ความคิดเห็นที่ 1 การทำงานกับ Modern Trade เค้าจะเรียกค่าใช้จ่ายหลายอย่างครับ 1. Margin : เค้าจะบอก Margin (กำไรจากราคาขาย) ที่เค้าต้องการครับ และทางเจ้าของสินค้าต้องแจ้งเค้าครับว่าอยากให้เค้าขายที่เท่าไหร่ เช่น เราอยากให้เค้าขายที่ 40 บาท ซึ่งทางห้างบอกว่า Margin ที่เค้าต้องการคือ 40% แสดงว่าเค้าต้องการให้เราขายเค้าที่ 24 บาท เราก็ต้องดูว่าเรารับได้มั้ย ถ้าเราไม่สามารถปล่อยราคาตำ่กว่า 30 บาทได้ เราก็ต้องคุยกับเค้าว่าให้เค้าขายที่ 50 บาท แต่คุณก็ต้องวิเคราะห์แล้วว่าที่ราคา 50 บาทนั้น คุณจะสามารถสู้กับคู่แข่งได้หรือไม่ เพราะถ้าคุณตั้งราคาสูงไป แล้วไม่เกิดยอดขาย เค้าก็จะเอาคุณออกจากห้างเค้าทันที หรือถ้าคุณยืนยันที่จะขายเค้า 30 บาท แล้วต่อรองให้เค้าลด margin ลงได้และขายที่ 40 บาทได้ ก็จะดีสำหรับคุณเอง แต่ตามประสบการณ์ของผม ทางห้างไม่ยอมลด margin ตัวเองง่ายๆเพราะเค้ามี KPI บังคับอยู่ 2. ค่าโฆษณาต่างๆ : ห้างที่คุณเอ่ยถึงทั้งหมดจะมีบังคับให้คุณลง mail รายเดือนกับเค้าแน่ๆ จะโดนให้ลงมากน้อยแล้วแต่การต่อรอง ซึ่งโดยทั่วไปจะโดนกันเกือบทุกเดือนอยู่แล้ว คุณต้องถามเค้าครับว่าการลง mail ครั้งนึงเสียกี่บาท แล้วต้องลงกี่ครั้งต่อปี รวมเป็นเงินเท่าไหร่ 3. ค่า support ต่างๆ เช่น rebate, anniversary, PC, DC (cross dock) , Store Renovation ฯลฯ ซึ่งมีมากมายแล้วแต่ห้าง คุณต้องถามให้หมดครับว่าปีนึงต้องจ่ายค่าพวกนี้กี่บาท ซึ่งโดยส่วนใหญ่เค้าจะคิดเป็น % จากยอดซึ้อ แล้วหักเป็นรายเดือนไป โดยเค้าจะหักบัญชีตอนเค้าโอนเงินค่าสินค้าให้คุณเลย คุณต้องมาคอยตรวจเช็คด้วยตัวเองอีกที 4. โปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งทางห้างเค้าจะบังคับให้คุณลงโปรโมชั่น เช่น ลด 30% , ซึ้อ 1 แถม 1 ฯลฯ ซึ่งแต่ละห้างจะมี theme พวกนี้ตลอด เค้าจะบังคับให้คุณร่วมบ้างในบางครั้ง คุณต้องเตรียมงบประมาณส่วนนี้ไว้ด้วย 5. list in fee : อันนี้โดนแหงๆ เค้าจะคิดเป็นต่อ SKU คุณก็ต้องดูเอาว่าคุณรับไหวหรือไม่ 6. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าส่งของช้า ค่าสินค้าขาดสต๊อค เรื่องพวกนี้คุณต้องต่อรองให้เสร็จ ที่สำคัญและห้ามพลาดเด็ดขาด คือ อย่าเพิ่งตกลงอะไรหรือบอกราคาขายทั้งสิ้น จนกว่าคุณจะรู้ทั้งหมดว่าคุณต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง แล้วค่อยนำค่าใช้จ่ายมาคำนวณแล้วบวกลงไปในราคาสินค้า แล้วค่อยนำเสนอราคาสินค้า ไม่อย่างนั้นคุณจะขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะคุณจะโดนค่านู่นค่านี่ทั้งปีทั้งชาติ และจะไปขอขึ้นราคาก็ยากแสนยาก แถมตอนขึ้นราคาต้องชดเชยสต๊อคเก่าของเค้าด้วย มีอีกเต็มไปหมดครับ ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : 7 minutes later เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 13:31:24

ความคิดเห็นที่ 2   คุณ 7 minutes later ขอบคุณนะครับ จากคุณ : theeradol (theeradol) เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 16:31:21

ความคิดเห็นที่ 3   อย่างที่คุณ 7 minutes later บอกล่ะครับ ส่วนใหญ่ ฝากขายในห้างต้องวางโครงสร้างราคาดีๆ เผื่อต่อรอง บางทีต้องวางเผื่อ 3 ปีครับ G.P ปรับขึ้นตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น หนักๆ เข้า ถ้าขายดี ทางห้างทำ House Brand มาแข่งอีกด้วย แล้วก็เบียดสินค้าเราออกไปอีกต่างหาก ถ้าจะตั้งราคาแบบง่ายๆ หน่อยคือ ต้นทุนสินค้า x 5 เท่า จะเป็นราคาขายปลีกที่น่าจะพอเข้าห้างได้ครับ จากคุณ : wichetcity เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 17:03:40

ความคิดเห็นที่ 4 ขายทางห้างพวกนี้มีแต่ ขาดทุน ไม่เติบโต ดังนั้น จึงมีแต่ของเก่าๆ คุณภาพไม่ดี มีขายออยู่ในห้าง จากคุณ : kamenriderkiva เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 18:24:53

ความคิดเห็นที่ 5   ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ จากคุณ : theeradol (theeradol) เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 09:11:09

ความคิดเห็นที่ 6 อย่าเพิ่งท้อครับ คือฟังข้อมูลไว้เพื่อการพิจารณานะครับ ไม่แน่ สินค้าของคุณอาจจะขายดี และคุณได้กำไรก็ได้ แต่อยากให้รวบรวมข้อมูล แล้วดูว่าพอเราแบ่งให้ห้างไปแล้วเราเหลือกำไรเพียงพอตามที่เราต้องการหรือไม่ หากเพียงพอ ก็ควรทำครับ แต่ถ้าไม่ไหวก็อย่าเสี่ยง หาช่องทางอื่นดีกว่า แค่นั้นเองครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลกำไร คห.4 ที่ว่าในห้างมีแต่ของไม่ดี ผมว่าก็ไม่เสมอไปนะครับ ขนมนมเนยต่างๆก็ล้วนเป็นของใหม่ทั้งสิ้น เสื้อผ้าก็ของใหม่ ก็มีหลายเจ้านะครับที่อยู่ได้ เพราะสินค้าเค้าทำราคาได้ แต่หลายๆสินค้าก็สู้ไม่ไหวแล้วต้องถอนตัวออกไป อย่าไปมองในแง่ร้ายขนาดนั้นครับ จากคุณ : 7 minutes later เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 10:02:36