 |
ความคิดเห็นที่ 21 |
เข้าไปศึกษามาแล้วเหมือนกันค่ะ (ขอบอกว่ายาว ถ้าใครเริ่มสนใจธุรกิจนี้ขอให้อ่าน ยิ่งถ้าไม่ชอบธุรกิจนี้ ยิ่งต้องอ่าน แล้วเมนท์กันไว้นะคะ คนเราคิดต่างกันได้ค่ะ)
จากที่ตอนแรกเข้าใจว่าต้องใช้เงินลงทุน 3300 ก้อนแรก ต่อมาถึงได้เข้าใจว่าค่าสมัครเพื่อซื้อของนราคาสมาชิกน่ะมัน 300 แต่ 3000 นั่นคือจะต้องซื้อของให้ครบในราคานี้ในครั้งแรก สร้างคะแนนสะสมก้อนแรกเพื่อรับรายได้จากทั้ง 8 ทางที่กติกาตั้งไว้ (ใครสนใจศึกษากันเองนะว่าได้เงินจากทางไหนบ้าง) เดือนต่อๆไปก็แค่ซื้อของใช้ในบ้านให้ครบ 900 บาท (ยาสีฟันหลอดนึงราคา 120 ก็โอเคนะ ราคาพอว่ารับได้ แต่เค้าบอกยาสีฟันใช้ดีมากก และขายดีมากพอๆกับน้ำมันรำข้าว อันนี้ไม่แน่ใจเพราะยังไม่ได้เป็นสมาชิก แค่เข้าไปศึกษามาบ้างครั้งสองครั้งเอง)
แต่ในส่วนของการได้เปอร์เซนต์สูงๆ จากการซื้อของตามยอดให้ครบหมื่น อันนี้ไม่รู้อยู่ส่วนไหนของแผนนะคะ (มีด้วยเหรอ) เพราะที่รู้มารายได้จากการเข้ามาเป็นสมาชิกจะมีอยู่ 8 ทาง จำได้ไม่กี่อย่างอันดับแรกจากการขายปลีก ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจทำข้อนี้กันซักเท่าไหร่ เพราะถ้าจะแนะนำอาหารเสริมให้เพื่อนหรือคนรู้จักกิน แล้วเรากินกำไรจากตรงนี้มันคงไม่แฟร์นอกจากขายคนไม่รู้จัก (อันนี้คห.ส่วนตัวนะคะ )
แต่ที่นี่จะเน้นในเรื่องการใช้ของดีแล้วแนะนำให้คนอื่นใช้ต่อเพื่อสร้างเครือข่ายผู้บริโภคให้เกิดการโยงใยขึ้นมา (แทนที่เราจะไปซื้อของใช้ภายในบ้านจากที่อื่นที่ราคาถูกแต่เราไม่ได้อะไรกลับคืนมา) แล้วนำเงินจากตรงนั้นมาปันให้กับสมาชิก
ซึ่งในส่วนของแผนธุรกิจเราเพียงแนะนำคนให้มาใช้ข้าวของแบรนด์เพียงเดือนละ 900 ไม่มีข้อไหนในแผนที่ให้เราทำยอดขายให้ถึงเป้า ในบางเดือนเราอาจจะใช้จ่ายเงินในการซื้อผงซักฟอกซื้อของใช้เข้าบ้านมากกว่านี้ซะอีกเวลาไปโลตัสทุกสิ้นเดือน และคนได้กำไรส่วนตรงนี้ไปก็คือโลตัส แต่ในเมื่อเรามีสินค้าแล้วส่งตรงถึงมือผู้บริโภคเองเลยโดยไม่ผ่านคนกลางอย่างซุปเปอร์มาร์เกตต่างๆ กำไรส่วนที่ห้างร้านเหล่านี้ควรจะได้ก็จะกลับมาอยู่ที่สมาชิกอย่างเราแทน
และการแนะนำสมาชิกได้แต่ละคนจะมีโบนัสพิเศษให้คือตกคนละ 200 บาท
แต่นี่ไม่ใช่รายได้หลักจากการเข้ามาทำธุรกิจนี้ อีกทางนึงจะมีรายได้ที่ให้ต่อเดือนได้สูงสุด 800,000 บาท (ต้องตั้งเพดานไว้บ้าง เพราะมันสามารถทำให้ขึ้นไปได้เรื่อยๆจริง)ซึ่งมีคนทำได้มาแล้ว)
กับอีกทางนึงไม่เกิน 700,000 กว่าบาท ซึ่งรายได้จากแปดทางที่นรวมกันทำให้ตอนนี้มีคนได้เงินเดือน หนึ่งล้านขึ้นไปมีอยู่ 5 คน ในระยะเวลาที่ก่อตั้งบริษัทมาห้าปี และหนึ่งแสนบาทต่อเดือน 300 คน จากจำนวนสมาชิกตอนนี้หนึ่งล้านรหัส นอกนั้นก็จะมีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหมื่นคละกันไป ซึ่งจำนวนคนเหล่านี้ก็จะสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆในทุกๆปี
รายได้ข้อที่ให้เป็นจำนวนสูงๆนี้มาจากการที่เราให้การแนะนำสมาชิกเพียงสองคนเปรียบเหมือนสร้างขาซ้ายกับขาขวาขึ้นมาเป็นลูกๆเรา และแต่ละคนในสองคนนั้นได้แนะนำให้คนที่สนใจมาเป็นสมาชิกเครือข่ายผู้บริโภคนี้ด้วยกันก็จะหาต่อไปอีกคนละสองคน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทีนี้ถ้าเราหาใครไม่ได้หรือไม่รู้จะหาใคร คนข้างบนที่มาชักชวนเราหรือบนๆขึ้นไปอีกที่อยู่ในสายของเราก็จะต้องช่วยเราโดยการแนะนำคนอื่นมาต่อกันจนเป็นลูกโซ่โยงใยไปไม่รู้จบ นอกจากเงินที่จะได้แล้วเรายังจะได้มิตรภาพดีๆจากคนที่มีแนวคิดเดียวกัน ซึ่งในตอนแรกเราค่อนข้างมองธุรกิจนี้ในแง่ลบ เพราะที่บ้านเคยทำแอมเวย์มา แล้วมีแต่ข้าวของเกลื่อนบ้านที่ใช้ไม่ทัน ช่วงนั้นเงินที่บ้านก็ฝืด เพราะแม่ต้องเอาเงินมาซื้อของตุนไว้เพื่อทำยอด เลยค่อนข้างจะแอนตี้กับงานแบบนี้มากกก แต่คงจริงที่บอกว่าเกลียดอะไรได้อย่างนั้น เพราะพอมาศึกษาดู ธุรกิจยี่ห้อนี้เค้าสร้างระบบมาเพื่อให้สมาชิกไม่ต้องทำแบบนั้นอีก เพราะจะทำให้บริษัทถูกมองในแง่ลบได้ อย่างเช่นธุรกิจ mlm อื่นๆที่แต่ละเดือนต้องหมดเงินไปไม่น้อย (มีคนรู้จักบางคนหมดเป็นแสนๆตั้งแต่เข้ามาทำ) พอดีกับว่าเคยได้อ่านหนังสือเรื่อง"เงินสี่ด้าน"มาก่อนหน้านี้fด้วย เลยค่อนข้างที่จะเปิดใจแล้วลองมาศึกษาดู ละก็พบว่าเพียงแค่เราทำงานหนัก คือหาสมาชิก โดยใช้เวลาอย่างนานที่สุดเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น จากนั้นเงินก็จะทำหน้าที่ของมันต่อไปโดยที่เราสามารถหยุดได้ และเกษียณตัวเองได้เลยโดยใช้เวลาไม่นานเลยจริงๆ
ที่พูดได้ก็เพราะว่าเคยได้พบกับคนที่มีเงินเดือนจากธุรกิจนี้ขึ้นหลักแสนในสามถึงหกเดือนแรกอยู่หลายคนมากๆ แต่ก็นะอย่างว่าพอได้เงินเดือนละแสนมันก็ยิ่งอยากได้ขึ้นไปอีกไง สามเดือนไม่พอหรอก ทุกคนเต็มใจที่จะทำต่อ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ไม่อยากให้มองว่าเป็นความโลภหรืออะไร เพราะคุณจะอยู่กับที่แน่นอน ถ้าคุณมองคนด้วยความคิดที่ดูถูกแบบนี้
แล้วในเมื่อมันให้ผลตอบแทนได้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ ทำไมเค้าจะไม่ทำกันต่ออ้ะ ถึงได้บอกว่าต้องใช้เวลาประมาณสามถึงห้าปีเพื่อที่จะหยุดแล้วให้เงินมันงอกเงยออกมาเองได้อย่างสบายใจ
ไม่อยากให้มองคนที่เข้ามาทำในธุรกิจตรงนี้ว่ามีความโลภ ทุกคนมีพ่อมีแม่มีครอบครัวและคนรอบตัวที่เรารักต้องดูแลกันทั้งนั้น ในเมื่อมันมีธุรกิจที่จะปฏิวัติสภาพความเป็นอยู่ ปฏิวัติโลก ด้วยการผูกพันโยงใยกันด้วยแบรนด์ๆนึงที่สร้างสินค้าที่ทุกบ้านต้องใช้กันทุกวันขึ้นมาแบบนี้ มันก็น่าที่จะลองเปิดโลกแล้วเข้ามาศึกษาดูไม่ใช่เหรอคะ อย่างน้อยๆ ถ้าเราไม่ชอบ จะได้บอกคนอื่นได้ว่าเราไม่ชอบธุรกิจนี้ยังไง ไม่ใช่ไม่ชอบเพราะปิดใจไม่เคยได้เรียนรู้ เห็นคนล้มเหลวมาเยอะจากธุริจแบบนี้ยี่ห้ออื่น
แต่ถ้าเกิดมันเวิร์คขึ้นมาล่ะ คนที่ได้เงินเดือนล้านขึ้นตอนนี้ทำมาตลอดห้าปี มีสมาชิกที่แนะนำเอง 157 คนเท่านั้น ลองเฉลี่ยดูว่าต่อเดือนคุณจะต้องแนะนำคนที่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นสักกี่คนกัน ไม่มากเลยใช่มั้ยคะ แล้วทำไมเราไม่ลองดูล่ะ เงิน 3000 ฯฮฏ๗กเราจะได้ของใช้ในบ้านมาใช้แล้ว ยังทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกมากมาย หลากหลายอาชีพ หลากหลายวัย หลายหลายคุณวุฒิ และยังกล้าที่จะคุยกับคนที่คุณไม่รู้จักเพื่อแนะนำสิ่งดีๆให้เค้า
แต่ก็แปลกนะ หลายคนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้จะมองในแง่แบบนี้ แต่คนที่รารู้จักบางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาหาสมาชิกกันเหลือเกิน จนเราเองยังกลัว เร่งรัดแบบนี้ จะหาสมาชิกได้บ้างมั้ยเนี่ย สงสารแทนแต่ไม่กล้าบอกเค้ารู้ตัว ก็นะ คนมันหลากหลาย มันก็เลยมีหลายแบบ นี่ถ้าไม่สร้างระบบกันเอาไว้ก่อน คงน่ากลัวกว่านี้แน่ อยากให้มองว่าคนเรามีหลายแบบ
บอกก่อนว่าเราเคยเข้าไปศึกษาที่ centor เข้ามาครั้งนึง วันนั้น upline องเพื่อนพยายามจับเราสมัครให้ได้ทั้งที่เราก็บอกแล้วว่ายังไม่พร้อม อยากน่ะมันก็อยากเฟ้ย แต่นี่มันสิ้นเดือนอยู่ กินแกลบมาหลายวันแล้ว เพื่อนที่ไปด้วยเห็นหน้าเราหงิก ก็เลยช่วยพูดให้ เค้าถึงยอมเลิกยุ่งกะเรา จนวันนั้นเราแอนตี้ธุรกิจนี้ไปเลย
แต่พอวันต่อมามีเพื่อนอีกคนมาชวนทำ เราก็ เออเว้ย เพื่อนเราก็ทำกันเยอะนี่นา แล้ววันนั้นจัดงาน vip opp ประจำเดือน มีการสาธิตสินค้าในงาน เราก็เลยคิด ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ แต่งานนี้ต้องเสียเงินด้วยนะร้อยนึงพอดีไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้นานแล้ว อยากเจอกันก็เลยยอมไปอีก
อยากบอกว่าทุกอย่างโดยรวมวันนั้นค่อนข้างประทับใจ เพราะได้เจอพี่ upline ของเพื่อน ที่เดินเข้ามาคุยกับเรา ตอนแรกก็คุยกับเค้าแบบกลัวๆ แอบมองหน้าเพื่อน ว่าเฮ้ย ไหนบอกจะไม่มีแบบนี้อีกไง พอเค้าชวนคุยสักพัก เรารู้สึกดีขึ้นมาเอง ละก็อยากทำขึ้นมาทันที เค้าไม่ได้พูดเก่ง พูดเป็นชุด หรือพูดไปแล้วเอาเก้าอี้หันหน้ามาคุยประจันหน้ากับเราจนรู้สึกเหมือนถูกสอบสวนอย่างวันนั้น เค้าชวนคุยแบบสบายๆ มันเลยทำให้เราอยากเป็นอย่างเค้า คือเวลาที่เค้าพูดเค้าให้เราได้มีโอกาสตัดสินใจ พูดถึงทุกอย่างแบบกลางๆ ไม่ใช่อะไรก็ดีไปหมด มันเหมือนเรามาเจอกันตรงกลางเลยคุยกันเข้าใจ มันทำให้เค้าดูสง่าขึ้นมาทันที แต่ในความสง่ามันก็มีความเป็นกันเอง เค้าทำได้ไงอ้ะ เราต่างจากเค้าตรงไหน เค้ามีอะไรที่เราไม่มีเหรอ รู้สึกฮึดขึ้นมาบอกตัวเองว่า เราอยากพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างพี่เค้าบ้าง
แต่เราก็ไม่ได้สมัครอะไรกับพี่เค้าหรอกนะ เพราะเพื่อนที่ชวนคนแรกสนิทกันมากกว่า ถึงจะไม่ชอบ upline คนที่เจอคนแรกนั่นก็เถอะ ก็แค่คนเดียวเอง ยังมี upline คนอื่น และคนดีๆ ในธุรกิจนี้ให้เราได้เจออีกเยอะ
นั่นเลยทำให้เราต้องมาเรียนรู้คนกันทุกอาทิตย์จากการพบปะกับสมาชิกที่สร้างกลุ่มของตัวเองกันขึ้นมารวมตัวกันเพื่อพบปะกัน (ไม่เกี่ยวกับบริษัทนะ บริษัทไม่ยุ่งด้วยเพราะกลัวภาพลักษณ์จะเสียหาย ให้จับกลุ่มกันเอาเอง คิดเอาเอง ทุกคนมีสิทธิ์ได้เป็นนักการตลาดได้เท่าเทียมกัน)
ตอนแรกเข้าใจว่าระบบแบบนี้ที่สร้างขึ้นมาให้สมาชิกได้พบปะพูดคุยกันอาทิตย์ละสามหน ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้กัน เมื่อถูกปฏิเสธ จะได้ไม่ท้อถอยง่ายๆ มีแรงฮึดสู้ที่จะไปแนะนำคนอื่นต่อ
มาตอนนี้เราเข้าใจว่านั่นมันแค่ผลพลอยได้ จุดประสงค์หลักของเค้าในการพบกันแต่ละครั้งที่จะต้องมีการล้อมวงคุยกัน (เราไม่ชอบเลย เหมือนตอนไปค่ายอาสาไงงั้น) มีการแบ่งปันเรื่องราวว่าที่ผ่านมาเราได้เจออะไรมาบ้างเป็นการสร้างความมั่นใจโดยเริ่มจากกลุ่มย่อยๆของตัวเองก่อน เมื่อมาบ่อยๆเข้าก็จะเกิดการเคยชินไม่กลัวที่ะถูกปฏิเสธเมื่อต้องเข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่น ข้อดีอีกอย่างคือเราจะมีบุคลิกที่ดีขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติ ด้วยพฤติกรรมเลียนแบบ เหมือนชื่อหนังสือจิตวิทยาเรื่องนึงที่เราชอบมากคือ "อยู่อย่างสง่า" คนที่ไปวันแรกๆ จะยังดูไม่ค่อยมีราศีเท่าไหร่ แต่พอมองดูห้องข้างๆ เวลาที่เค้าต้องล้อมวงกันทำกิจกรรม รู้สึกว่าบุคลิกคนพวกนี้แตกต่างจากคนที่มาวันแรกๆ อย่างมาก พอมั่นใจอะไรๆก็ดูดีไปหมด ทำให้ดูสง่าขึ้นด้วย
พิมพ์มาซะยาว แค่จะบอกว่า สำรับคนที่มองหาสิ่งที่ดีให้กับชีวิต คุณได้เจอสิ่งนั้นแล้วบนโลกใบนี้ อย่าปล่อยให้โอกาสที่เราจะได้ทำใหคนที่รักมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลุดไป แรกๆ เป็นธรรมดาที่จะมีคนไม่เห็นด้วย ทำหน้าหยีแหวะใส่เรายังมี เพราะเค้ายังติดภาพเดิมๆ กับบริษัท mlmเก่าๆ รอเมื่อเค้าพร้อมเราค่อยอธิบายให้เค้าฟังว่ามันต่างจากของเดิมยังไง มาเรื่องในส่วนของผู้บริหารบ้างตอนแรกก็ติดใจอยู่เหมือนกัน เพราะได้ยินมาว่าคุณหมอเจ้าของบริษัทเป็นน้องของผู้ที่เคยมีคดีเรื่องหุ้นอะไรซักอย่าง แล้วก็มีเรื่องกับวัดธรรมกายอีก เคยลงหนังสือพิมพ์ด้วย ลองค้นดูได้ จนมีคนบอกว่าพี่ชายเค้าจะเอาเงินตรงนั้นมาฟอกด้วยธุรกิจนี้
แถมยังมาเห็นในกระทู้นี้เพิ่มอีกว่าเคยโดนให้ออกจากแอมเวย์ด้วยเหตุผลอะไรที่เราๆท่านๆก็ไม่ทราบได้ เป็นจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ มันก็มีหลายกระแสนะ เราคิดว่าถึงเรื่องพวกนี้จะเป็นจริง แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทนี้ ในเมื่อตอนนี้ถือว่าบริษัทมั่นคงมากด้วยกำไรที่สร้างมาในเวลาไม่กี่ปี
บริษัทเอาเงินมาลงทุนจดทะเบียน 40 ล้าน จนตอนนี้มีเงินหมุนเวียนอยู่หลายพันล้านบาท และยังตั้งเป้าเรื่อยๆจากการขยายบริษัทไปต่างประเทศ เรามองว่ามันมั่นคงจนเรื่องพวกนี้ไม่มีผลกระทบ กับรายได้ของเราที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว แล้วจะไปสนใจให้มันวุ่นวายทำไม ทำหน้าที่ทำเป้าหมายของเราให้ดีที่สุดดีกว่า^^
ลองเข้าไปศึกษาดูนะคะ ไม่ชอบ ไม่เวิร์คก็แค่เดินออกมาเท่านั้นเองจ้า
โอ้ววว ยาวได้อีก
ปล. เข้ามาแก้คำผิด
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 53 10:14:16
จากคุณ |
:
ป้าอุ่น
|
เขียนเมื่อ |
:
วันอาสาฬหบูชา 53 10:03:22
|
|
|
|
 |