|  | 
				
					|  ความคิดเห็นที่  2 |   
ขอยืนยันครับว่าเรื่องปกติ อย่าคิดมากเลยครับ สำหรับพนักงานที่เข้าใหม่แบบไม่ได้ขึ้นมาจาก teller หรือย้ายมาจากแบงค์อื่น
 ทำไปเรื่อยๆ ก็คล่อง
 แสดงว่า จขกท ต้องเก่งระดับหนึ่่ง หรือจบโท มาแน่นอน
 ผมไม่รู้ว่า จขกท ทำสินเชื่อระดับไหนครับ แต่ของผมเคยทำ sme ยอดขาย 400-800 ล้านต่อปี
 
 ผมจบตรี... ตู้มเดียวลงนักวิเคราะห์สินเชื่อเลย
 ผมเข้าไปสามเดือนแรกเจอแบบนี้ท้อไปเลย
 แต่พอผ่านไปซัก 4 เดือนเดี๋ยวจะเริ่มคล่องล่ะ (เำพราะเผอิญ พี่ในทีมออก 2 คนพร้อมกัน ผมต้องรับหน้าทุกอย่าง)
 
 พี่ที่ทำมาก่อนหน้า 2 เดือน เขาเคยอยู่แบงค์อื่นมาก่อนหรือเปล่าครับ เพราะทักษะพวกนี้มันเป็นมาตรฐานกันไปหมด ย้ายแบงค์ก็เอาไปใช้ได้เหมือนกัน
 
 เดือนแรกโดนให้ฉายเดี่ยวปล่อย o/d 3 ล้าน
 แทบร้องไห้ เพราะไม่รู้ทำไง เขาให้เวลา 5 วันส่งเครดิต
 ก็อาศัยอ่านๆ เอาจากแบบฟอร์มเดิม ว่าเขาเคยเขียนอย่่างไร
 ก็พยายามเขียนไปแนวๆ เดียวกัน
 แต่จะยากหน่อยตรง Source & Use ที่ต้องมาปรับเปลี่ยนให้พอดีกับ o/d ที่จะให้
 และที่สำคัญข้อมูลต้องสอดคล้องกับ ฟอร์มเครดิตเก่า หรือถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจะต้องมีเหตุผลบอกกำกับเสมอ
 
 เอกสารในแฟ้มมักแบ่งด้วยกระดาษคั่นอยู่แล้วครับของที่ผมเคยเจอจะแบ่งเป็น งบการเงิน, ข้อมูลผู้ขอเครดิต, ฟอร์มเครดิต, รายละเอียดหลักประกัน, เอกสารอื่นๆ ลองศึกษาดูดีๆ ครับ ถ้าถามพี่ๆ กี่ทีๆ ก็ลืม ผมแนะนำให้เอาฟอร์มเปล่ามาเก็บไว้กับตัว แล้วเขียนว่าใบนี้ใช้ทำอะไรๆ ครับ
 
 ตอนผมทำ ผมจะมีแฟ้มส่วนตัวอยู่ 2 เล่ม สำหรับใส่พวกตัวอย่างบันทึกต่างๆ แบบฟอร์มต่างๆ และเงื่อนไขนโยบายเครดิต, อำนาจการพิจารณา ฯลฯ ลองทำดูครับ ไม่เสียหาย ทำให้เรามีข้อมูลแน่น เรียกใช้ได้เสมอ
 
 หัวใจของงานเครดิตมีแค่บอกให้ได้ว่าทำไมต้องให้วงเงินประเภทนั้นกับลูกค้า
 และลูกค้าจะสามารถชำระคืนได้อย่างไร และมีหลักประกันอะไรให้ผู้พิจารณาเครดิตอุ่นใจ
 อีกทั้งข้อมูลสนับสนุนเครดิตต้องชัดเจน ตรวจสอบได้นะครับ
 และที่สำคัญข้อมูลในฟอร์มเครดิต ต้องสอดคล้องกันหมด เช่น บอกว่าลูกค้ามีเครดิตเทอม 30 วัน แต่ projection ลูกค้ามีเครดิตเทอม 15 วัน ถ้าไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าทำไมถึงเปลี่ยน อันนี้มีโอกาสโดนปฏิเสธจากผู้พิจารณาเครดิตได้ง่ายๆ เลย
 
 ตอนแรกผมอาศัยลูกตื้อ
 ถามไปซะทั่ว จนเขารำคาญ แต่ก็สอนให้นะครับ
 หลายๆ อย่าง ยิ่งพวกระบบดูข้อมูลต่างๆ
 (จนผ่านไป 9 เดือน มีแต่คนมาถามผมว่ามันทำยังไง)
 
 อาศัยความกล้าและความมั่นใจครับ
 
 วงเงินมันก็มีอยู่แค่ 2 ประเภท เงินหมุนเวียน กับเงินกู้
 
 เงินหมุนเวียน ที่มีกันทุกแบงค์ ก็
 ลูกค้าส่วนใหญ่ก็อยากได้ O/D กับ P/N นี่แหละ
 O/D คือ เบิกเกินบัญชี (อันนี้ควบคุมวัตถุประสงค์การใช้เงินไม่ได้ แบงค์ผมไม่ค่อยมีนโยบายปล่อยแล้ว)
 P/N ก็คือ ตั๋วสัญญาใ้ช้เงิน (มันก็เหมือนกับ O/D นี่แหละ แต่ต้องมาต่อตั๋วทุก 1 เดือนบ้าง หรือทุก 3 เดือนบ้าง เพื่อเป็นหลักประกันว่าลูกค้าเอาเงินไปใช้ถูกวัตถุประสงค์หรือเปล่า เขาจึงกำหนดเงื่อนไขบ้างว่า ในการต่อตั๋วทุกครั้งให้นำหลักฐานการซื้อสต๊อคสินค้ามาประกอบการต่อตั๋วทุกครั้ง บ้าง
 L/C ก็เหมือนตั๋ว P/N แต่เป็นวงเงินสำหรับต่างประเทศ
 
 วงเงินกู้..
 ถ้าปล่อยเงินกู้ ก็ต้องทำ Projection ว่าสามารถผ่อนชำระคืนได้ไหม
 (จริงๆ W/C ที่มีดอกเยอะๆ ก็ควรทำ Projection ส่งไปครับ จะเพิ่มโอกาสผ่านการพิจารณามาก)
 
 หนังสือค้ำประกัน หรือ L/G, L/I อันนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมากับหน่วยงานราชการ หรือ พวกปั๊มน้ำมันค้ำ ปตท. อันนี้เราจะได้รายได้จากค่าธรรมเนียม
 
 ข้อมูลที่ขอจากลูกค้า
 .. ถ้าเขาขอ W/C (วงเงินหมุนเวียน)
 ก็ขอข้อมูลปัจจุบัน สต๊อคสินค้า, เจ้าหนี้, ลูกหนี้ , เครดิตเทอมลูกหนี้, เครดิตเทอมเจ้าหนี้ งบการเงิน 3 ปีย้อนหลัง(ถ้ามีในแฟ้นแล้วอย่าไปขอนะครับ เดี๋ยวโดนด่า) Statment ย้อนหลัง 6 เดือน.. แบงค์ตัวเองไม่ต้องขอก็ได้ เพราะเรียกดูได้ ให้ขอแบงค์อื่นแล้วเอามาเทียบกับในงบที่ส่งมา ว่าสอดคล้องกันไหมมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง (เพือที่จะหาจุด ว่าสาเหตที่ลูกค้าต้องการวงเงินเพิ่มนี่มาจากไหน)
 
 อย่าลืมให้ลูกค้าเซ็นยินยอมเช็คบูโรด้วย... ส่วนใหญ่ก็เช็คกรรมการผู้มีัอำนาจลงนาม กับบริษัท, บริษัทในเครือ และผู้ถือหุ้นใหญ่ๆ
 
 เวลาดูธุรกิจ จะมีบางประเภทที่ยอดขายเป็นแบบฤดูกาล อาจต้องขอ Statment ทั้งปี 2-3 ปี ติดกัน เพื่อง่ายต่อการดูการเปลี่ยนแปลง
 
 ลองร่าง source & Use ดูครับ ต้องสมดุลกัน .. อาจต่างกันเล็กน้อยได้
 ตามสมการสำหรับ W/C
 Source Use
 ลูกหนี้ + สต๊อคสินค้า = เจ้าหนี้ + วงเงินหมุนเวียนเดิมที่ีมีอยู่ + ที่จะให้ในครั้งนี้
 
 สำหรับ Loan
 เงินลงทุนโครงการนี้ = วงเงินกู้ที่ขอ + ส่วนลงทุนของกิจการ
 
 
 ส่วนงบ ก็วิเคราะห์ได้บ้าง... ถ้าเป็น SME อาจต้องของบภายใน เพราะงบสรรพากรไม่สะท้อน (สมัยผมมีน้อยรายที่งบสรรพากรสามารถนำมาวิเคราะห์ได้เลย)
 ก็มาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสองสามปีว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ อย่างไร ใช้ Trend analysis กับ common size เอา
 ว่ายอดขายเติบโตกี่ % มีการเปลี่ยนแปลงต้นทุนเพิ่มขึ้นกี่ % กำไรเพิ่ม/ลดกี่%
 มีวันลูกหนี้, เจ้าหนี้, สต๊อค เปลี่ยนแปลงมากไหมตลอด 3 ปี ฯลฯ
 
 อย่าลืมดู D/E ด้วย ถ้าสูงๆ ซัก 3 นี่ก็น่ากลัวจะให้เพิ่มไม่ได้ หรือได้อาจโดนกำหนดเงื่อนไขจากผู้พิจารณาเครดิต
 
 ส่วนถ้าลูกค้าขอเงินกู้
 ก็ต้องดู Project ขอแบบแปลน ขอประมาณค่าใช้จ่าย แล้วถ้าจำไม่ผิดแบงค์จะมีฝ่ายถอดแบบประเมินราคาให้
 ดูสัดส่วนการลงทุน ว่าลูกค้าลงเท่าไหร่ ขอสนับสนุนเท่าไหร่
 
 ----------- หลักประกันก็ส่งให้บริษัทประเมินราคาเข้าไปประเมิน
 แล้วก็ต้องไล่หลักประกันให้ดีนะครับ ว่ามัน cover วงเงินหรือเปล่า ถ้าได้ลองทำมันจะน่ารำคาญมาก เวลาดู ถือจำนอง, ถือการจำนองลำดับ 2 , จำนองลำดับสอง ลำดับสาม มั่วกันไปหมด
 
 ฯลฯ
 
 งานสินเชื่อเป็นงานที่เยอะ ต้องรู้ธุรกิจหลายประเภท เหนื่อย แต่สนุกครับ
 ผมก็ทิ้งไปเกือบ 3 ปี แล้ว งานสุดท้ายปล่อยร่วมกับพี่ที่ทำงาน 180 ล้านครับ
 
 หน้าที่ของผู้วิเคราะห์คือ หาความเสี่ยงและวิธีปิดความเสี่ยงครับ อยู่ไปนานๆ จะกลัว
 ไอ่นั่นก็เสี่ยง ไอ่นี่ก็เสี่ยง
 
 ปัจจุบันออกมาทำธุรกิจส่วนตัว สบายใจกว่า (เพราะหลังๆ เพื่อนร่วมงานที่มาใหม่บางคนนิสัยไม่ค่อยดี เอาเปรียบ แถมจับกลุ่มเป็นก๊กเป็นเหล่า)
 
 ขอให้จขกท. สนุกกับมันครับ
 สู้ๆ จนท.สินเชื่อมักจะเก่งๆ กันทั้งนั้น
 
 
 ทุกวันนี้ผมยังซาบซึ้งมากครับ ที่แบงค์แห่งหนึ่งเคยให้โอกาสผมได้ไปอยู่บนจุดนั้นและได้ความรู้ด้านธุรกิจมากมาย
 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 53 03:29:52
				 
				 
				
					| จากคุณ | : 
KK (KhongMing)   |  
					| เขียนเมื่อ | : 
10 ก.ค. 53 03:21:28 |  
					|  |  |  |  |