งานดี เงินดี มีความสุขจังค่ะ ^^
|
 |
เห็นมีแต่คนมาบ่นเรื่องงานอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องนี้ดี เรื่องนี้ไม่ดี แล้วบางครั้งก็มีคนตั้งประมาณว่างานดี เงินดี เจ้านายไม่งี่เง่า มีบ้างไหม
มีค่ะ งานที่เราทำเอง
1. เนื้องานอยู่ในสายงานที่ถนัด 2. ปริมาณงานไม่เยอะ ทำได้ในเวลางานไม่ต้องทำโอที 3. ไม่เข้มงวดเรื่องเวลาเข้าออก (เข้าสายกลับก่อนหลายครั้ง) 4. สวัสดิการพนักงานดีเยี่ยม 5. เงินเดือนดีกว่าที่เคยได้มาเยอะ (เพิ่ม 50%) 6. บริษัทมั่นคงแข็งแรงมาก ไม่ล้มชัวร์ 7. เพื่อนร่วมงานดี ช่วยเหลือกันมาก (แต่อาจไม่มีปาร์ตี้สังสรรค์เพราะพอเลิกงานปุ๊บ ตลาดวายปั๊บ กลับบ้านโลด) 8. เจ้านายไม่จู้จี้ 9. ที่ตั้งของที่ทำงานอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี ของกินอร่อย ตลาดนัดก็แสนใกล้ 10. ไปกลับค่อนข้างสะดวกจากบ้าน
เท่านี้พอไหมคะ สำหรับที่ทำงานในฝันของแต่ละคน
ทีนี้ลองสังเกตนะคะ มีกี่ข้อที่เป็นรูปธรรม และมีกี่ข้อที่เป็นนามธรรม ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเราล้วนๆ ใน 10 ข้อก็คงปาเข้าไปสัก 5 ข้อแล้วใช่ไหมคะ มีอะไรบ้าง ขอยกตัวอย่างเช่น
ปริมาณงานไม่เยอะ ---> ที่จริงถ้าคนที่ไม่เคยทำงานในที่ที่หนักมากๆ มาแล้ว (ที่เก่าเรากลับบ้านแบบสองทุ่มเป็นพื้นฐาน และสี่ทุ่มเป็นประจำ และเลยเที่ยงคืนบ้างเป็นบางวัน) อาจจะรู้สึกว่างานที่นี่หนักก็ได้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนว่าเป็นยังไง
เงินเดือนดี ---> ถ้าถามกันจริงๆ แล้ว ตัวเลขที่เราได้รับ อาจน้อยกว่าบางคนในที่นี้หลายเท่า แต่เราคิดว่ามันเหลือเป็นเงินเก็บได้เยอะ
เท่าที่เราดู บางคนกลับรู้สึกไม่พอใจในเงินเดือนที่มีอยู่ รู้สึกว่ามันไม่พอ บลา บลา บลา ซึ่งที่จริงแล้ว ต้องลองดูค่ะว่าแต่ละวัน มีรายจ่ายอะไรกันบ้าง มันจำเป็นต้องจ่ายจริงๆ หรือ แน่นอนว่าเมื่อคนมีเงินในกระเป๋ามาก ค่าใช้จ่ายสำหรับความสุขบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว สุดท้ายแล้ว เงินเดือนหนึ่งหมื่นก็น้อย หนึ่งแสนก็ยังน้อยหากไม่รู้จักตัวเองว่าใช้จ่ายเกินตัวอย่างไร (เงินเดือนที่ดีสำหรับเรา คือ มีเงินเหลือเก็บเยอะค่ะ)
เพื่อนร่วมงานดี ---> ที่เราบอกว่าดีก็คือ ตัวเราเองไม่สนใจว่าใครเขาจะทำอะไร ไม่ได้หมายความว่าไร้มนุษยสัมพันธ์ แต่ส่วนมากหลายคนที่บ่นว่าเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ได้มองตัวเองบ้างไหมว่าเรา 'ถือ' กับอะไรให้หนักให้ทุกข์ร้อนเองหรือเปล่า บางครั้งถ้าเราปล่อยไม่ได้ หรือปล่อยได้ลำบาก ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เพื่อนร่วมงานก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละค่ะ
เจ้านายไม่จู้จี้ ---> ก็ต้องดูอีกแหละว่า นิยามคำว่าจู้จี้ป็นยังไง ขีดจำกัดมาตรฐานของเราขั้นไหนที่เรียกว่าจู้จี้ นิดหน่อยก็เซ็งแล้วหรือเปล่า (ก็อีกแหละ คำว่านิดหน่อยของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน) เคยลองสังเกตเส้นที่เราใช้จำกัดความบ้างไหมคะว่ามันอยู่ที่จุดไหน
ส่วนมาก สิ่งที่เป็นรูปธรรม ไม่ได้เป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์กับที่ทำงานมากไปกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม หลายคนที่ลาออกก็เพราะเจ้าสิ่งเหล่านี้นี่เอง
คำว่า "ดี" ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความอดทนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันเช่นกัน อยู่ที่ว่าตัวเราเองเห็นเส้นขีดจำกัดหรือเปล่า บางคนบอกว่าเห็น แต่ที่เราหมายถึงก็คือ เห็นเส้นนั้นในตอนที่มีคนกำลังจะล้ำนะคะ ใน moment นั้นเลยน่ะ เคยสังเกตเห็นบ้างไหม
เคล็ดลับอย่างหนึงที่ทำให้เรามีที่ทำงานในฝันได้ก็คือ การเห็นช่วงเวลานั้น แล้วสามารถยืดเส้นขีดจำกัดของเราให้ร่นเข้ามาได้ทัน ทำให้เขาไม่เหยียบเส้นนั้นค่ะ อย่าให้เส้นนั้นเป็นตัวกำหนดความพอใจไม่พอใจของเรา แต่เราต้องเป็นคนกำหนดมัน รู้ทันมันให้ได้ สังเกตมันให้ถี่ถ้วนในแต่ละจังหวะเวลา
ค่อยๆ ฝึกค่ะ การฝึกให้เห็นอารมณ์ในช่วงจังหวะหนึ่งๆ อาจจะยากในช่วงเริ่มแรก ให้ฝึกจากการดูการเคลื่อนไหวแบบหยาบๆ ก่อน ยืน เดิน นั่ง นอน รู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้กำลังอ่านกระทู้นี้อยู่ ถ้ารู้ตัวก็โอเค แล้วหลังจากนั้นทำอะไรต่อ คอยเฝ้าดูเฝ้าสังเกตไปเรื่อยๆ
จากนั้นอาจจะดูความคิดและอารมณ์ควบคู่ไปกับความเคลื่อนไหวก็ได้ เคยใช่ไหมคะเวลานั่งทำงานอยู่ บางทีใจก็แวบไปนึกถึงข้าวที่ตัวเองกินไปเมื่อเช้า หรือคิดว่าข้าวกลางวันนี้จะกินอะไรดี พอโทรศัพท์ดังก็นึกขึ้นได้ว่า เออ...ทำงานอยู่นี่หว่า
ใจที่แวบไปก็คือ ความคิด ส่วนโทรศัพท์ดังทำให้เรานึกขึ้นได้ เจ้าตัวที่ทำให้นึกขึ้นได้นี่แหละค่ะ สำคัญที่สุด ทีนี้ที่จะให้ลองฝึกก็คือ ไม่ต้องมีเสียงโทรศัพท์ ให้หัดที่จะรู้ตัวว่าเรากำลังคิด ใจเรากำลังไหลไปกับจินตนาการอะไรอยู่ จะไปเป็นสิบเรื่อง ยี่สิบเรื่องก็ไม่เป็นไร ให้พยายามตั้งสติแล้วดึงกลับมาดูว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
ถามว่าฝึกไปทำไม นักกีฬายังต้องฝึกซ้อมก่อนแข่งจริง การฝึกอย่างนี้ก็เหมือนกัน ฝึกเพื่อแข่งจริงไงคะ แต่นักกีฬายังดีที่รู้ว่าวันเวลาแข่งเมื่อไร แต่เหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่เคยบอกเราว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน การเตรียมพร้อมคือสิ่งสำคัญค่ะ
เมื่อถึงเวลาจริงๆ ความรู้สึกตัวนี่แหละที่จะมาช่วยดึงขีดความอดทนของเราให้ยืดหยุ่นได้ตามที่เราต้องการ ถ้าไม่ฝึกทำได้ยากค่ะ
เคยเห็นใช่ไหมคะคนที่โทสะพุ่ง มีอะไรด่ากราดออกไปก่อนแล้วค่อยมานึกเสียใจทีหลังเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป แต่ถ้าฝึกบ่อยๆ ในช่วงเวลาที่กำลังปรี๊ด ปากกำลังจะอ้าด่า ความรู้ตัวที่เฝ้าฝึกมาจะมาช่วยให้รู้ว่าตอนนี้กำลังจะอ้าปากด่าแล้ว เราจะชะงักคิดก่อนว่าพูดไม่พูดดี แล้วพอรู้แล้วว่าสิ่งที่พูดคือสิ่งไม่ดี ก็จะหยุดได้เอง
ที่จริงมันมีวิธีฝึกหลายๆ แบบ แต่ที่จะบอกก็คือ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ 'ใจ' ค่ะ ที่ทำงานจะเป็นสวรรค์ หรือเป็นนรกก็ขึ้นอยู่กับใจของเราทั้งนั้นว่าจะมองสิ่งเหล่านี้ว่าอย่างไร
หลายคนอ่านไปแล้วอาจจะมีข้อแย้งซึ่งเราก็ยอมรับค่ะ เรื่องนี้นานาจิตตังเพราะใจเรา กับใจคุณๆ ก็คนละใจ ตราบเท่าที่เราพอใจ ที่ทำงานที่นี่คือสวรรค์ของเราค่ะ
มาเขียนให้อิจฉาเล่นๆ สำหรับคนที่กำลังเป็นทุกข์เรื่องงานอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม แต่ครั้นจะทำให้คนตาร้อนอย่างเดียวก็เกรงใจ เลยบอกเคล็ดลับที่ตัวเองใช้ประจำมาบอกเล่าค่ะ ซึ่งอาจได้ผลสำหรับบางคน บางคนอาจไม่ได้ผล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอให้ได้พบ 'ที่ทำงานในฝัน' ไม่ว่าจะเป็นที่ปัจจุบันหรืออนาคตนะคะ ^^
ปล. คนเขียนกระทู้ยังอายุไม่ถึงสามสิบ อาจยังด้อยประสบการณ์ชีวิตในบางเรื่อง แต่มั่นใจว่าในบางเรื่องก็มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าคนอายุห้าสิบหกสิบปีค่ะ ก็เลยขอดึงส่วนที่ตัวเองออกแนวแก่มาแชร์ให้ฟัง
จากคุณ |
:
peiNing
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ต.ค. 53 23:29:31
|
|
|
|