกฤษระดับ ดีมาก ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน  ทั้งหมดนี้เพราะความเพียร อย่างหนัก ในการฝึกฝน ในขณะที่ คนเรียนจบใหม่ ๆ หลายคน แค่รับโทรศัพท์ฝรั่งยังใบ้กิน ส่วนผม ตอน เริ่มทำงาน จบ ตรี สองใบ อายุ 21 เรียนที่รามด้วย มีเสนอมา 2 ที่ ที่แรก ได้ 14,000 อีกที่ 8,500   ผมเลือกทำ ที่ที่สอง เงินเดือนต่ำ พยายามขอเพิ่ม  เพราะคิดว่าสายงานเหมาะกับเราและไปได้ไกลว่าสายงานของบริษัทแรกมาก  แต่เค้าไม่ให้ และบอกว่า ถ้าคุณคิดว่าดีพอ ก็พิสูจน์ให้เห็นก่อน เลยลองดูสักตั้ง ผ่านปีแรก เงินเดือนก็ขึ้นมา สองเท่า  ทำมาแปดปี เงินเดือนเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในสายงานนี้   ไม่ใช่ว่าเก่งกว่าใคร ๆ เพราะเรียนมาจบก็เกรดงั้น ๆ เทียบกับคนที่เข้ามาพร้อมกัน สี่คน ตำแหน่งเดียวกัน แต่เป็นเพราะความเพียรพยายาม และตลอดเวลาไม่อยู่กับที่พัฒนาตัวเองตลอดเวลา  แต่สุดท้าย ปริญญาเป็นแค่ใบเบิกทาง การขึ้นเงินเดือนอยู่ที่ผลของงาน สุดท้ายไม้ตาย เราต้องพัฒนาตัวเอง จนองค์กรไม่สามารถ หาใครมาทำงานแทนเราได้อย่างสมบูรณ์  เราจะเป็นฝ่ายเลือก ว่าจะไปทำงานที่ไหน ไม่ใช่ว่าให้นายจ้างมาเลือกเราครับ   เดี๋ยวนี้แค่ปริญญา โท ก็หาได้ทั่วไปแล้ว ภาษาได้ภาษาไทยอย่างเดียว บนโลกทุนนิยมเสรี เราไม่ได้ค้าขาย หรือ ใช้วัตถุดิบจากในประเทศอย่างเดียวแล้ว คู่แข่งเรามีทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศครับ มาเพิ่มเติมความเห็นด้านบนครับ  ผมก็จบทางด้านสังคมศาสตร์ครับ เงินเดือนสูงไม่จำเป็นต้องจบสายวิทยาศาสตร์ครับ  สายมนุษย์ศาสตร์ก็มีเยอะครับ อายุไม่ถึง 30 เงินเดือนก็ขึ้น 6 หลักแล้วครับ จบสายไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญกว่าคือทำงานเป็น ไม่ได้ทำงานเพราะให้จบงานไปวัน ๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 53 12:07:22 จากคุณ : T (Toy_Kub) เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 12:00:10

ความคิดเห็นที่ 98   ผมว่าเป็นที่เรียนกันไม่ตรงสายมากกว่า ตลาดแรงงานผมว่าต้องการวุฒิ ปวช.ปวส. ค่อนข้างมาก เป็นสายงาน "ปฎิบัติการ" แล้วคนก็เรียนสายนี้กันน้อย เพราะอยากเรียนจบ ป.ตรี กัน รุ่นผมมเรียน ปวช.อิเล็กทรอนิกส์ มีกัน 44 คน แต่เรียน ปวส. ก็มีแค่ 17 คน ที่เหลือก็ไปต่อ ป.ตรี กันหมด และเงินเดือนของ ปวส. ก็ไม่น้อยแล้วแต่บริษัทและสายงาน ถ้าโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ ก็ เริ่มกันที่ 9-12 K ไม่รวมโอที ถ้าเป็นที่ระยอง โรงกลั่นหรือ ปิโตรเคมีก็รับ ปวส. เข้าเป็น technician ,Field operator ก็รับกันไม่ต่ำกว่า 20K ถ้าเป็นสายงานก่อสร้าง ก็ตกวันละ 600-800 แต่มันก็แล้วแต่ความชอบแต่ละคนนะครับ เรียนสายช่างก็หางานง่าย ใช้เงินเรียนไม่เยอะ ค่าเทอมก็ไม่กี่ พัน ผมเรียน ปวช.-ปวส. ก็ใช้กู้ กยศ. ปี 45-50 ก็ตก 6 หมื่นนิดๆ จากคุณ : อิเล็กทรอนิกส์ วท.อจ.50 (วอราชิว) เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 13:55:40

ความคิดเห็นที่ 99 ยังอ่านไม่หมดนะคะ แต่ขอแสดงความคิดเห็นนิดหน่อย คือมองจากตัวเองและรอบข้างที่พึ่งเรียนจบมาค่ะ ยังหางานทำไม่ได้ ตกงานมาเดือนกว่าแล้วค่ะ TT-TT โดยส่วนตัวคือตอนนี้ขอเรียกร้องเยอะๆหน่อยไว้ก่อน (แถวๆ20K) เพราะคิดว่าตัวเองสมควรได้ แต่ก็ยังไม่ได้งานค่ะ ฮา คิดว่าขอเล่นตัวอีกสักพัก ถ้าไม่ได้จริงๆแล้วถึงจะยอมลดสเปคของตัวเองค่ะ แต่พอดูจากเพื่อนที่มีความสามารถใกล้กัน เขาลดสเปคตัวเองเร็วมากเหมือนกันค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะอุปสงค์อุปทานรึเปล่า? รู้สึกเหมือนว่านอกจากนายจ้างจะพยายามกดค่าจ้างแล้ว คนที่จะเป็นลูกจ้างก็ยอมลดเกรดตัวเองลงเพื่อให้ได้งานค่ะ ซึ่งสำหรับเราแล้ว เรามองว่า คนซื้อจะกดราคาก็เป็นเรื่องปกติ ส่วนคนขายพยายามจะโก่งราคาก็น่าจะปกติเหมือนกัน พอมาคุยกันก็น่าจะได้ราคากลาง แต่สภาพตอนนี้เหมือนกับว่า คนซื้อกดราคา ส่วนคนขายก็กลับกลัวขายไม่ได้ รีบลดราคาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ถ้าของเราดีจริง ราคาสูงหน่อย คนซื้อก็น่าจะยอมซื้อ พอถึงเวลาใช้งาน ก็ได้ความสบายใจทั้งสองฝ่าย สรุปว่าโดยส่วนตัวคิดว่า (ส่วนตัวจริงๆ เพราะรู้สึกว่าไม่มีหลักฐานรองรับเลย) นอกจากเจ้านายจะพยายามกดราคาแล้ว คนหางานบางกลุ่มก็ตีค่าตัวเองต่ำด้วยล่ะค่ะ พอมีคนมีความสามารถราคาต่ำ คนมีความสามารถราคากลางหรือสูง ก็พลอยหางานทำไม่ได้ไปด้วย =_= จากคุณ : wassery_harp เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 14:19:26

ความคิดเห็นที่ 100 ทุกอย่างมีสองแง่เสมอค่ะ ในแง่เจ้าของกิจการ ..... เด็กสมัยนี้ไม่มีความสามารถ และ ความอดทนเท่ารุ่นก่อนๆ ในแง่ลูกน้อง .... ของมันแพง อยากได้เงินเยอะ ให้แค่นี้จะเอาอะไรนักหนา ก็เลยทำงานแค่นี้แหละ ..... แล้วมันจะจบลงตรงไหนละนั่น ..... เฮ้อ จากคุณ : รำเพย เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 14:52:13

ความคิดเห็นที่ 101   ธรรมดานายจ้างอยากได้ ของดีราคาถูก แต่พวกของถูกกลับจ่ายแพงไม่รู้เก็บไว้ทำไมกินแรงเพื่อน ๆ มาก จากคุณ : เป็นเช่นนี้ เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 15:34:12 A:202.176.87.34 X: TicketID:015046

ความคิดเห็นที่ 102 อ่านกระทู้นี้แล้วมันโดนใจจริงๆ ค่ะ จากคุณ : Wa-Oo เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 16:01:25

ความคิดเห็นที่ 103 *81 โปรไฟล์ ไม่ใช่สิ่งที่โม้กันได้ปากเปล่าครับ - จบปริญญามา กี่ใบ จากมหาวิทยาลัยไหน ประเทศอะไรบ้าง Ranking มหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร - ใบอมรบด้านอื่นๆ พูดได้กี่ภาษา คะแนนสอบภาษาแต่ละภาษาเป็นอย่างไรบ้าง (อ้างว่าพูดอังกฤษได้ ก็ต้องมีโทเฟล ไอเอลส์ ฯลฯ ไปยื่น) - เคยเป็นลูกทีม หรือหัวหน้าทีม ทำงานอะไรบ้าง โปรเจคไหนบ้าง กำไรขาดทุนอย่างไร - ผลงานที่ว่านั้น พลิกโฉมองค์กรเลยไหม ถ้าจากองค์กรเล็กๆ โตขึ้นเพราะโปรเจคของคุณหรือเปล่า ถ้าบริษัทเขาคิดว่า โปรไฟล์แบบคุณ หาที่ไหนก็ได้ เขาจะจ้างแพงๆ ไปทำไมครับ จากคุณ : แอบรักสาวใจร้าย เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 16:18:33

ความคิดเห็นที่ 104 ผมรู้จักคนอยู่สี่ห้าคน อยู่ในสายวิศวกร การตลาด แล้วก็ออแกไนซ์ ที่อายุ 35-38 ปี ย้ายบริษัทเป็นว่าเ้ล่น ได้ตำแหน่ง MD หรือ Exclusive Manager เงินเดือนแสนถึงแสนห้า ที่ผมไปรู้เงินเดือนพี่ๆ เขา เพราะเขาซื้อรถใหม่กัน พวกดาวน์ล้านกว่าบาท ผ่อนเจ็ดหมื่นห้าไป ห้าหกปี ผมเลยละลาบละล้วงถามว่า เงินเดือนเขาเท่าไหร่ครับ อันนี้เงินเดือนอย่างเดียว ไม่มีกิจการของพ่อแม่ ไม่ได้ลงทุนทำบริษัทเอง พวกรุ่นพี่เสี่ยๆ เจ้าของโรงงาน เจ้าของบริษัททั้งหลาย มีรายได้มากกว่านี้อีก.... อ่อ มีอีกคน ที่เป็นเลขาผู้บริหาร ผู้ชายนะ เงินเดือน 5 หมื่นกว่า ทำไมมีคนจ้างล่ะครับ หรือเขาแค่ โชคดีกว่า?? จากคุณ : แอบรักสาวใจร้าย เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 16:23:51

ความคิดเห็นที่ 105 เราตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทำงานมาสามปี เงินเดือนยังไม่ถึงหมื่นเลยค่ะ - -" เราอยากให้เจ้านายเราคิดเหมือนคุณจังเลย จากคุณ : เสียงจากบ้านนา เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 16:33:44

ความคิดเห็นที่ 106 อย่าว่างั้นงี้ จ้าง12000 ก็ทำงานแค่นั้นแหละครับ ถ้าให้เยอะหน่อยก็สู้งานสุดใจขาดดิ้นครับ จากคุณ : poa_busy เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 17:16:32

ความคิดเห็นที่ 107 ถ้า ลูกจ้างเรียกเงินเดือนสูงเกินไป นายจ้างก็ไม่เรียกมาทำงาน แต่ถ้า นายจ้างจ่ายเงินเดือนต่ำเกินไป ลูกจ้างก็ไม่ทำงานด้วย เช่นกันครับ การที่เงินเดือนของเด็กจบใหม่อยู่ที่หมื่นต้นๆอย่างที่เรารู้กันนั้น มันเป็นเพราะจำนวนของเด็กจบใหม่ที่มีมาก กับจำนวนงานที่มีในระบบมันสอดคล้องกัน ถ้าคุณเรียนเศรษฐศาสตร์คุณจะพบว่า ค่าแรงที่หมื่นกว่านี้เป็นค่าแรงที่ดุลยภาพ พูดง่ายๆเป็นค่าแรงที่เหมาะสมแล้ว ในความรู้สึกของลูกจ้าง ไม่มีใครพอใจกับเงินเดือนที่ตนเองได้รับหรอกครับ อันนี้มันเป็นเรื่องของความรู้สึกทั่วไป แต่ความรู้สึกกับความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจมันแตกต่างกันครับ ผมเห็นมามากนะครับ คนที่อายุงาน 10 ปีขึ้นไป แล้วมีเงินเดือนหกหลักน่ะ คนเหล่านี้ตอนเริ่มงานก็ได้เงินเดือนในตอนเริ่มต้นไม่มากหรอกครับ แต่อาศัยการทำงานหนัก และการเพิ่มพูนประสบการณ์ในการทำงาน เงินเดือนก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น คห 106 ลองมองกลับกันนะครับ เจ้านายคุณอาจจะคิดแบบนี้อยู่ก็ได้ครับ "ก็ทำงานแค่นั้นแหละครับ ก็เลยจ้าง 12,000 ถ้าสู้งานสุดใจขาดดิ้น ก็จะให้เยอะหน่อย" ถ้าคุณไม่ทำงานให้หนักขึ้น คุณก็จะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นยากนะครับ ถ้าคุณไม่เริ่มพิสูจน์ให้เจ้านายเห็น เค้าจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณเหรอครับ ?? เงินเดือนมันไม่ใช่สิ่งตายตัว มันปรับเปลี่ยนได้ อยู่ที่ตัวเราเองว่าเราจะทำให้มันเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย มันก็เหมือนๆกันไปหมด เรตเงินเดือนก็เป็นแบบมาตรฐานน่ะสิครับ ถ้าคุณเพิ่มความรู้ เพิ่มประสบการณ์ การเรียกเงินเดือนเยอะขึ้นมันก็เป็นไปได้ มันอยู่ที่ตัวคุณเอง ถ้าบริษัทนี้ไม่ให้ ก็ไปบริษัทอื่นสิครับ ถ้าคุณเก่งจริง มีคนต้องการอยู่แล้วล่ะครับ จากคุณ : Rhythm of Love เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 18:05:26

ความคิดเห็นที่ 108 ซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 53 18:11:54 จากคุณ : Rhythm of Love เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 18:06:34

ความคิดเห็นที่ 109 ถ้าเมืองไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค จะมีบริษัทข้ามชาติมาเปิด Regional Head Office มากๆ ก็จะเป็นการลด Supply แรงงาน และจะนำไปสู่การเำิำพิ่มผลตอบแทนให้พนักงานในที่สุด จากคุณ : xemmy เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 18:57:05

ความคิดเห็นที่ 110 เข้ามาออกความเห็นเรื่อง "ความตั้งใจทำงาน" นิดนึงนะคะ บางคนที่บอกว่า ก็เพราะคุณทำงานแค่นี้ เค้าเลยให้แค่นี้ ถ้าคุณทำงานหนักมากขึ้นเพื่อพิสูจน์ให้เค้าเห็น เค้าก็จะจ่ายค่าแรงเพิ่มให้ มันได้ผลแค่บางกรณีนะคะ เพื่อนน้องชายไปทำงานให้ บ.นึง ตอนแรกทำงานกราฟฟิค ไปๆมาๆ คนไม่พอ โดนสั่งไปเรียนเขียนโปรแกรมเพิ่ม โยนไปช่วย HR เป็นล่าม แถมยังไปส่งของอีกบางครั้งบางครา ทำมาพ้นโปรแล้วเงินเดือนยังไม่ขึ้น ได้แค่หมื่นเดียวเท่าตอนเข้่า ทั้งทีึ่ทำจนสุดความสามารถแล้ว อย่างนี้คงใช้่ทฤษฎีความตั้งใจทำงานไม่ได้มั้ง? ทุ่มเทไป ก็ได้ผลตอบแทนที่น่าเหนื่อยหน่ายเท่าเดิม สุดท้ายเลยเห็นบอกว่า "ให้หมื่นเดียวกุก็จะทำแค่หมื่นเดียวนี่แหละ เพิ่มเมื่อไหร่ค่อยมาว่ากัน กุเหนื่อย" เหอเหอ.... จากคุณ : เลดี้ลิลิ เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 18:58:52

ความคิดเห็นที่ 111 เห็นด้วยเรื่องความตั้งใจในการทำงานไม่เกี่ยวกันเลยค่ะ อย่างเราเป็นบัญชีควบตำแหน่งแมสเซ็นเจอร์ แต่ดันได้เงินเดือนตำแหน่งบัญชี ซึ่งบัญชีก็รู้ว่าเงินเดือนน้อยโฮกกก จากคุณ : ขนมดังโงะ เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 19:22:52

ความคิดเห็นที่ 112 เอาเป็นว่าชีวิตยังไงก็ต้องดำเนินต่อไป สู้ๆ แล้วกัน แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 53 20:32:45 จากคุณ : ^ ^ (Heinz) เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 20:20:16

ความคิดเห็นที่ 113 เรียกเงินเดือน อยากเรียกเท่าไหร่เรียกมา แต่ความสามารถ ตำแหน่งการงาน ทักษะการทำงาน มันสอดคล้องกันหรือไม่ จากคุณ : I Love Basketball เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 20:45:44

ความคิดเห็นที่ 114 ความตั้งใจในการทำงานเป็นตัวแปรแรก ๆ ของการประสบความสำเร็จ ต่อให้เก่งเทพแค่ไหนไม่ตั้งใจทำงานก็ไปไม่ถึงไหนหรอกค่ะ หลายๆ คนก็ยอมแพ้กลางทาง เลือกที่จะหาข้ออ้าง ที่ทำให้ตัวเองสบายใจ แต่ก็ดีนะ ทำให้คู่แข่งคนไทยเราน้อยลง อิอิ จากคุณ : Glico_alfie เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 20:56:30

ความคิดเห็นที่ 115 "ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้(ทำจริงและมีคุณภาพ)ต่อให้ต้องย้ายภูเขาถมทะเล มันก็ต้องสำเร็จ.." โคทข้อความดร.ซุน ยัต เซ็นครับ ข้อความดีมากครับ  วันนี้ผมตัดสินใจไม่รับงานใกล้บ้าน  เงินเดือน...แต่งานสบายมากครับ เพื่อที่จะหางานที่  ใครๆไม่สามารถทำกันได้ง่ายๆครับ เอ....แต่ว่างานไหนล่ะ  ก็ยังต้องหากันต่อไป  พึ่งตกงานสิบกว่าวันเอง ชิลๆ จากคุณ : คนกลางวัน เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 21:53:44

ความคิดเห็นที่ 116 บางที่หาว่าไม่มีประสบการ์ณ แต่ไม่ได้ให้ลองทำดูผมว่าไม่ให้โอกาสมากกว่า ขอดูแต่ใบผ่านงาน ก็พึงเรียนจบจะไปเอามาจากไหน แล้วที่เรียนมาไม่ใช่ ประสบการ์ณหรอ ชื่อปริญญาชื่อสาขาวิชาก็ การันตรีอยู่ หรือปริญญาตรีมีไว้เพื่อ เริ่มใหม่รึป่าว แล้วที่เรียนมา ยี่สิบกว่า ปี  ฝึกงานมาสองสามครั้ง มันไม่เพยีงพอหรอ ต้องหาประสบการ์ณเพิ่มอีกเหรอ  ผมว่าเรียนมา ขนาดนาดนี้ควรต้องได้ทำงานแล้วไม่ต้องหาแล้วประสบการ์ณอะ  หาไปเท่าไรก็ไม่หมด บางทีไปสมัครอย่าง   ให้ไปทำอีกอย่าง  พอทำไม่ได้ก็บอกว่าไม่มีคุณภาพ จบมาไม่ตรงสายก็ไปรับมาทำงาน  พอผมตรงสายไป ไม่มีที่รองรับผม ผมก็ต้อง ไปแย่งงานสาขาอื่น แล้วก็เกิดการแข็งขันกันเอง  คนใหม่จบมาทุกปี แต่คนเก่าไม่ได้ปลดทุกปี อยู่ จนกว่าจะตาย คนลองถึงขึ้นไปแทน  เงินค่าจ้างมันก็เลยถูกลงไง มีตัวเลือกเยอะ ขึ้น  นายจ้างก็ไม่ง้อ   แต่ถ้าจริงแล้ว หลายๆเรื่อง คนจบมาใหม่อาจจะรู้มากกว่า คนเก่าด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็มีเรื่องเทคโนโลยีและเรื่องนึง ตอนเรียนผมใช้ กิน  ค่าห้อง ค่าเทียว(อาทิตย์ละสองครัง) ใช้ประมาณ 6500 ตอนนี้ผมทำงาน  ได้ประมาณ 8000 ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ก็อยู่ได้ครับ เหลือบเก็บ 1500  ไม่รวยไม่จน แถมมีเวลาใช้ตังอีก ถ้าเราพอชิวตเราจะไม่ลำบาก จากคุณ : azakedul (Azakedul) เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 23:16:44