|
ความคิดเห็นที่ 18 |
|
ผมเคยทำธุรกิจซื้อมาขายไป ขายสินค้าจำนวนมาก กำไรน้อย การที่เราได้น้อยเพราะช่วงใหม่ๆยังไม่มีลูกเล่น หรือเทคนิคอะไรมาก มาช่วยเพิ่มรายได้หรือลดต้นทุน แถมโดนโรงงานซัพพลายเออร์ (ก็เหมือนกับกรณีของคุณทองเนื้อเก้าที่เคยเขียนไว้ )กำหนดออเดอร์ขั้นต่ำในการสั่งซื้อไว้สูงมาก เช่นสั่งผลิต 3,000 ชิ้น/ออเดอร์ ในราคาทุน 100 กว่าบาท สั่งผลิตสินค้าตัวอื่นๆ 10,000 ชิ้น/ออเดอร์ ในราคาทุน 30-50 บาท ต้องทำสินค้าทั้งระบบประมาณ 40 กว่ารายการ สินค้าที่ทำออเดอร์หรือสั่งผลิตมากๆ มันจะมีภาระต้นทุนดอกเบี้ยและความเสี่ยงแฝงอยู่มาก ทั้งที่ความเป็นจริง การขายได้มาก น่าจะมีกำไรมาก เช่นขายสินค้าเดือนละ 5-6 ล้านบาท ต้นทุนที่เกิดขึ้นมีดังนี้ -ค่าขนส่งสินค้า คิดเป็น 4% -พื้นที่วางสินค้า 1000 ตรม. คิดเป็น 1.5-2.0% -ค่าดอกเบี้ยสต็อคสินค้า คิดเป็น 1.5 % -ค่าแรงานยกขึ้นลง 1.0-2.0 % -ค่าประกันอัคคีภัย 0.1% ต่อปี -เปอร์เซ็นต์การสูญเสีย ค่าเสียเวลา โอกาส รวม 1.0% -การทำออเดอร์มากๆ ต้องขายให้ลูกค้ารายใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง ต้องมีส่วนลดมาก หรือขายให้ตัวแทน มีส่วนลดมากเช่นกัน อย่างน้อย 15-20% จากราคาขายปกติ เพื่อเป็นช่องทางใน การระบายสต็อคให้ได้รวดเร็ว และมีเครดิตเทอมที่แสนนาน ต้นทุนเหล่านี้ ถ้าทำไปแล้วสักระยะหนึ่งโดย ไม่คิดที่จะหาวิธีการ ลดต้นทุน ใน10 ปี 20 ปีข้างหน้า ก็แข่งขันกับโรงงานอื่นๆไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีแปลงต้นทุนกว่า 20% ให้เป็นรายได้เพิ่ม หรือให้มีแต่ต้นทุนผันแปร พอแปลงได้แล้ว ต้นทุนเหล่านี้มันคือกำไรของเรา ถึงตอนนี้ ขายของปริมาณมาก ก็ต้องมีกำไรมาก เช่น วันนี้ ได้รับออเดอร์มา 239,680.00 บาท (รวมvatแล้ว) ถ้าผมใช้วิธีการขายแบบเดิม แบบคนไม่มีประสบการณ์ คงมีกำไรสุทธิ 25,400 บาท และยังพบกับความเสี่ยง ในการได้รับชำระเงิน แต่ ณ.วันนี้ออเดอร์นี้ผมทำกำไรสุทธิ 82,390 บาท หรือประมาณ 52 % มันทำเช่นนั้นได้จริงๆ ซึ่งคู่แข่งขันอีก 3 ราย ก็ยังไม่สามารถเทคออเดอร์นี้ได้ และก็ยังคงนำสินค้าที่ ผลิตล็อตเดียวกันนี้ ซึ่งมีต้นทุนต่ำสุด ขายได้ในระดับที่มาร์จิน 100% โดยไม่ต้องผ่านนายหน้าหรือตัวแทนขาย ถ้าหมั่นเรียนรู้ วิธีการ มันสามารถทำได้ครับ
จากคุณ |
:
หัวใจจากท้องทะเล
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ส.ค. 53 11:28:10
|
|
|
|
|