 |
ความคิดเห็นที่ 1 |
|
ต่อน่ะครับ....
เรื่องพฤติกรรมผู้บริโภค
พนักงานบริษัททั่วไปที่ขับรถ เช่น วีออส , แจ๊ส ไรพวกนี้ จะมีความไวต่อราคามาก ขนาดผมเริ่มที่ราคา 120 บาท ยังบอกแพงเลย ผมเลยอัดโปรโมชั่นล้างรถ 99 บาทวันอ-พฤ มันได้ผลดีมากครับ รถเยอะขึ้นมาก และมีแต่รถพวกนี้แหละ แต่ลูกค้าพวกนี้จะไม่ค่อยยอมเสียเงินซื้อบริการอื่นๆนอกจากล้างรถน่ะครับ...ยกเว้น พ่น Wax ส่วนงานเคลือบสีนั้น ขอบอกว่ายากมากครับที่จะได้เงินจากกลุ่มลูกค้าระดับนี้
ส่วนลูกค้าอีกกลุ่มนึง ซึ่งผมโชคดีมากที่อยู่ในย่านคนมีเงิน คนพวกนี้เข้ามาทีนึง ผมอยู่ได้สองวันสบายๆ กลุ่มลูกค้าพวกนี้จะใช้รถตั้งแต่ คัมรี่ขึ้นไป มีกำลังในการใช้จ่าย คือแนะนำให้เคลือบสี 600-700 บาท ก็คุยไม่ยาก ขอให้งานออกมาดี รับรองเค้ามาอีกแน่นอน รวมถึงงานอื่นๆเช่น ฟอกเบาะ หรือขัดสีลบรอย ราคา เหยียบ 3 พันบาทเป็นขั้นตำ เค้าก็ยอมจ่าย...แต่ที่ผิดคลาดคือ ลูกค้าที่ผมรู้สึกว่าประทับใจ คุยง่าย มีตังค์ จะเป็นพวกขับ ฮอนด้า ซีวิค จนถึง แอคคอร์ด กลุ่มลูกค้าพวกนี้รับรองว่า ขายโปรเคลือบสีง่ายมาก
ซึ่งผิดกับคนขับรถเบนซ์ ราคาแพงๆ พวกนี้ส่วนใหญ่ ขี้เหนียวมาก โปรแกรมเคลือบสี อย่าหวังว่าจะได้เงินจากคนขับเบนซ์ ถึงได้ก็ยากมากจริงๆ แถมพวกนี้จะชอบทำตัวก่างๆ แต่เหนียวมาก บางคนขับ อีคลาส ตัวใหม่ ซึ่งราคาล้างรถของผมอยู่ที่ 150 แต่ขอต่อรองเหลือ 99 บาทเท่ากับรถเล็ก ก็มีอยู่บ่อยๆ...ช่วงหลังผมจะบอกลูกน้องว่า ไม่ต้องไปไรมากมากกับพวกขับเบนซ์ ไม่ล้างก็เรื่องของเค้า...
แต่ที่ผมประทับใจคนขับรถยุโรปคือ บีเอ็ม ออดี้ หรือ Laxus พวกนี้จะนิสัยสปอร์ต ใจดี คุยง่าย เป็นกันเอง...รวมถึงพวกที่ขับรถกระบะ เช่นวีโก้, Mu7,D-max ซึ่งกลุ่มลูกค้านี้จะค่อนข้างสนิทกับผม
และผมก็เลยได้รู้จากปากพ่อผม เพราะพ่อผมก็ขับเบนซ์ไงครับ ราคาเกือบ 5 ล้านบาทเลย...แต่พ่อผมล้างรถตามปั๊ม ราคาไม่เกิน 80 บาท ส่วนเคลือบสีให้รถเงา พวก Meguiar's ตอนแรกพ่อผมไม่รู้จักหรอก แต่พอรู้จัก ก็ซื้อมานั่งทำเอง... ผมบอกป๊าผมว่า รถแพงๆน่ะ เอาไปล้างร้านดีดี รถมันจะได้ไม่เป็นรอยแมว เอาไปให้ร้านเคลือบสีให้มันเงาๆ ป๊าผมตอบว่า ...ล้างไหนมันก็เหมือนๆกันแหละ ผมก็เลยเข้าใจพวกขับเบ็นซ์ไงว่า คงเป็นงี๊แหละ! คือบ้านพ่อผมจะอยู่ที่อยุธยาไงครับ...มันไกลจากร้านผมเยอะมาก
แต่ผิดกับพี่ชายผมและผม เราใช้รถยุโรปเหมือนกัน แต่ขอไม่บอกยี่ห้อน่ะครับ! ผมลองคิดย้อนไปว่า แต่ก่อนที่ผมยังไม่ได้ทำคาร์แคร์ ผมก็ชอบล้างรถตามคาร์แคร์ เพราะผมเคยล้างปั๊มแล้ว มันลวกมาก คือแบบใช้ผ้าผืนสองผืนแต่เช็ดทั้งคัน และที่สำคัญเป็นคราบเต็มเลย ผมจะชอบเคลือบให้รถเงาๆ ชอบทำโน่นทำนี่ บางทีหมดตังค์ไป พันกว่าบาทก็ทำ ... คือผมจะบอกว่า นี่แหละคือพฤติกรรมผู้บริโภค ... ต่อการซื้อยี่ห้อรถ และสัมพันธ์มาถึงพฤติกรรมการใช้บริการในคาร์แคร์
ในส่วนของรายได้ ผมพอสรุปคร่าวๆได้ดังนี้ครับ จากเกือบสีเดือนแรก ติดลบครับ ลบแล้วลบอีก จนผมเครียดเลย พอสักพักเริ่มได้หลักหมื่นนิดๆ แต่มันก็ไม่คุ้มค่าเหนือยเลย ผมคิดว่า เหนือยขนาดนี้ ได้หมื่นนิดๆเองหรอ
จนย้อนไปห้าเดือนที่แล้ว ปืนขึ้นมาเป็น สามหมื่นกว่าๆ จนสูงสุดแตะหลักแสน หลังหักค่าใช้จ่ายครับ..
แต่หลายๆคนคิดว่า แตะหลักแสนเลยหรอ? ใช่ครับ! แต่มีแค่สองเดือนที่ ช่วงปีใหม่ และเดือนที่แล้วครับ ... ผมทำโปรโมชั่นสงกรานต์ อัดลงไปให้ลูกค้าซื้อ คือผมมาคำนวณความเป็นไปได้ โดยดูจากยอดรถหมุนเวียนเกือบ พันคันต่อเดือน และยอดรถที่เคลือบสี ที่มีอยู่มากเหมือนกัน...
แต่แตะหลักแสนนี่คือ ผมไม่ได้ไปไหนเลยน่ะครับ ! ทั้งเดือนคือ อยู่ร้านตลอด ซึ่งเหนื่อยมากก
และผมจะดีใจมาดถ้ามันได้แบบนี้ทุกเดือน ผมรู้สึกว่ามันคุ้ม แต่ไม่ใช่ครับ! มันเหมือนแค่ถูกหวย และอีกอย่างผมขยันทำโปรโมชั่นด้วย ซึ่งมันก็เหนื่อยมากๆจริงๆ
และเดือนนี้ มันก็มีแววอย่างมากว่า รายได้จะตกไปเยอะมาก ! เพราะปัจจัยหลายๆอย่าง การเมือง เศรษฐกิจ หน้าฝน! เผลอๆอาจติดลบด้วยซำไป... นี่แหละครับ! คือ เรื่องราวคร่าวๆของคาร์แคร์ผม พี่ๆรู้มั๊ยว่า คาร์แคร์ผมเนี่ย เวลาลูกค้าเข้ามา แล้วเห็นมีรถเยอะๆ จะแบบอารมณ์ว่า อยากเปิดจังเลย ! ซึ่งก็เหมือนผมในตอนแรกที่เห็นของที่อื่น แต่เค้าไม่ได้ฉุดคิดว่า ที่คุณเห็นว่าตอนนี้รถเยอะ ...แต่เมื่อวาน หรือพรุ่งนี้รถมันอาจจะน้อย จากยอดเกือบ 50 คันในวันเสาร์- อาทิตย์ อาจจะว่างเปล่า ไม่ถึง 10 คันก็ได้ อย่างเช่นเมือวาน ไม่ถึง 8 คันเอง..แล้วลองคิดซิครับว่า ค่าใช้จ่าย ภาระผมเท่าไหร่!
และที่สำคัญอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ ลูกค้ามีความไวต่อปัจจัยแวดล้อมมาก คือ แบบฟ้าคลึ้มหน่อย เอาแล้ว หรือแบบบ้านเมืองมีปัญหาหน่อย เอาแล้ว! นี่แหละ...สำหรับผมมันคือความน่าเบื่อของอาชีพนี้ มันเป็นภาพที่ดูสวยหรู เมื่อมีรถมาจอดล้างเยอะๆ เช่น เมื่อคุณเข้ามาร้านผม เห็นมีรถจอดอยู่ 5-6คัน ก็แบบ โห! รถเยอะจังเลย หนูเก่งจังเลย อายุแค่นี้เอง ทำได้ขนาดนี้ แต่รู้มัยว่า ผมต้องล้างอีกกี่คัน กว่าจะได้ค่าที่ ค่าลูกน้อง ค่าเหนื่อยผม...
หลายท่านอาจคิดว่า ทำไมต้องทำคาร์แคร์ใหญ่ๆล่ะ ผมตอบได้เลยครับ! ถ้าผมไม่ทำใหญ่แบบนี้ ไม่มีอุปกรณืครบขนาดนี้ แล้วผมจะขายโปรแกรมใหญ่ๆได้ยังไง ทั้งขัดเคลือบสี- ฟอกเบอะ รวมถึงลูกค้าเปิด Member รายปี คือเราต้องทำให้สถานที่ของเรา ดูน่าเชื่อถือน่ะครับตรงจุดนี้...ไม่อย่างงั้ลผมก็จะเหมือนกับร้านล้างรถทั่วไป ที่มีแต่ล้างรถ แล้วคุณคิดว่า โห่! รถเยอะจังเลย โดยที่ไม่เคยคิดว่า เค้าต้องล้างอีกกี่คันกว่าจะได้ ค่าเช่า ค่าลูกน้อง เป็นต้น
ถึงจุดนี้ หลายๆคนอาจคิดว่า แล้วทำไมผมอยากเลิกล่ะ มีกำไรขนาดนี้แล้ว! ตอบได้เลยครับว่า...มันไม่คุ้มค่าเหนื่อยผมครับ คือมันเป็นอาชีพที่รวยไม่ได้ ผมคิดจะเปิดสาขาเพิ่ม ตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ว่า สมมุติสาขานี้อย่างตำๆกำไรสี่หมื่น อีกที่ สี่หมื่น ผมมีสิบสาขา เป็นเงินเท่าไหร่แล้ว...คือมันอาจจะเป็นอย่างที่เค้าบอกก้ได้ แต่ๆ สิบสาขาผมต้องใช้เงินลงทุนอีกกี่สิบล้าน เพื่อมา รองรับรายได้เพียง ร้อยกว่าบาทต่อคัน มันไม่คุ้มครับ!
คิดง่ายๆตรงๆให้เห็นภาพชัดเจนคือ ทุกวันนี้ผมมีรถใช้ 2 คัน เป็นเก๋งยุโรป และ คัมรี่ แล้วผมถามว่า กำไรที่ผมได้จากคาร์แคร์ จะพอผ่อนรถทั้งสอนคันนี้มั๊ย แค่คันเดียวยังไม่พอเลยครับ! แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกิจการที่บ้านผม ที่สามารถซื้อรถ ให้ผม ให้แม่ ให้พี่ชายอีกสองคน ซื้อบ้านให้ผมอยู่ ให้ทุกคนใช้จ่ายสบายๆ มันเทียบกันไม่ได้เลยครับ...
คิดมาถึงตรงนี้ผมก็ตลกตัวเองน่ะครับ ! เพราะเมื่อไม่นานนี้ มีหนังสือบันเทิงฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ผมเกี่ยวกับธุรกิจ ผมก็ตอบไปตรงๆว่า ผมก็ดีใจน่ะ ที่มาถึงขนาดนี้ได้ ทุกวันนี้มียอดรถเท่าไหร่ และอนาคตจะขยายสาขาต่อด้วย ซึ่งผมก็กำลังวางแผนจริงๆว่าจะเปิดอีกสาขาแล้ว แต่พอหนังสือออก แล้วผมมานั่งคิด จริงหรอ? ผมจะเอาดีตรงนี้หรอ ไม่มั๊ง! ผมไปทำโรงงานกับพ่อผมจะเห็นทางรวยกว่ามั๊ย?
อีกอย่างถ้าผมมีเงินสิบล้านในการขยายสาขา ผมอาจจะเก็บ หรือไปลงทุนทำโรงงานผลิตอะไรสักอย่างดีกว่ามั๊ย! ดีกว่ามาเอาดีกับงานบริการ เพราะถ้าน่ะครับ ถ้ารถลูกค้าเกิดเฉี่ยวชนในคาร์แคร์อีก ลองคิดดูว่า อาชีพนี้ คุ้ม หรือ ไม่คุ้มครับ! ไม่ต้องคิดน่ะครับว่า รวยหรือไม่รวย! ( อยากคุยหรือปรึกษาอะไรเพิ่มเติ่ม ทางหลังไมค์ก็ได้น่ะครับพี่ๆ)
...........................................จบครับ.........................................
จากคุณ |
:
น้องคาร์แคร์...ตัวจริง (เก้าอี้สีเทา)
|
เขียนเมื่อ |
:
8 พ.ค. 53 14:59:54
|
|
|
|
 |