ความคิดเห็นที่ 1   แหม...อาชีพชาวนาดีอย่างงี้ แล้วทำไม๊ ทำไม ถึงไม่มีใครอยากทำ อยากเป็นกัน น่ะ สงสัย จากคุณ : วิช เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 00:43:00 A:180.183.20.87 X: TicketID:121481

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าเป็นงี้แล้วทำมัยชาวนาไทยไม่รวยซะทีหล่ะ จากคุณ : MeaoNoi เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 01:07:24

ความคิดเห็นที่ 3 ลองคิดเป็นรายได้ต่อปีด้วยสิท่าน ปีๆหนึ่งกว่า 80% ของชาวนาทั้งประเทศทำได้แค่ นาปี ส่วน 20% ที่เหลือ (แต่มีพื้นที่ต่อคน ต่อไร่มากกว่า) อยู่ในภาคกลางและที่ชลประทานใกล้เขื่อน ที่ทำนาปรังได้ปีละ 2 ครั้งอย่างต่ำ ชาวนาส่วนใหญ่ไม่มีที่นาของตัวเอง ต้องเช่านาเขาทำ ส่วนแบ่ง 50:50 หรือ 70:30 ตามแต่ตกลงว่าใครลงทุนค่าไถ ค่าปุ๋ย ค่าเมล็ดพันธ์ รายจ่ายที่สำคัญคือค่าปุ่ย เพราะต้องการให้ผลผลิตนาปีได้ข้าวเพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งหากเฉลี่ยจริงๆแล้วชาวนามีรายได้ประมาณ 5,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น มีนา 5 ไร่ ได้ไร่ละ 1-1.2 ตัน (กรณีเร่งปุ๋ย) ถ้าปลูกปกติก็ 500-800 กก. ดังนั้นจะได้ข้าวประมาณ 3.5 ตัน - 6 ตัน ขายได้ตันละ 10,000 บาท แสดงว่าปีนั้นมีเงิน 35,000-60,000 ต่อปี นี่แหละชาวนาส่วนใหญ่ของประเทศ พวกชาวนาที่มีที่มากกว่า 20 ไร่จะสบายหน่อย จากคุณ : รัช_rpg เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 01:27:30

ความคิดเห็นที่ 4 มองในมุมมองลูกหลานชาวนา ชาวนา (ส่วนใหญ่) มักจะ - มีที่ดินว่างเปล่าซะเยอะ บางที่ในโฉนดมีเป็น 50 ไร่ แต่ว่าดินแล้งและปนทรายไปซะ 30 เหลือ 20 ก็เป็นนาแล้งบ้าง นาโคกบ้าง เพราะสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากพื้นที่ทำนาภาคกลาง ทำให้มีที่ทำนา "จริงๆ" แค่ไม่กี่ไร่ - ในกรณีที่เป็นนนาหว่าน ตรงนี้ชาวนาต้องมีพันธุ์ข้าวที่เป็นที่ต้องการของโรงสีและต้องเตรียมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว  ปัจจจุบันวิธีนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยม (ในท้องที่ที่เราอยู่) เพราะว่าการที่จะทำนาหว่านได้นั้นต้องเป็นผืนนาที่มีน้ำขังแต่ด้วยสภาพอากาศที่แล้ง เวลาไถนาเสร็จก็ตั้งท่ารอฝน จนก้อนดินแห้งแข็งกรัง และต้องมีความเสี่ยงกับฝูงนก หรือว่าศัตรูพืชต่างๆ ที่มากินข้าวที่เราหว่านลงไป - ชาวนาเหมือนมีสิทธิ์ต่อรองทางราคา แต่ความจริงก็ได้แค่เหมือนจะ เพราะว่าราคาจริงที่เห็นทางทีวี กับเงินที่ได้รับจริงต้องอย่าลืมหักออกซะ 50% การประกันราคาข้าว สมมุติรัฐตั้งไว้ที่ 20 บาทต่อไร่ นั่นแสดงว่า นายแดงมี 50 ไร่ ต้องได้เงิน 1,000 บาท ตามที่ตั้งไว้ แต่ว่าความจริง (ที่น่าเห็นใจ) บัญชีขึ้นทะเบียนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่นา กลับปรากฏแค่ 10 ไร่เท่านั้น ทำให้นายแดงได้เงินมา 500 บาท และมีอีกหลายกรณีที่ได้รับเงินไม่ตรงกับที่รัฐแจ้งมา เช่น บอกว่าไร่ละ 20 บาท แต่ความจริงแล้วคือ บางคนที่ได้ไร่ละ 20 บาทในตอนแรกและได้ไม่ครบทุกคน บางคนก็ได้ไร่ละ 10 บาท ตรงนี้ยังพอรับได้ แต่ว่าคนที่ซวยจริง ๆ ได้ไร่ละ 5 บาท ....ก็ยังดีกว่าไม่ได้..... - ชาวนาเป็นอาชีพที่มีเครดิตดี จะไม่ดีได้อย่างไร ก็เพราะว่าถ้าไม่มีเงินไปจ่ายที่กู้ธนาคารมา เขาก็มายึดไร่ยึดนาได้ง่ายๆ ค่ะ กู้ง่ายความเสี่ยงก็ง่าย เพราะว่าชาวนาไม่หลบเลี่ยงหรือว่าบ่ายเบี่ยงอะไรให้ซับซ้อน หลายคนหมดบ้านไปหลายหลังแล้ว ก็ได้แต่มองหน้าปริบ ๆ -ชาวนาเป็นอาชีพที่ มีอัตราผลตอบแทนต่อชั่วโมงสูงมาก (เกือบ 200 บาทต่อ ชั่วโมง) เพราะว่า จขกท. ดูจากทีวีเกินไป เลยได้ข้อมูลแบบนั้นมา   ค่ารถไถไร่ละ 700 บาท มากหรือน้อยขึนอยู่ที่ว่าต่อราคาได้เท่าไหร่ ถ้าไถด้วยดำด้วย 1200 (ไม่รู้ราคานี้เปลี่ยนหรือยัง) ปุ๋ยถุงละ 700 แบบขี้กาก แบบที่เขาอ้างว่าดีหน่อยก็ 1200 บางช่วง peak สุด 1500 ต่อถุง สมัยนี้ทำท่าเหมือนจะดี ทางร้านให้ซื้อไปค่อยจ่ายทีหลังได้ จ่าค่าปุ๋ยที 20000-30000 บาท เป็นอย่างต่ำ สำหรับคนที่มีนาปานกลาง เท่านี้ก็หมดตูด... อย่าลืมว่าชาวนาส่วนใหญ่ทำงานมาได้ก็ใช้หนี้ปุ๋ย หนี้ยืมเงินเขามาทำนา หนี้รถไถ หนี้รถสีข้าว เท่านี้เงินก็หมดแล้ว (สำหรับชาวนาที่ไม่มีทุนสำรอง) ก็ต้องพึ่ง ธกส. (ธรณีกรรแสงแห่งชาติ) ตามเดิม ที่ว่าทำนาเสร็จไม่ต้องรีบขาย รอดูราคาตลาด ...พูดน่ะพูดได้ แต่ว่าสถานการณ์จริงๆ แล้ว มันทำไม่ได้หรอก เพราะว่าเวลาทำนาเสร็จ เดี๋ยวนี้แทบจะมีคนมาขอซื้อถึงหน้าบ้านเลยทีเดียวค่ะ หากว่ารอนานไปเหมือนตอนนี้ ราคาข้าวมะลิ ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ล่ะมั้ง พอเอาไปขายไว ทางโรงสีก็บอกว่า ข้าวมีความชื้นสูง อะไรทำนองนี้ กดราคาลงมาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน พอรอเวลาผ่านไปหน่อย ราคาก็ตกฮวบบบบ จนจ่ายค่าผ่อนมอเตอร์ไซต์ไม่ได้เลยค่ะ - ชาวนาเป็นอาชีพที่ไม่ต้องเสียภาษี เอาแค่เงินกินวันๆ ยังจะไม่มีเลยคุณแล้วเอาเงินที่ไหนไปเสียภาษี....ยาก ร้านกาแฟขายได้ จันทร์ - อาทิตย์ เช้ายันเที่ยงคืน ถ้าจะเปิดนะ       แก้วละ 30-40 -50 บาทก็จัดไป วันหนึ่งอย่างต่ำก็วันละ 1,000 บาท มันก็ควรเสียภาษีแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นชาวนาไม่เสียภาษีนี่แหล่ะดีแล้ว - ชาวนาเป็นอาชีพที่เสียงดัง เพราะเป็นอาชีพที่ต้องอิงกับเรื่องสภาพอากาศ ฟ้าฝน น้ำ เป็นหลัก ถึงแม้จะมีการรณรงค์การขุดบ่อ ขุดไปก็เท่านั้น ลึกลงไป 50 เมตร 100 เมตร หรือมากกว่านั้น มีน้ำนิดเดียวสีขุ่น ๆ แล้วก็เหือดแห้งไปพอเข้าช่วงแล้ง  ถ้าชาวนาไม่เสียงดังใครล่ะจะมาช่วย ยูนิฟอร์มที่ชาวนาใส่ก็ไม่มีอะไรให้คนเกรงขามด้วย ฝนตกลงมาแม่ค้าแผงลอยขายของไม่ได้ พี่วินวิ่งไม่ได้ >>เดี๋ยวพอเข้าช่วงทำนาเขาก็กลับบ้านไปไถนาค่ะ หมดหน้านาก็มากรุงเทพ<<< ทางออกที่ยั่งยืนคือ"ต้อง"มีการสร้างระบบชลประทานทำท่อส่งผ่านไปแต่ละตำบลที่มีการทำนา เพราะว่าปัญหาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ...การแย่งทางน้ำ เพื่อให้ทางน้ำนั้นเข้ามาที่นาของตนเอง ชาวนาต้องไปนอนคอยกว่าสัปดาห์หรือนานกว่านั้น เพื่อผันน้ำเข้านาของตัวเองค่ะ ตีสาม ตีสี่ ก็นอนที่กระท่อมปลายนานั่นล่ะ เพราะว่าหากไม่ทำแบบนั้นจะมีคนขโมยน้ำในนาข้าวไป ..เดี๋ยวนี้ตากเข้าไว้ที่ลานบ้านก็ไม่ได้แล้ว ถึงจะเปิดไฟไว้ก็มีโจรมาย่องโกยข้าวเข้าตัวเอง...ที่ร้ายไปกว่านั้น ขนาดเก็บไว้ในเล้าข้าวล็อคอย่างแน่นหนา ยังหายไปเลย 10 กระสอบ !! ลุงคนนั้นแทบจะเป็นลมเสียให้ได้เลย จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 08:39:22

ความคิดเห็นที่ 5   ชาวนาเป็นอาชีพที่ดี แต่ขาดโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยการผลิต ทั้งพันธุ์ข้าวปลูก ปุ๋ย อาหารเสริม ยาฆ่าแมลง รวมถึงยังไม่มี เทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยว และส่วนใหญ่ไม่มีรถบรรทุก สินค้าเพื่อส่งไปยังท่าข้าวหรือโรงสีข้าว ต้องอาศัยพ่อค้าคนกลาง จึงขาดการควบคุมดูแล ทำให้รั่วไหลได้ง่าย เนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์ จากความคิดเห็น ข้อ 1 การไม่เก็บสต็อก เป็นข้อเสียเปรียบ เพราะข้าวต้นฤดู มีปริมาณ ข้าวเปลือกออกสู่ตลาดมาก พร้อมๆกัน ทำให้ผู้รับซื้อสามารถกำหนด ราคารับซื้อได้ และการเก็บเข้าสต็อกโดยวิธีการลดความชื้น โดยอาศัย แสงแดดจากธรรมชาติ ทำให้ได้ข้าวเปลือกที่มีความชื้นลดลง ไม่ถูกตัดราคา หรือตัดน้ำหนัก เมื่อส่งมอบ ข้อ 2 ชาวนาเครดิตไม่ดี จึงต้องซื้อสินค้าแบบผูกมัดกับผู้ขายปัจจัยการผลิต จึงต้องมีเครดิต หมดโอกาสในการต่อรองราคา ทำให้ต้นทุนการผลิตรวมสูง ข้อ 3 อัตราตอบแทนเบื้องต้น 40% ที่ผลผลิต 70 ถัง/ไร่ และจะสูงกว่านี้ถ้าชาวนาสามารถเพิ่มผลผลิตได้เป็น 100 ถังขึ้นไป/ไร่ ต้องมีเทคนิคและการจัดการที่ดี มีการเว้นวรรคในการปลูกข้าวสัก 1-2 เดือน และปรับปรุงคุณภาพดิน การเว้นวรรคเพื่อป้องกันแมลงโรคระบาดโดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ข้ออื่นๆ เห็นด้วยครับ มีชาวนามืออาชีพในเขตชลประทาน เช่น อยุธยา สุพรรณ ชัยนาท นครปฐม ทำนาปีละ 2-3 รอบ ๆละ 100 ไร่เศษ มีผลผลิตกว่า 100 ถัง/ไร่ แต่ละรอบมีรายได้เป็นกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท กลุ่มนี้ไม่ออกมาเรียกร้องราคาเหมือนชาวนาฐานนักการเมือง พวกนั้นมือสมัครเล่น ทำนาเป็นอาชีพรอง หรือทำนาบนเขตพื้นที่ สปก. หรือนาไร่ตามเชิงเขา มีผลประโยชน์ต่างตอบแทน และผลิตข้าวรวมไม่ค่อยได้คุณภาพ และไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ความรู้เกี่ยวกับราคาข้าวสาร ข้าวเปลือก ถูกกำหนดโดยผู้ซื้อข้าวในต่างประเทศ โดยผู้ส่งออกรับออเดอร์แล้ว มีคำสั่งซื้อมาให้หยง หยงส่งต่อให้กลุ่มโรงสี โรงสีประกาศราคารับซื้อข้าวเปลือกไม่ให้เกินต้นทุนการแปรสภาพ เช่น ราคาข้าวสาร 5% ณ.กรุงเทพ 1,800 บาท/กส. ราคาข้าวเปลือกที่ตั้งโต๊ะรับซื้อหน้าโรงสีไม่ควรเกิน 9,000 บาท/เกวียน ถ้าสูงกว่านี้โอกาสขาดทุนสูง โดยพ่อค้าท้องถิ่น คนกลาง ออกไปรับซื้อถึงทุ่งนา ได้ค่าบริการ 200 บาท/เกวียน และยังไม่รวมค่าหักความชื้นที่มีพิเศษอีก 50 บาท/เกวียน จากคุณ : หัวใจจากท้องทะเล เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 11:21:26

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ามาเก็บข้อมูลครับ จากคุณ : นายแว่นธรรมดา เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 13:05:48

ความคิดเห็นที่ 7   เรื่องอื่นผมไม่ติดใจน่ะครับ แต่ผมติดใจเรื่องเดียวและเป็นเรื่องที่ผมสงสัยมานานมากแล้วด้วย ผมอยากรู้ว่า "ชาวนาทำงานกี่ชั่วโมงหรอครับ? " ถ้าตามข้อมูลที่จขกท.บอกมา ชาวนาทำนาปีละ 1 ครั้ง จะมีชั่วโมงทำงาน 168 ชั่วโมงหรือทำงานเท่ากับ 21 วัน (วันละ 8 ชั่วโมง) คือผมไม่รู้นะว่าทำนาจริงๆแล้วได้กำไรไร่ละกี่บาท (แน่นอนว่าต้องมีกำไร ต่อให้ชาวนาขาดการศึกษาแค่ไหน เค้าก็ต้องรู้ว่าที่ทำอยู่ได้กำไรแน่ๆ) แต่ถ้าทำงาน 21 วันต่อ 1 ปีอย่างนี้ มัน "จะไปรวยได้อย่างไร" แล้วอีก 344 วันที่เป็นวันหยุดล่ะ พวกเค้าทำอะไร? ถ้าเค้าเอาเวลาว่างนี้ไปทำงานอย่างอื่นที่มีรายได้แล้วยังจนอยู่ ก็คงต้องบอกว่าชาวนาเป็นคนที่น่าเห็นใจจริงๆ แต่ถ้าพวกเค้าเอาเวลาว่างนี้ไปนั่งชนไก่ กินเหล้า (ตาม perception ผม ผมว่าส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ล่ะ) ผมคิดว่า "ชาวนา" นั้นก็คือคนขี้เกียจธรรมดานี่เอง เราไม่ควรต้องไปเห็นใจ รัฐไม่ควรไปช่วยเหลือ เราควรไปเห็นใจพวกกรรมกรมากกว่า เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ผมอยากได้คำตอบจริงๆก็คือ 1. ชาวนาทำงานกี่ชั่วโมง กันแน่ เอาเฉพาะเวลาที่ทำงาน "ลงแรง" จริงๆนะครับ ไม่เอาเวลาพวกรอควายอาบน้ำ รอควายกินหญ้า รอต้นข้าวโต เป็นต้น (ตามความคิดผม ผมว่าตัวเลขก็ไม่ต่างจาก จขกท. เท่าไหร่หรอก) 2. ชาวนาเอาเวลาว่างที่เหลือไปทำอะไร ? ปล. ชาวนาในที่นี้หมายถึงพวกชาวนาที่ยากจนนะครับ และผมคิดว่าถ้าจะบอกว่าการทำนาเป็นงานที่หนักมาก มันก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะถ้าอย่างนั้นพวกจับกัง พวกกรรมกร เราก็ควรให้ความช่วยเหลือ เห็นใจพวกเค้าด้วย เพราะฉะนั้น จุดที่จะชี้วัดได้ว่าชาวนาเป็นอาชีพที่ทำแล้วจนจริงๆ น่าจะอยู่ที่ "ชั่วโมงทำงาน" มากกว่านะครับ จากคุณ : สงสัยมานาน เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 13:06:29 A:58.8.173.242 X: TicketID:269899

ความคิดเห็นที่ 8 มุมมองของผม คือ ชาวนา สามารถรวยได้ถ้ามีระบบการจัดการที่ดี ไม่ต่างจาก ธุรกิจอื่นๆ เราจะเห็นได้จากทุก อาชีพ มีทั้งรวยและจน ไม่ว่า ทำร้านอาหาร ขายกาแฟ ครู ขับรถส่งของ ทุกอาชีพอยู่ที่การจัดการทั้งนั้น คนที่ทำสำเร็จงรำรวยในอาชีพก็มีแต่ไม่ได้ออกข่าวเท่านั้นเอง เพราะชาวนาพวกนี้จะได้รับประโยชน์ที่รัฐออกมาช่วยเหลือด้วย เลยมักจะอยู่เงียบๆ ตัวอย่างปัญหา เรื่อง ปุ๋ยแพง ผมมีญาติทำสวนยางอยู่ เขาก็ทำปุ๋ยเอง ทั้งปุ๋ยเคมี และ ปุ๋ยธรรมชาติ สามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยปีๆนึงได้เกือบ  100,000 บาท เทียบกับซื้อปุ๋ยสำเร็จรูป ผมไม่ทราบว่าชาวนาที่บ่นว่าปุ๋ยแพงเคยทำปุ๋ยเองบ้างไหมครับ มีหลายคนที่ซื้อความสะดวก ซื้อแต่ปุ๋ยสำเร็จรูป ตามโฆษานาบ้าง ตามเพื่อนบ้าง ขวดนึงตั้งแพง ทำเองก็ได้ ทำเล ดินไม่ดี แล้ง ทุกธุรกิจทำเลก็เป็นปัจจัยหลักที่ต้องดูกัน ถ้าทำเลไม่ดียังทู่ซีทำอยู่เจ๊ง ก็ต้องเลิกแล้วย้ายทำเล หรือทำธุรกิจที่เหมาะกับทำเลแถวๆนั้น ไม่ควรจะยึดติดว่า เป็นที่บรรพบุรุษเอย ที่ที่เราเติบโตมาบ้าง ขอถามว่าถ้าคุณขายของในทำเลไม่ดีคุณยังอยากจะขายอยู่ตรงนั้นมั้ย การเช่าที่ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะครับ ลองดูสยามสแควก็ได้ มีร้านค้าหมุนเวียนกันไม่รู้เท่าไหร่ ที่จุดเดียวกันทำไมบางธุรกิจทำสำเร็จบางธุรกิจทำแล้วเจ๊ง ผู้เช่าที่ทำเจ๊งก็สามารถย้ายไปทำเลอื่นได้ทันทีไม่เหมือนกับมีเป็นที่ของตัวเองอาจจะทำให้ตัดสินใจย้ายยาก ชาวนาบางคนมีที่น้อย แน่นอนการทำธุรกิจมันจะต้องมีจุด Break Even หรือ จุดคุ้มทุน ชาวนาบางคนมีที่ 4-5 ไร่ แล้วบอกว่าจน แน่นอนอยู่แล้วเพราะที่4-5ไร่ ผลผลิตไม่เพียงพอที่จะเลยจุดคุ้มทุน เทียบเหมือนกับ ร้านอาหาร มี โต็ะแค่ 2 ตัว คิดว่าร้านนี้จะอยู่รอดมั้ยละครับ ชาวนาที่ผมรู้จักมีฐานะเขามีที่นา 100 กว่าไร่นะครับ ดังนั้นผมมองว่าจำนวนพื้นที่นาก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน เมื่อก่อนเห็นชาวนามีที่เยอะๆแต่พอแบ่งลูกหลานก็เลยเหลือกันคนละไม่กี่ไร่ เช่นมีที่ 100 ไร่ มี ลูก 5 คน ได้คนละ 20 ไร่ ถ้าไม่ขยายพื้นที่ทำนาก็มีแต่จนลงแหละครับ ธุรกิจอื่นๆก็เหมือนกัน จนลงเหมือนกัน ถ้าคนเราไม่รู้จักขยายธุรกิจ เพราะคุณยังมีรายได้เท่าเดิมแต่มีคนแบ่งกันใช้มากขึ้น ปัญหาต่างๆในธุรกิจอื่นก็มีเหมือนกันแต่ทำมัยชาวนาได้รับการช่วยเหลือแต่ธุรกิจอื่นๆไม่ได้ ผมคิดว่าคนเราถูกสื่อและแบบเรียนฝังหัวเกินไปหรือเปล่าว่าชาวนาจน หรือเป็นเพราะข้าราชการ สร้างภาพเพื่อให้ได้ งบประมาณ แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 53 17:26:59 จากคุณ : Mr.Rope เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 17:16:07

ความคิดเห็นที่ 9   #7 เห็นด้วยนะครับ ถ้าปีนึงทำงาน21วัน จากคุณ : ก เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 17:21:54 A:110.49.15.23 X: TicketID:264403

ความคิดเห็นที่ 10 ขอมองชาวนา ด้วยมุมมองคนทำธุรกิจ     งั้นผมลองตอบแบบลูกชาวนา และปัจจุบันทำนาเป็นอาชีพรอง   วันนี้เป็นวันชาวนาไทย เห็นข่าวผ่านสื่อ ออกมา ดูเหมือน สื่อจะสร้างภาพว่า ชาวนาลำบาก เป็นกระดูกสันหลังของชาติ เราต้องสำนึกบุญคุณชาวนาซึ่ง เป็นผู้ผลิตข้าวให้คนไทยเราได้กิน ผมมองว่ามันเป็นเรื่องอดีต ตกยุคแล้ว ปัจจุบันชาวนาก็มีสิ่งอำนวนความสะดวกมากมาย เช่น เครื่องสูบน้ำ รถไถนา รถดำนา รถเกี่ยวข้าว จะว่าลำบากก็คงไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนตัวผมคิดว่า ###  ส่วนมากที่เห็นวิ่งกันอยู่ เป็นรถของนายทุนทั้งนั้นครับ ไม่ใช่รถชาวนา ราคาค่าจ้างก็แสนแพงด้วย --ไถไร่ละ 200 x 3 รอบ = 600 บาท/ไร่ --สูบน้ำชั่วโมงละ 200 บาท --จ้างดำนา วันละ 250 บาท/คน --รถหรือคนเกี่ยวข้าว ไร่ละ 600 บาท --จ้างสีเป็นข้าวเปลือก ที่ลานข้าว กระสอบละ 15 บาท 1. ชาวนาเป็นอาชีพที่ ผลิตสินค้ามีราคาขั้นต่ำรองรับ ไม่ต้องเก็บ stock ดังนั้นชาวนามีหน้าที่คือ ลดต้นทุนให้ต่ำกว่า ราคาขาย ไม่ต้องคิดคำนวนการตั้งราคา ไม่ต้องสนใจ คู่แข่ง ผลผลิตมีเท่าใหร่ปล่อยขายได้หมด ไม่มีต้นทุนการเก็บรักษา ธุรกิจถ้าคุณผลิตสินค้า คุณต้องมี โกดัง เพื่อเก็บสินค้ารอการขาย ชาวนาไม่ต้อง ผลิตเสร็จขายหมดเลย คุณจะขายสินค้าต้องมาดูราคาตลาด ดูคู่แข่งขายเท่าไหร่ เราจะขายแพงไปมั้ย ### ไม่รีบขายก็ไม่ได้ เพราะต้องเอาเงินไปใช้หนี้ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่ารถไถ รถเกี่ยว รถสี อื่นๆสารพัดฯ 2. ชาวนาเป็นอาชีพที่ เครดิตดี การทำธุรกิจถ้าคุณไม่เขียนโครงการดีๆ โปรเจคที่มีอนาคต ให้ธนาคาร ต่อมีที่ดินไปค้ำ คุณก็ไม่สามารถกู้ได้ แต่ชาวนาทำได้  ทำธุรกิจซื้อของเงินเชื่อหรือเครดิต กว่าคู่ค้าจะปล่อยให้ ดูแล้วดูอีกบางทีก็ต้องซื้อเงินสดไปก่อนจนไว้ใจถึงจะซื้อเครดิตได้ แต่ชาวนาทำได้ ### ชาวนาเกือบ 100% ใช้เอกสารที่ดินในการค้ำประกันสินเชื่อครับ ไปถามดูได้เลยครับ ในแต่ละหมู่บ้านแทบไม่มีโฉนดตัวจริงสักคน 3. ชาวนาเป็นอาชีพที่ มีอัตราผลตอบแทนต่อชั่วโมงสูงมาก (เกือบ 200 บาทต่อ ชั่วโมง) ปกติการทำนาจะมีขั้นตอน คือ ไถนา ดำนา ใส่ปุ๋ย เก็บเกี่ยว ถ้าทำนาปี  ถ้ามีที่นา 15 ไร่ ไถนาใช้เวลา 5-6 วันโดย ดำนา ใช้เวลาทำงานประมาณ 2-3 วัน เก็บเกี่ยวทำงาน 1- 3 วัน ดูแลรักษาต้นข้าว 2-3 วันเดินตรวจที ครั้งละ 2-3 ชั่วโมง ใส่ปุ๋ย เมือ่ข้าวใกล้ออกรวง อีก 3-4วัน เบ็ดเสร็จ ชาวนาปลูกข้าว 1 ครั้ง ทำงานประมาณ 168 ชั่วโมง หนึ่งปี วันทำงานไม่ถึง 30 วัน ผลตอบแทน ตามข้อมูลในโทรทัศน์ 2000 บาทต่อไร่ หลังหักค่าใช้จ่าย ดังนั้น 15 ไร่ได้ 30000 บาท เท่ากับว่า ชาวนามีค่าแรงชั่วโมงละ 178 บาท ###ถ้าจะอธิบายกันจริงๆคงต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเข้าใจ คงต้องบอกว่าชาวนาตัวจริงเท่านั้นจึงจะเข้าใจ ว่ามันลำบากขนาดไหน และต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดกว่าจะเห็นรวงข้าวสีเหลืองเต็มนา 4.ชาวนาเป็นอาชีพที่ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าชาวนาจะมีผลผลิตมากแค่ไหน รายได้สูงเท่าใหร่ ไม่เคยมีสรรพากรมาตรวจ แต่ถ้าคุณทำร้านอาหาร ร้านกาแฟ บางทียังมีคนมานับจานแล้วประเมินรายได้คุณ หรือคุณเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างสรรพากรก็ยังส่งจดหมายมาตามไปเสียภาษี ### เสียสิครับ เสียทุกคนด้วย ไปถามชาวนาดูสิครับ อย่างน้อยก็ภาษีบำรุงท้องที่ครับ มีเก็บซ้ำซ้อนด้วยนะ ทั้ง อบต ทั้งเทศบาล แต่ก็ยินดีจ่าย กลัวท่านไม่มีโบนัสประจำปีกันครับ 5.ชาวนาเป็นอาชีพที่เสียงดัง สามารถบอกเรื่องเดือดร้อน ผ่านสื่อได้เป็นประจำ ถ้าฝนแล้งก็ออกมาโวยขอฝนหลวง ทั้งๆที่ฝนมีผลกระทบต่ออาชีพอื่นมากมาย เช่น ร้านอาหารแผงลอย วันไหนฝนตกแทบจะไม่มีลูกค้าเลย วินมอเตอร์ไซด์ หมดสิทธ์มีลูกค้า แต่ไม่มีสิทธ์โวย ### เขาไม่ได้โวยหรอกครับ ทุกคนมีหน้าที่ของตนเองครับ เพราะมีกระทรวงกรม กอง ต่างๆที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ก็เลยต้องว่ากันไป อีกอย่างผลกระทบมันมีมากกว่าที่คิดครับ เปรียบเทียบกันไม่ได้สักนิดครับ สำหรับผมและครอบครัวทั้ง 6 คนแล้ว เราไม่เคยเรียกร้องอะไรครับ มีที่นา 15 ไร่ ลงทุนปีละประมาณ 20000 ส่วนมากก็ยืม ธกส. พอขายข้าวก็ใช้หนี้ ธกส.และหนี้อื่นๆประมาณ 25000 แต่ยังมีข้าวเหลือกินอีกทั้งปี ส่วนประเด็นว่า ชาวนาเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไร คือมองไม่ออกจริงเหรอครับ คืองี้ครับชาวนาส่วนใหญ่ ก็คือ คนบ้านนอก ตอนไม่ได้ทำนาก็เข้ามาทำงานในเมืองไงครับ เหลือแค่คนแก่กับเด็กๆกันซะส่วนใหญ่ แล้วก็วัวหรือควายอีก 3 ตัว ตื่นตอนเช้าพอทำกับข้าวให้หลานกิน ขับรถไปส่งโรงเรียน ก็กลับมาเอาวัวออกไปเลี้ยง ตอนบ่ายไปรับหลานกลับมาบ้าน แล้วก็ไปเอาวัวมาเก็บ ทำหน้าที่วนเวียนอยู่แบบนี้ครับ จากคุณ : prisont เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 22:00:06

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้ารัฐแค่... ทำชลประทานดีๆ ให้ชาวนา  (ไม่ต้องแย่งน้ำกับโรงงานอุตสาหกรรมเหมือนที่อยุธยา หรือแ้ล้งแบบไม่มีใครเหลียวแลแบบที่ศรีสะเกษ) ส่งเสริมความรู้การสร้างปุ๋ยเอง และกำหนดราคากลางของปุ๋ย ส่งเสริมการเปิดตลาดข้าวให้ชาวนาแต่ละท้องที่  (แบบจัดงานประกวดพันธุ์ข้าว  หรือเปิดเป็นงานแฟร์ให้พ่อค้าคนกลางจากหลายๆ ที่มารับซื้อข้้าว) ชาวนาก็คงไม่แย่อย่างทุกวันนี้  แค่ปัจจัยเรื่องน้ำที่จะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์  รัฐยังทำได้ไม่ดีเลย  ดินไม่ดี  น้ำไม่ดี  จะเอาปัญญาอะไรมาทำปุ๋ยเอง  ต่อให้ประกันราคาแต่ของคุณภาพไม่ดี  จะเอาอะไรไปต่อรองราคากับพ่อค้าล่ะ นี่ยังไม่นับปัจจัยจากอิทธิพลเถื่อนของนักการเมืองที่รวยจากข้าวในท้องถิ่นอีก แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 09:17:12 จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 09:16:33

ความคิดเห็นที่ 12 เอาไว้รู้จริงที่ไม่ใช่แค่ดูมาจากโทรทัศน์หรือสารคดี... แล้วค่อยมาเขียนดีกว่ามั๊ย คุณ จขกท. จากคุณ : แอ๊ปเปิ้ลป่า เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 13:01:43

ความคิดเห็นที่ 13   คุณ Mr.Rope ครับ ชาวนาไม่ได้มีฐานะดีพอที่จะซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกทุกคนนะครับ ที่คุณ Mr.Rope หมายถึง คือ กลุ่มคนที่เป็น Landlord มีที่ดินเยอะสามารถซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกมาช่วยทำนาได้ และที่สำคัญไม่ต้องลงมือทำนาเองด้วย ผมว่าคุณ Mr.Rope ควรทำความเข้าใจใหม่ เพราะที่คุณเข้าใจมันเป็นส่วนน้อยครับ จากคุณ : Trequartista (Trequartista) เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 13:39:01

ความคิดเห็นที่ 14   ชาวนารวยๆมีถมไป จากคุณ : ชาเขียวเข้มๆ เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 14:08:01

ความคิดเห็นที่ 15   อืม เป็นการมองจากหลายมุม ผมคนหนึึ่งหล่ะลูกชาวนา ผันตัวเองมาเป็นลูกจ้างรัฐ จริงๆ ชาวนามีทั้งแบบจนและแบบรวย เหมือนการทำธุรกิจ คนที่คิดได้ลดต้นทุนเป็นก็อยู่ได้ไม่จน ส่วนคนที่สักแต่ว่าทำนาเป็นแต่คิดไม่เป็น(เช่น ลดต้นทุนไม่เป็นจ้างอย่างเดียว ซื้อปุ๋ย ยา เป็นต้น )ไม่เคยเปรียบเทียบผลขาดทุน-กำไร ก็จะจน ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น แล้วจึงจน และแก้ปัญหาไม่ตก ซึ่งจริงๆแล้วการแก้ก็ไม่ยาก นั้นก็คือ การทำเกษตรแบบผสมผสาร และเกษตรพอเพียง ที่พ่อหลวงท่านแนะนำแนวทางไว้ ถ้าชาวนาทุกคนทำตามอย่างเคร่งครัด ย้ำ (ไม่ใช้ผักชี รอการส่งเสริม พอไม่ส่งเสริมแล้วเลิก) ไม่เกิน 3 ปีลืมตาอ้าปากได้แน่นอน  จากประสบการณ์ หมู่บ้านผม มีคนทำเกษตรแบบผสมผสาร แค่ 2 ราย ทั้งหมู่บ้าน 1 ในนั้นคือครอบครัวพ่อผมเอง ที่เหลือไม่ทำกันเลย ถาม? เขาทำนาแบบไหน  ตอบ ทำนาปีละครั้ง จ้างคนมาดำนา จ้างรถไถ ซื้อปุ๋ย ยา จ้างเกี่ยวข้าว เสร็จจากนา ก็ไปทำงานรับจ้าง ที่อื่น(กทม พัทยา เกาะสมุย อื่นๆ) และรายได้ก็ซื้อผัก-ปลากิน ทำนารอบใหม่ ก็กู้ ธกส. อยู่อย่างนี้ ก็จนหมุนเวียนกันต่อไป ส่วนพ่อผม ทำนา จ้างดำนา (เพราะแก่แล้ว) ปุ๋ยไม่ต้องซื้อใช้ปุ๋ยคอก ยาไม่ฉีดปล่อยตามธรรมชาติ ปลูกผักกินเอง เลี้ยงปลา-ไก่ รายได้ขายข้าว -ผัก-ปลา-ไก่ ปลูกแตงหน้าฤดูหลังกับเกี่ยวขาย มีเงินเก็บ ซื้อที่นาปีละ 3-4ไร่เก็บไว้ให้ลูกหลาน... จากคุณ : preech25 เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 15:56:41

ความคิดเห็นที่ 16 ^ ^ ตาม คคห.ที่ 15 เลยครับ ยืนยัน ตาผมก็เป็นชาวนา และญาติผมหลายคนก็ยังเป็นชาวนา อยู่ ซึ่งทุกคน ฐานะก็ดีนะครับ อาจจะรวยกว่าผมด้วยซ้ำ ชีวิตมีความสุข มีกินมีใช้ใน สวนในไร่ที่ตนทำ ซึ่งมุมมองของผม การจะเป็นชาวนาที่ไม่จนนั้น (อยู่รอดด้วยตนเอง ไม่มีหนี้) บางทีเราอาจจะไม่ได้ปลูกแค่ข้าวนะครับ แต่เราต้องรู้จักผสมผสาน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือความรู้ครับ ผมว่าภาครัฐอาจจะยังกระจายความรู้ลงสู้ชาวบ้านไม่เพียงพอ หรือเหมือนจะกระจาย แต่ไม่เข้าถึงหัวใจชาวบ้าน ทุกวันนี้แม้ผมจะไม่ได้เป็นชาวนาเหมือนญาติๆ หรือตาผม แต่ผมก็ได้ความรู้จากเขา มาบ้าง สำหรับเกษตรกรที่มีที่ดินขนาดเล็ก สามารถศึกษา ข้อมูลที่พ่อหลวงของเราทรงรวบรวมข้อมูลไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำและที่ดิน ได้ซึ่งทรงให้ชื่อว่า “ทฤษฎีใหม่” ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น การจัดสรรที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน “การผลิตเป็นการผลิตให้พึ่งตนเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ ค่อยเป็นค่อยไปตามกำลัง ให้พอมีกินไม่อดอยาก” (พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2537) หากชาวนาที่มีที่ดินของตน ได้รับข้อมูล หรือเข้าใจ แค่ในขั้นต้นนี้รับรองว่าไม่จนแน่ครับ หลายคนชอบบ่นกับผมว่า ทฤษฏีต่างๆนี้ทำได้จริงเหรอ หรือหลายคนปรามาสว่าเป็นแค่ทฤษฏี ไม่มีทางทำได้จริงหรอก ซึ่งตรงนี้ผมยืนยันเลยว่าทำได้จริงและผมเห็นตัวอย่างมาแล้ว (แม้ผมไม่เก่งด้านนี้เท่าไร) หากใครสนใจข้อมูลลองติดต่อ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน ดูนะครับ เจ้าหน้าที่ข้างในนิสัยน่ารักครับ ผมเคยคุยมาแล้ว ^ ^ สรุป อาชีพ ชาวนา หรือเกษตรกรทั่วไป ก็เหมือนคนทำธุรกิจทั่วไป ใช่ว่าทุกคนจะจนจะรวยเหมือนกันไปทุกคน แต่ถ้าคนไหนมีพื้นฐานหรือองค์ความรู้ดีกว่าก็มีสิทธิ์พึ่งพาตนเองได้มากกว่าก็แค่นั้น ปล.รู้สึกผมจะนอกเรื่องซะไกล ^^" แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 53 10:07:40 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 23:58:27 จากคุณ : ม้าดีกำลังเยี่ยม เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 23:51:17

ความคิดเห็นที่ 17 การกู้ยืมเงินมีในทุกธุรกิจ แหละครับ แต่เราต้องดูว่าดอกเบี้ยจ่ายนั้นคุ้มที่เราลงทุนหรือเปล่า ในห้องสีลมนี้มีคนให้คำเตือนอยู่เสมอว่า อย่ากู้จากบัตรเครดิตเพราะดอกเบี้ยแพง 18-20%  ดอกเบี้ยจ่ายจะกินกำไรหมด เปรียบเหมือนกับที่ชาวนาบอกว่าซื้อปุ๋ย ยาฆ่าแมลงแพง ก็เพราะโดนบวกดอกเบี้ยมหาโหดเข้าไป เลยไม่เหลืออะไรเลย ข้อนี้ทุกธุรกิจโดนหมดแหละครับ จ่ายดอกเบี้ยแพงย่อมไม่เหลือกำไร การที่ต้องตื่นเช้า ตีสี่ ตีห้า มาทำงานในนา ปัจจุบัน โดยเฉพาะคนใช้ชีวิตในกรุงเทพ ก็ตื่นเวลานี้เหมือนกันผมเลยมองว่าไม่ลำบากอะไรกับข้อนี้ สำหรับเรื่องภาษีบำรุงท้องที่ ธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือ ร้านค้าโดนภาษีสูงกว่าเกษตรกรรม หลายร้อยเปอร์เซนต์ นะครับ ที่หนึ่งไร่เนี่ยโดนภาษีบำรุงท้องที่ เกือบหมื่นบาท ขณะที่ทำนาเสีย 20-30 บาท นี่เป็นต้นทุนแฝงที่พ่อค้าโดนนะครับ แล้วเขาก็เลยบวกเป็นต้นทุนขายของให้ชาวนาอีกที เรื่องเครื่องมือ อุปกรณ์ในการผลิต(ทำนา) ทางธุรกิจถือเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขัี่นที่สร้างข้อได้เปรียบ ระหว่างบริษัท บริษัทที่มีเครืองมือทันสมัยกว่าก็จะสามารถลดต้นทุนได้มากกว่า(ได้กำไรเพิ่ม) ผลิตของมีคุณภาพมากกว่า(ขายได้ราคากว่า) ของเสียน้อยกว่า คนที่ซื้ออุปกรณ์เหล่านี้เขาก็มองในระยะยาวนะครับ  สิ่งที่ได้จะคืนทุนไม่นานหลังจากนั้นกำไรล้วนๆ จากคุณ : Mr.Rope เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 00:12:35