|  | 
				
					|  ความคิดเห็นที่  4 |   
> การตั้งราคาสามารถทำได้หลายแบบ หรือใช้ประกอบกันเช่น
 - เปรียบเทียบราคากับคู่แข่ง
 - คำนวณราคาของ material + labour  แล้วใช้วิธีการ allocate overhead
 กับสินค้าแต่ละประเภท วิธีอาจจะยุ่งยากนิดหนึ่ง แต่ค่อนข้างดีในระยะยาว
 เพราะสามารถนำตัวเลขไปใช้ในการวิเคราะห์ในแง่ของการบริหารต่อไป
 
 STD cost ที่กล่าวไว้้ข้างบน ก็นำมาใช้ในการคำนวณตรงนี้
 ข้อดีคือ ราคาสินค้าของเราจะไม่ผันผวนมากนัก
 
 สิ่งสำคัญก็คือ ควรจะต้องมีตัวเลขที่ค่อนข้างถูกต้อง
 เราไม่แน่ใจว่าเจ้าของร้านต้องเป็นคนอนุมัติเรื่องราคาด้วยหรือเปล่า
 เพราะจริงๆ แล้ว ราคาในแผนกคุณเป็นส่วนหนึ่ง แต่จะได้กำไรจริงๆหรือไม่นั้น
 ต้องดูที่งบกำไรขาดทุน ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายๆ อื่นๆ อีก
 
 ถ้ามีตัวเลขค่าใช้จ่ายแต่ละแผนกอยู่แล้ว  ก็สามารถเอามาทำ  budget ง่ายๆ
 ของแผนกตัวเองได้ค่ะ
 
 
 > การตลาด
 - พยายามวิเคราะห์ความต้องการของตลาด ซึ่งต้องมีการใช้ข้อมูลในอดีต
 และปัจจุบันประกอบ รวมถึงคู่แข่งด้วย
 
 - ช่วงไหนที่มี demand สูง ก็จะได้วางแผนล่วงหน้าได้
 
 - เพิ่ม value ใน product
 เราไม่แน่ใจว่าคุณมี product อะไรบ้าง สมมติละกัน
 เช่น เพิ่มส่วนของ ผลไม้ตัดแต่ง , กระเช้าผลไม้, น้ำผลไม้สด
 
 พวก energizer สูตรพิเศษ นอกจากเพิ่มมูลค่า ยังเป็นการแปรรูป
 สินค้า  ช่วยในการบริหาร stock อีกส่วนหนึ่งด้วย
 
 
 
 -------
 หวังว่าคงพอช่วยได้บ้างนะคะ  ข้างบนที่กล่าวมา ข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นมากนะคะ
 ถ้าไม่มี software อะไร  แค่ excel ก็โอเคมากแล้วค่ะ
 พยายามทำใ้ห้เป็นระบบ  item code เป็นสิ่งจำเป็น
 
 สงสัยอะไรก็ถามเพิ่มเติมนะคะ
 
 สู้ ๆ  ^_^
 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 10:56:42
				 
				 
				
					| จากคุณ | : 
Bluebird at Bonneville~*   |  
					| เขียนเมื่อ | : 
4 ก.ย. 53 10:53:12 |  
					|  |  |  |  |