ความคิดเห็นที่ 1   ข้อมูลที่ให้มากว้างมากเลยค่ะ ในส่วนของ logistic มีหลายเทคนิคที่นำมาใช้ร่วมกันที่ต้องทราบข้อมูลมากกว่านี้ค่ะ - กรณีการพยากรณ์ยอดขาย : สินค้าคุณเป็นสินค้าประเภทใด หมุนเวียนเร็วหรือช้า , มูลค่าสูงหรือต่ำ , ข้อมูลยอดขายในอดีตเป็นแบบใดในช่วงปกติและช่วงที่มีการส่งเสริมการขาย ....คือ...มันต้องดูเป็นเฉพาะรายสินค้าค่ะว่าต้องจัดการแบบใด ถึงจะเลือกใช้สูตรการพยากรณ์สินค้าให้เหมาะสมได้ - ระบบการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ที่จริงตามหลักคือ Just in time (JIT) แต่ยากมากในระบบการทำงานจริงและกับทั้ง Supply chain และเหมาะกับสินค้าแค่บางประเภทเท่านั้น สินค้าบางอย่างก็เหมาะกับการ First in - First Out สินค้าบางอย่างก็ควรเป็น First in-Last Out (มีผลต่อการทำบัญชีในการคิด Cost ของสินค้าด้วย) ในส่วนของระดับสินค้าคงคลังก็ดูพวก ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด (economic order quantity, EOQ) ,การกำหนดจุดสั่งซื้อ (reorder point) และสินค้าเพื่อความปลอดภัย (safety stock) ,การวิเคราะห์ ABC (ABC analysis) ลองหาอ่านดูนะคะ http://coursewares.mju.ac.th/BA330/TPChap6-106.htm น่าจะเข้าใจได้มากขึ้น เอาใจช่วยค่ะ และขอโทษที่อาจช่วยอะไรไม่ได้มากและตอบคำถามได้งงๆ ^^ จากคุณ : มาชิ มาชิ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 00:14:37 A:125.25.27.84 X: TicketID:272118

ความคิดเห็นที่ 2 กลยุทธและหลักการบริหารที่ผมทำๆอยู่ เป็น Action Plan ของปีนี้ ก็จะได้แก่ 1. เรื่องของ Availability คือ ความสามารถให้บริการในสินค้าคงคลังได้ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดยผมจะทำการแบ่ง Class ของสินค้าตาม History ปริมาณยอดขายสินค้าแต่ละชนิด เพื่อทำการ monitor ในลักษณะที่ แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น สินค้า Class A และ B จะต้องสามารถให้ บริการผู้ใช้ได้ 99% และ Class C 95% หมายถึง ถ้ามีผู้ใช้มาซื้อสินค้าใน Class A และ B 100 คน ๆ ละ 1 ชิ้นจะต้องได้สินค้ากลับไป 99 คน และ ถ้าเป็น Class C ต้องได้สินค้ากลับไป 95 คน PS. สินค้าที่ผมมีในคลัง ประมาณ 10,000 กว่า Item ครับ อีกส่วนในการ monitor เรื่องนี้ คือ การกำหนดค่า Min-Max ของสินค้า ในแต่ละ Item เพื่อป้องกันการมีสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินความจำเป็น ทั้งนี้ ในเรื่องของการกำหนดค่า Min-Max ของสินค้าแต่ละชนิดจะมีการ Revise ให้เหมาะกับในแต่ละช่วงเวลา หรือเหมาะกับยอดขายของ Sale ครับ 2. เรื่องของ Cost Down คือ เรื่องของการกำหนดเป้าหมายที่จะซื้อสินค้า หรือสั่งสินค้าให้มีราคาที่ถูกลง โดยเทียบกับการซื้อครั้งล่าสุดของปีที่แล้ว เพื่อเป็นการลดต้นทุนสินค้าโดยรวมของฝ่าย แต่ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญของ หัวข้อนี้ คือ เรื่องการปรับเพิ่มของราคาต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งถือเป็นอุปสรรค อย่างยิ่ง แต่จะช่วยให้เราตื่นตัวในการ Sourcing หาแหล่งสินค้าราคาต่ำ เมื่อเห็นว่าตัวชี้วัดไม่เป็นไปตามเป้าครับ 3. เรื่องของ Turn Over เป็นเรื่องของระยะเวลาที่คลังจะมีสินค้าให้บริการได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการสั่งซื้อใหม่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีสินค้ามากเกินไป จนสต๊อกบวม แต่ก็ต้องไม่มีสินค้าน้อยเกินไป อันอาจจะทำให้เกิดปัญหา สินค้าขาดสต๊อก อีกทั้งป้องกันไม่ให้การสั่งผลิตกับฝ่าย Production เกิด ขึ้นในปริมาณมากๆในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผลิตสินค้าไม่ทันได้ 4. เรื่องของสินค้า Slow Move เป็นเรื่องการป้องกันไม่ให้สินค้าที่มีในคลัง และมีการเคลื่อนไหวช้า ค้างคลังเป็นเวลานาน ๆ จนเกิดเป็น Dead Stock โดยการกำหนดระยะเวลาว่า หากสินค้า Item ใดไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลา 3 เดือนให้ถือว่าสินค้านั้นเกิดการ Slow Move และ 6 เดือนให้ถือว่าสินค้า นั้นๆเป็น Dead Stock การ monitor ในเรื่องนี้จะช่วยให้เมื่อสินค้าเกิดการ Slow Move เราจะทำการ Report ให้กับฝ่ายขายเพื่อนำสินค้าที่มีไปทำ Promotion หรือเป็นส่วนลด ของแถม อะไรก็ว่าไป เพื่อไม่ให้สินค้าดังกล่าว เกิดการ Dead Stock หรือ เสื่อมคุณภาพ เป็นการป้องกันปัญหาในอนาคต ที่จะต้องมีการทิ้งทำลายสินค้าที่เก็บไว้เป็นระยะเวลานานๆครับ อีกทั้งยัง ช่วยให้เกิดการควมคุมเรื่องของ Warehouse Space ได้ด้วยครับ 5. เรื่องการรับประกันในการจัดส่งสินค้า เป็นการ Confirm กันระหว่าง แผนกที่เกี่ยวข้อง ว่า สินค้าที่จะทำการจัดส่งให้ลูกค้า จะถึงมือลูกค้าใน วันที่มีการกำหนดจัดส่งไว้ ทั้งนี้ กำหนดให้ ต้องมีการจัดส่งถึงมือลูกค้า ไม่ต่ำกว่า 98% เพื่อสร้างความพึงพอใจ และเป็น KPI ในการจัดส่งสินค้า ในส่วนของการพยากรณ์ยอดขาย ที่ผมมีทำๆอยู่ ก็คงเป็นเรื่องของการเป็น ตัวกลางระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายผลิต โดยผมจะให้ทางฝ่ายขาย แจ้งยอด การพยากรณ์ ล่วงหน้า 3 เดือน กล่าวคือสินค้าที่บริษัทผมขายต้องมี Lead Time ในการผลิต 1 เดือน ดังนั้น 3 เดือนที่ว่า ก็คือ ยอด Sale Order ของเดือนหน้าและอีก 2 เดือนเป็นยอด Forecast การขายครับ ทั้งนี้ ผมจะ ทำการส่งยอดดังกล่าวให้กับฝ่ายผลิตทุกๆเดือนเพื่อนำไป Planning ในเรื่อง ของวัตถุดิบ และ การลำดับการผลิตครับ ไม่แน่ใจว่า จะพอเป็นประโยชน์หรือเปล่า แต่ที่ผมทำๆอยู่ก็จะประมาณนี้ครับ ส่วนอื่นๆ อาจจะเป็นส่วนเล็กๆน้อยๆ อาจจะไม่ได้กล่าวถึง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ หากมีข้อเสนอแนะใดก็เพิ่มเติมมาได้หลังไมค์น่ะครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 53 16:24:25 จากคุณ : 9ตะวัน เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 16:22:28

ความคิดเห็นที่ 3 ในการสั่งซื้อ นอกเหนือจากการพยากรณ์ Demand แล้ว สิ่งที่ จขกท. ต้องคำนึงถึงเช่น 1. Setup cost 2. Holding Cost 3. Lead Time 4. Re-order Point เป็นต้น ส่วนระบบ Warehouse Management เป็นหลักของการบริหาร Space ของคลังสินค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเองค่ะ จากคุณ : ปืนใหญ่นางพญาตานี เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 21:19:44