Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
อ่านสักนิดเมื่อคิดไปสัมภาษณ์งาน – VOL. 1 -รู้จักกัน  

คุยกันก่อน - ผู้เขียนตั้งใจเอาไว้นานแล้วว่าอยากเล่าปสก.เหล่านี้ให้คนอื่นฟังด้วยความบันเทิง และด้วยหวังอยากให้กำลังใจคนที่กำลังมองหางานและอยู่ในกระบวนการสัมภาษณ์งาน ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงบวกกับความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ประสงค์ที่จะมีข้อถกเถียงใด ๆ ต่อข้อวิจารณ์ใดของผู้อ่าน เมื่ออ่านแล้วก็ให้ทิ้งเนื้อหาไว้ตรงนี้ ไม่ต้องนำไปเผยแพร่ หากแต่เก็บไปเพียงข้อคิดหรือคำแนะนำที่ผู้อ่านเห็นว่าดีมีค่าควรจำ

เกี่ยวกับผู้เขียน - ผู้เขียนเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว สมาชิกที่บ้านส่วนใหญ่ทำงานสถาบันการเงิน นอกจากทางฝั่งแม่ที่บ้านทำกิจการนิดหน่อย ผู้เขียนเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ (เขาว่าอย่างนั้น) เมื่อเรียนจบ ด้วยความที่ที่บ้านพอจะมีเงินอยู่บ้าง จึงได้มีโอกาสเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศทันทีโดยยังไม่มีโอกาสได้ลองสมัครงานหรือทำงานใดๆ จะเคยก็แต่ฝึกงานสั้นบ้างยาวบ้างมาเท่านั้น

พอเรียนจบ สองปีกว่าๆ ก็เดินทางกลับประเทศอย่างรีบร้อน ไม่ได้มีภาระเร่งด่วนใด ๆ แต่เพราะคิดถึงบ้านและไม่ชอบอยู่ที่อื่น เพราะเป็นคนติดบ้านมาก กลับมาเดือนมกราคม ก็กินๆนอนๆอยู่สองเดือน ใครที่ไปอยู่หรือไปเรียนต่างประเทศมาสักช่วงหนึ่งจะรู้ว่า พอกลับมาบ้านเราแรกๆ มันจะรู้สึกแปลกๆ อย่างผู้เขียนเองนี่ พอเดินเข้าบ้านครั้งแรก รู้สึกว่า บ้านมันเตี้ยมาก อึดอัด ประตูแคบบ้าง อะไรบ้าง รู้สึกมึนๆไปหมด แต่พอสองสามอาทิตย์ความรู้สึกนี้ก็หายไป

พอเข้าเดือนที่สาม ก็เริ่มส่งใบสมัครงาน เดือนที่สี่ก็ได้เริ่มงานที่บริษัทแรก ทำงานด้านการตลาด อย่างที่ผู้เขียนเรียนจบมา
อย่างที่ได้บอกไว้ตอนต้น ว่าจุดประสงค์หลักของผู้เขียน ที่เขียนเรื่องนี้ คือเพื่อความบันเทิงผ่านทางการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง แต่ด้วยความที่เรื่องราวทั้งหมดเขียนขึ้นจากเรื่องจริง ประสบการณ์จริง เรื่องราวทั้งหมดจึงสะท้อนถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นผู้เขียนจึงยังแอบหวัง ว่าคงมีผู้อ่านบางท่าน สามารถสกัดเอาแนวคิดบางอย่างนำไปปรับใช้กับชีวิตจริงของท่าน หรือเพื่อเตรียมตัวเองให้รู้ก่อน ที่เรื่องราวต่าง ๆ จะเกิดได้..บ้าง

ที่สำคัญคือ อยากบอกให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาถ้ามันไม่น่าสนใจสำหรับคนที่จะอ่านต่อ คือผู้เขียนเน้นนำเสนอเรื่องราวของการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน ไปพบเจอกับองค์กรที่ท่านอยากทำงานด้วยเป็นครั้งแรกแต่ไม่ได้เน้นที่จะนำเสนอหลักการทำงาน หลักการคิดการบริหารงานหลังจากที่ได้เข้าไปทำแล้ว ทำอย่างไรให้เติบโต ทำงานอย่างมีความสุข อยู่ในองค์กรนั้นได้นาน ๆ เพราะประเด็นนี้มันมีรายละเอียดเกี่ยวข้องมากเกินไป ขออนุญาตใช้คำภาษาอังกฤษว่า มัน คันทระเวอเชิล (Controversial) มากเกินไป

ผู้เขียนเชื่อว่า ทุกคนมีเหตุและผลของตัวในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวัน มันก็เป็นสิ่งที่เราเจอเอง พบเอง มันต่างกาล ต่างวาระ เมื่อเรายังเด็ก หากเราตัดสินใจทำอะไรโดยไม่ได้คิดตริตรองให้ดีก่อน สังคมรอบข้างก็พร้อมให้อภัย ตัวเราเองก็ยังมีข้อแก้ตัวกับตัวเองได้ว่าเรายังอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่เมื่อเราโตขึ้น ได้เรียนมากขึ้น ได้ทำมากขึ้น เห็นมามากขึ้น อัตราส่วนระหว่างการตัดสินใจทำอะไรตามใจ กับ การคิดก่อนทำควรต้องมีการเปลี่ยนแปลง คือให้ อัตราส่วนของการคิดก่อนทำมีมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆตามอายุ แต่ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ผู้เขียนยังเชื่ออีกว่า จะให้เรามีสติคิดก่อนทำ ก่อนพูดไปซะหมด คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ไม่อย่างนั้น คนแก่คงไม่เคยคิด เคยตัดสินใจอะไรผิดเลย

กลับมาที่เรื่องราวหลักดีกว่า ผู้เขียนสัญญาว่าจะพยายามอย่างยิ่งในการเขียนเรื่องตามประเด็นหลักเป็นส่วนๆ จัดกลุ่มตามลักษณะเนื้อหา แม้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น แต่บางเรื่องมันผ่านมาได้สักพัก สักพักเดียวจริง ๆ ผู้เขียนไม่ได้มีอายุมากแต่อย่างใด ถ้าเขียนเรียงลำดับเวลา เดี๋ยวผู้เขียนเองอาจเกิดความสับสนเองแล้วก็จะพาผู้ที่พยายามอ่านให้งงไปกันใหญ่

เมื่อตอนที่ผู้เขียนเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศและเริ่มคิดจะสมัครงาน จำได้ว่ามีบริษัทเรียกไปสัมภาษณ์สองสามที่ นับว่าบริษัทเหล่านี้เป็นรุ่นแรก ๆ เลยที่ผู้เขียนได้เข้ารับการคัดเลือก ที่ใช้คำว่ารุ่นแรก ๆ เพราะ......ในรอบสัก 6-7 ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนส่งใบสมัครงาน เอาแบบที่ผ่านระบบอีเมล์ไปน่าจะไม่ต่ำกว่า แปดเก้าร้อยฉบับ ในจำนวนนี้มีแบบที่ซ้ำกันบ้าง คืออยากทำงานที่นั่นมาก ส่งไปสองสามครั้ง แต่กลุ่มนี้ไม่น่าจะเกินร้อยละสามของจำนวนฉบับที่บอกมา วอล์กอิน..น้อยมาก ส่งเอกสารทางจดหมาย....น้อยไปใหญ่ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีองค์กรหลายที่ยังรับเอกสารที่เป็นฮาร์ด ก้อปปี้อยู่นะ ก็ว่ากันไป

เริ่มเล่าจากจำนวนจดหมายที่ส่งไปสมัคร เพราะกำลังจะบอกต่อว่า ในจำนวนนั้น มีบริษัทที่เรียกตัวไปสัมภาษณ์หรือที่เค้าเรียกว่า การชอร์ทลิสต์ (Shortlist) อยู่เกือบสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขประมาณ เมื่อก่อนย้อนไปสักห้าปีที่แล้ว ผู้เขียนทำอะไรไม่เป็นระบบ ใครโทรมาตามไปสัมภาษณ์ก็จดหลังสลิปท์บัตรเครดิตบ้าง ในเศษกระดาษบ้าง ผลคือ จำไม่ได้ หรือไม่แน่ใจ บางทีโทรมาหลายเจ้า นัดล่วงหน้าสักอาทิตย์นี่ก็งงแล้ว หลายครั้งที่ต้องเทสัมภาระทั้งกระเป๋าออกมา เพราะหาโพยไม่เจอ อันนี้แย่มากๆ ผู้อ่านไม่ควรเอาแบบอย่าง เนื่องจากอาจเกิดความสับสนและอาจทำให้คุณต้องเสียโอกาสที่จะได้งานดี ๆ ที่คุณต้องการได้ ถ้าคุณไปวันผิด ไปผิดเวลา อย่าลืมว่า คุณมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้บริษัทที่คุณกำลังจะไปพบประทับใจคุณมากที่สุด

ต่อมาจึงเริ่มจดคิวในสมุดเล่มเล็ก ๆ ซึ่งใช้มาสักสี่ปีแล้ว แต่ก็ยังจดมั่วอยู่ ต้องเข้าใจว่า เวลาบริษัทเค้าติดต่อมา บางทีเรายุ่งอยู่ ขับรถบ้าง ประชุมบ้าง เดินชอปปิ้งบ้าง ก่อนเขียนเรื่องราวในครั้งนี้เลยมาลองนั่งนับ เอาเฉพาะที่ที่ติดต่อนัดคุย นับมาจนถึงเดือนที่แล้ว อยู่ที่ 142 ที่ ถ้ารวมๆก่อนหน้าจะมีสมุดจดคิว ก็น่าจะร้อยปลาย ๆ บริษัท/องค์กร

ก่อนเขียนเรื่องนี้ ตอนที่นับจำนวนครั้งที่ไปสัมภาษณ์งานมานี่ตกใจและเศร้าใจเหมือนกัน ที่ตกใจก็เพราะ...อืม..ไปมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ที่เศร้าใจคือเสียดาย....ไม่ได้เสียดายทรัพยากรณ์ แม้ว่ามันจะคิดเป็นค่าน้ำมัน ค่าที่จอดรถ ค่าทางด่วน ค่าเหนื่อย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น (Opportunity Cost) ซึ่งถ้าตีออกมาได้ก็เยอะอยู่ แต่ก็ยอมรับว่าแอบมีความรู้สึกไม่ดีบางครั้ง ที่ไปสัมภาษณ์มาแล้วไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้
ที่บอกว่าไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ไม่ใช่เพราะตอบคำถามได้ไม่ดีและสุดท้ายแล้วไม่ได้งานที่นั่นหรือจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้น แต่หมายถึงผิดหวังกับภาพรวมการสัมภาษณ์เองและรายละเอียดอื่น ๆ ถามว่ามีข้อดีไหม กับการไปสัมภาษณ์งานมาบ่อย ๆ เคยบอกตัวเองเล่น ๆ ว่า ดีนะ...ไปมาแล้วทุกตึกในย่าน CBD รู้หมด ที่จอดรถเป็นยังไง บริษัทนี้นั้นตั้งอยู่ที่ไหนยังไง ใครถามก็รู้หมด

จริง ๆ แล้วโดยส่วนตัวมองว่า เมื่อมีโอกาส ก็อย่าไปปิดมัน ผู้เขียนเคยได้ยินว่า บางคนสมัครงานไปทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากทำที่นั่นมากมาย พอเขาเรียกมาก็ไม่ไป บางทีทำนัดแล้วก็เบี้ยวนี่ยิ่งแย่ใหญ่ ผู้เขียนเองถ้ามีที่ไหนเรียกมา ถ้าไม่ได้ทำให้งานที่ทำอยู่เสียนี่พยายามจะไปให้ครบ น้อยมากที่จะแว่บเอาเวลางานปกติที่ทำอยู่ไป แต่จะพยายามทำนัดช่วงเที่ยง หลังเลิกงาน หรือหลัง ๆ จะไปคุยเสาร์อาทิตย์ไปเลย เพราะวันอื่นเค้าก็ยุ่ง เราก็ยุ่ง
ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าปิดโอกาสตัวเอง เพราะขี้เกียจ เพราะไม่อยากเดินทาง หรืออย่างพวกที่สมัครไปแล้ว พอเค้าเรียกมาก็ไม่ไป เพราะบอกตัวเองว่า ไปก็ไม่ได้อยู่ดี ทุกที่ที่เราไปเราได้ฝึกตัวเองให้กล้าพูดกับคนแปลกหน้า ให้รู้จักควบคุมอารมณ์ การนำเสนอตัวเอง ฝึกการขายไปในตัว....แต่ต้องมีจรรยาบรรณ ว่าอย่าหนีงานบ่อย

จากคุณ : นะเอย
เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 53 16:48:36 A:58.8.43.187 X: TicketID:038968




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com