ความคิดเห็นที่ 1 2. ชอบด่า ว่า ติ เพื่อให้รู้สึกตัวเองดูดีขึ้น นี่ก็เป็นอีกเรื่อง ที่เป็นนิสัยแห่งเทพ ของคนไทย เราจะเห้นได้จากหลายๆอาชีพ หรือแทบทุกๆอาชีพเลยครับ บางทีเรานั่งแทกซี่ อยู่ ดีๆแท๊กซี่มันจะด่านักการเมืองมันก็จะด่าเลย.........หรือในวงเหล้า อยู่ดีๆก็จะด่าใครสักคนก็ด่าเลย.............และเด็ดสุดๆก็คือ ด่าคน ในที่ทำงาน หรือนินทา กันนั่นเอง นิสัยแบบนี้เป็นปมด้อยสมัยเด็ก คือต้องการการยอมรับ ต้องการการมีตัวตนเกิดขึ้นในสังคม เค้าจึงพยายามแสดงออกโดยการลดค่า ของคนอื่นๆรอบๆตัวเขา ด้วยการด่าหรือติ คนๆนั้น เพราะในใจของคนที่ด่าคนอื่นๆนั้น เขาจะคิดอยู่ลึกๆว่า กรูนี่ได้ด่าคนอื่นแล้ว โคตรเท่เลยหวะ กรูได้ยืนบนสังคมแล้ว มีคนเห็นค่าของกรูแล้ว เพราะกรูได้ยกตัวเองขึ้นมาสูงแล้ว จากการด่าคนอื่นนั่นเอง........ .......... บางที "นางสาว A นินทา นางสาว B แบบรู้ทุกซอบหลืบมากๆ รู้ยิ่งกว่า นางสาว B รู้เรื่องตัวเองซะอีก " "ขอให้กรูได้ด่า ขอให้กรูได้โยนเรื่อง ลบ ลบ ไปใส่คนอื่น" คุณเองเคยมั้ยอะครับ ด่าคนอื่น ok เราทำผิดน่ะ มันแคลงใจว่ะ คนอย่างเราทำดีแล้ว เจตนาดีแล้วนะเว้ย ก็บางทีเราไม่อยากผิดน่ะ ..ทำไงดีวะ โอ๊ย ไม่สบายใจเลย เอออ ด่าคนอื่นแล้วกัน ความผิดไอ้นั่น ความผิดไอ้นี่ ........ มันผิดแบบนั้น มันแย่แบบนี้..ถล่มๆๆเข้าไป......... อ่าหหหหหห์  โล่งงงงงงงงงง สบายใจแล้ว (โล่งเหมือนเพิ่งขี้เสร็จ) ผลักความรู้สึกแย่ๆออกไปจากใจ โดยโยนเรื่องลบๆให้คนอื่นรับไปแทน...............จากคำพูดของเรา (ถ้าด่าลับหลัง และด่ากับคนที่ ด่าได้เข้าใจเหมือนกับเรา ก็จะสบายใจที่สุด อิอิ) นั่นแหละครับ ยิ่งเป็นสังคมเวบบอร์ดยิ่งชัดเลย พันทิพยิ่งเท่ห์ (ยกตัวอย่าง) มีข่าวอะไรนะ ผัวเมีย เด็กแว้นซ์ วัยรุ่นยกพวกตีกัน ปัญหาสังคม ดารา ฯลฯ " ขอกรูโพสด่าไว้ก่อน เรื่องอื่นไว้ทีหลัง " ใครยิ่งด่าแรงๆ ยิ่งเท่ห์ ยิ่งได้ กิฟเยอะๆ ........... ต้องโพสคำที่เท่ๆ ด่าพวกมันกันให้จมดิน ........... ถ้าไม่ใช่เว็บบอร์ด แต่เป็นชีวิตจริง ก็ลองสังเกตพฤติกรรมแบบนี้จากคนรอบๆตัวคุณครับ คุณจะเจอ "เทพ" เยอะมาก (ตัวเองดีหมด ด่าคนอื่นตลอด) ผมนี่เจอวันละเป็นสิบๆคน - -' ไอ้การติผู้อื่น โดยเฉพาะบางทีพวกที่ติเอามันเนี่ยครับ หรือพวกที่ชอบด่าคนอื่นน่ะ มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว คุณด่าว่าเด็กแว้นเป็นขยะสังคม - มันยังแว้นกันอยู่ไหม คุณด่าว่า นร ยกพวกตีกัน - มันก็ยังตีกันอยู่ไหม คุณด่านักการเมืองโกงกิน - มันยังทำอยู่ไหม คุณด่าตำรวจ รีดไถ - มันยังทำอยู่ไหม ฯลฯ .. แล้วต้องทำยังไง ???? ........ วิธีการแก้ไขก็คือ "แก้ปัญหาก่อนแล้วค่อยด่าครับ"... มนุษย์เรามีเวลา"พูด"อีกเยอะครับ 40-50 ปีโน่น พูดได้ไม่หมดชีวิตหรอก แต่เวลาในการแก้ปัญหา มันอาจจะไมมีก็ได้ หรืออาจจะมีแค่ 19 นาทีก็ได้ หรืออาจจะมีแค่ 7 วินาทีก็ได้........... ถ้ามัวแต่ด่า เมื่อไหร่จะแก้ปัญหาได้ แปลได้ว่า ถ้าด่าแล้วปัญหายังไม่แก้ หรือไม่เห้นหนทางที่จะแก้ปัญหาได้ หรือไม่มีแม้แต่การเสนอทางแก้ใดๆที่พอจะคิดออก จงอย่าด่าเลยครับ ลองสังเกตในที่ทำงานของคุณก็ได้ เวลาเกิดปัญหาขึ้น แล้วมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายๆคน มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่าง - ปัญหาเกิดปุ๊บ มีคนพุ่งเข้าไปแก้ทันที - ปัญหาเกิดปุ๊บ มีคนด่าคนที่สร้างปัญหาทันที เชื่อว่ามีครับ........คน ทั้ง สอง กลุ่ม เวลาผมเจอใครที่ชอบด่าคนอื่นๆนะครับ ผมจะคิดในใจว่า "อืมมม มรึงนี่ช่างเทพจริงๆเลยเว้ย" แล้วก็ยิ้มๆให้มัน หรือถ้าผมเจอใครที่แบบว่า ด่าๆไปด้วย แต่บอกวิธีแก้ปัญหาไปด้วย ผมก็จะถามว่า "อืม ทำไมพี่ถึงคิดแบบนี้ละ มันมีผลยังไงเหรอ ?" นั่นแหละ ก็จะเกิดการ discuss กัน ถกกันไป (ถ้าคนๆนั้นเปิดใจไม่อคติ) ก้จะเป็นการคุยที่มีประโยชน์ ได้ความรู้ เปิดโลกกว้าง เปิดทัศนคติ ลองนะครับ ทุกคน พวกเรา  "แก้ปัญหาก่อนครับ ค่อยด่ากัน" อะไรแก้ได้ก็แก้ เสนอทางไป แม้รู้อยู่ว่าปัญหาบางอย่างแก้ไม่ได้ "ก็ยังดีกว่าเราด่า แล้วปัญหายังเหมือนเดิม" "ก็ยังดีกว่าเราอยู่เฉยๆ แล้วปัญหายังเหมือนเดิม" อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรลงไปบ้างแล้ว................ วันนี้เรามีความคิดวิธีแก้ปัญหาไว้ในใจ แต่เราไม่แสดงออกมา วันนึงปัญหามันเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครคิดมาก่อนเลย ว่ามันต้องแก้แบบนี้ ซึ่งมันเป็นวิธีที่เราแก้ได้.........เพียงแต่เราไม่เสนอออกมา เพราะเราดันลบเกินไป แล้วอ้างว่า "ปัญหานี้แก้ไม่ได้หรอก" เราคงเสียใจน่าดู เพราะเราคิดออกแต่เราไม่พูดไม่แสดงออกอย่างเหมาะสม ......... ..... ใครจะรู้ว่าวิธีการแก้ปัญหาของเรา มันอาจจะเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหลายๆคนมาฟัง มาคุยกัน มาช่วยกันคิดแก้ปัญหาไปด้วยกัน ไม่ว่าปัญหาอะไรก็ตาม ก็สร้างสามัคคี สร้างพลังให้กับองค์กร หรือ ประเทศเราได้ครับ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 11:52:46

ความคิดเห็นที่ 2 3. ขี้อิจฉา ตัวเองเป็นคนใหญ่โต มีความรู้ตำแหน่งมาก จะให้ใครมาเทพเกินกว่าไม่ได้ กลัวการเสียหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดยอดแห่งความคลาสสิคของประเทศไทยเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น - งานราชการก็เช้าชามเย็นชามกันไป ทำแรงๆไฟลุกๆ เดี๋ยว "เด่นเกินผู้ใหญ่" ซวยได้นะ - เป็นพนักงานปกติ มีเพื่อนร่วมงานมาทำงานใหม่ fight งานโคตรๆจนจะได้ promote เป็น senior ....... ก็หาทางแกล้ง แทงข้าง หลัง จะได้ไม่ต้องให้คนใหม่ขึ้นตำแหน่ง (แต่ทำงานมานานแล้วไม่เคยคิดพัฒนาตัวเองบ้างเลย) - เห็นใครเงินเดือนเยอะๆ ก็อิจฉา (ไม่สนใจว่าคนๆนั้นจะต้องรับผิดชอบมากขนาดไหน) - GT200 มันทำงานไม่ได้ ก็ไม่อยากเสียหน้าว่า "ผมซื้อมาผิด ไม่ศึกษาให้ดีก่อนว่ามันทำงานไม่ได้ ขอยอมรับและลาออก พร้อม ทำแผนชดใช้เงินภาษี.." ....... กลัวเสียหน้ามาก ชื่อเสียงใหญ่โต ไม่กล้ายอมรับเลย ....... อะไรมันจะขนาดนั้น ทำยังกับว่าทั้งชีวิต ไม่เคยทำผิดเลยสินะ......... - ลูกบ้านนั้นเค้าจบหมอมาจาก ม.xxx  ก็พยายามจะยัดเยียดให้ลูกเราไปเรียนหมอที่ ม.มหิดล ให้ได้.............. ......... เพราะความอิจฉา ความไม่อยากให้เรื่องดีๆเข้าสู่คนอื่น ตอนเด็กๆไม่เคยได้รับการยอมรับ ก็เลยขี้อิจฉา พ่อแม่บ่น-ด่าใส่หูตลอด ไม่เคยชื่นชมเลย เลยคิดว่าตัวเองไม่มีค่า โตขึ้นมาก็เลย พยายามจะหาคุณค่าของตัวเอง แต่การเรียนให้ได้ที่ 1 มันเรียนยาก การเป็นนักเรียนเหรียญทองโอลิมปิกมันไม่ได้ง่ายๆ เพราะงั้นก็เลยหลอกตัวเองไปวันๆ ไม่ทำอะไรหรอก เรื่อยๆเฉื่อยๆไป วันใดวันหนึ่งมีคนทำได้ดีกว่าเรา เราต้องแกล้งมัน ทำไงก็ได้ให้มันไม่มีดีเท่าเรา เพราะเราอิจฉามัน เพราะถ้ามันดีกว่าเรา เราจะไม่มีคุณค่าอีกครั้ง เหมือนสมัยที่พ่อ แม่ด่าเราตอนเด็กๆ เราไม่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นเลย........... เข้าตำรา "ทำความดี มันทำไม่ง่าย แต่ทำเรื่องร้ายๆ แป๊บเดียวก็ดัง" วิธีแก้ปัญหา (บางส่วนของวิธี) สำหรับกรณีนี้คือ ตอนท้อง มีลูก ก็ต้องมาเข้าอบรม การเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า ใครๆเขาก็มีลูกกัน ใครๆเขาก็ท้องกัน มันไม่พอหรอก เพราะลูกคุณโตขึ้น ก็ต้องเข้าสู่สังคม เราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณเลี้ยงลูกคุณดี และไม่สร้างปัญหาสังคม หรือ เราจะรู้ได้ ยังไงว่าลูกคุณเลี้ยงมา แล้วทำผิดต่อสังคม และคุณจะรับผิดชอบให้ได้ (ยกตัวอย่าง กรณี หมูแฮม) หรือสอนให้เล่นกีฬาอย่างจริงจัง ตอนที่แพ้ ก็ต้องสอนว่า เราแพ้เพราะเราซ้อมมาน้อยกว่า ชื่นชม ที่ยอมรับการแพ้ได้ ชื่นชม ที่ยอมรับการผิดหวังได้ ลูกเราซ้อมมาเต็มที่ ทุ่มเทมาก แต่สุดท้ายก็แพ้ ก็ต้องให้เขาได้เรียนรู้ว่า เล่นกีฬามีแพ้มีชนะ โลกแห่งความจริง การได้รับความผิดหวัง มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย โคตรจะธรรมดา... ไม่ใช่เวลาเล่นกีฬาแพ้แล้วไปด่าพวกชนะ (แล้วจะเล่นทำไม ถ้าผมชนะคุณแล้วคุณเป็นแบบนี้ ผมยอมให้คุณชนะก็ได้ ถ้าอยากชนะมากขนาดนั้นอะนะ - -') เหมือนคนเล่นเกมวินนิ่งอะ (เกมฟุตบอล ใช้จอยกดกันสองคน) เวลาคนไหนแพ้ หรือโดนยิงนำ  คนแพ้ก็จะชอบบอกว่า "กรูยังไม่เอาจริง" ซึ่งมันคือข้ออ้างที่เป็น top สุดของข้ออ้างเวลาเล่นแพ้ และเป็นประโยคคลาสสิคตลอดกาล (เพราะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองอ่อน กาก นั่นเอง) มีมั้ยที่จะพูดว่า อืม เราเล่นมาน้อย ซ้อมไม่เยอะ เราเลยแพ้นาย ถ้ามีก็คงน้อยมากๆๆๆ อันนี้ยกตัวอย่างแบบเล่นๆนะครับ อิอิ คือต้องสอนให้รู้จักแพ้ ต้องสอนให้รู้จักผิดหวัง ต้องสอนให้รู้จักว่า ทำผิดแล้วต้องกล้ายอมรับและกล้าแก้ไข มันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย พอแพ้แล้วก็โทษตัวเอง เพื่อจะได้พัฒนาตัวเองต่อไป ไม่ไปอิจฉาคนอื่น ........ แต่เมืองไทย คงทำยากมั้ง .....เพราะใครทำผิดทีนึง จะโดนด่าเยอะมากๆๆๆ ก็ไอ้พวกคนในข้อ 2 ไง รอซ้ำคุณอยู่ ทุกวันนี้มันถึงเป็นแบบนี้นี่แหละ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 11:53:07

ความคิดเห็นที่ 3 ใครมีข้อเสนอแนะ เชิญญญญ ได้ครับ พร้อมรับครับ ^_^ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 11:54:19

ความคิดเห็นที่ 4 เอาเป็นว่าเห็นด้วยละกันครับ โดยเฉพาะข้อ 1. ชัดเจนมาก เพราะผมขายสินค้าที่ต้องใช้ไฟแนนซ์ เห็นมันแข่งกันแล้วอยากจะบ้า ในเรื่องวิีธีการ ผมชอบคนญี่ปุ่น เพราะเค้าให้ความสำคัญตรงนี้มากที่สุด ผลลัพธ์เป็นเรื่องรอง จากคุณ : M.D.Luffy เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 12:21:07

ความคิดเห็นที่ 5 ยาวมากครับ จากคุณ : jaminonez เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 12:22:21

ความคิดเห็นที่ 6 จริงๆ ก็เป็นเรื่องของพฤติกรรมในการทำงาน ที่สอดคล้องกับ DISC Model ครับ แต่ หลักๆ ทั้ง 3 ข้อ นั่นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน จากคุณ : พระรามล่องหน เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 12:38:01

ความคิดเห็นที่ 7 เอ่อ...ที่กล่าวไปนั่น ฝรั่งที่ office ก็เป็น ดราม่ามากกว่าคนไทยซะอีก ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน คือ องค์กรพายเรือวนอยู่ในอ่าง... จากคุณ : Mille-Feuilles เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 12:48:24

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณครับ โดนผมแทบทุกข้อครับ 555 คงต้องเอาสมองมาผ่าตัดๆ จากคุณ : Culture เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 12:51:58

ความคิดเห็นที่ 9 จะบอกว่าพวกสนใจผลลัพธ์อย่างเดียวก็มี พวกสนวิธีการอย่างเดียวก็มี มันอยู่ปนๆกันในสังคมไทยนี่ล่ะครับ ไม่ได้มีพวกไหนมากเป็นพิเศษหรอก พวกสนผลลัพธ์อย่างเดียวก็อาชญากร ธุรกิจผิดกฎหมาย พวกสนวิธีการอย่างเดียวก็หน่วยงานราชการ ^_^ ประเทศจะพัฒนาได้ ประชากรต้องมีจิตสำนึกส่วนรวมมากพอก่อนครับ ถ้าทำแล้วคนอื่นจะเดือดร้อนอย่างไร ได้ประโยชน์อย่างไร เรื่องพวกนี้ประชากรต้องคิดเองเป็น เมื่อนั้นบ้านเมืองเราจะไปได้อีกไกลครับ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 13:48:28

ความคิดเห็นที่ 10 ยาวจริงๆ อ่านแต่หัวข้อ พอเข้าใจ แต่คนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารระดับสูงก็ไม่เป็นนะคนไทย ที่ดีดีก็มีเยอะ จากคุณ : ตกงานทั้งปี เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 14:24:14

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าคนไทย เรา อยากได้เเต่เงิน มากฯ เเต่ไม่อยากทำงานหนัก ...เข้าใจ ว่าผลคือเงิน เเต่ไม่สนวิธีการทำงาน ที่จะนำไปสู่เงินนั้นฯ?...? ทำให้คนอยากรวย ทางลัด การได้อะไรมาฟรีฯ ซึ้งไม่ต้องทำงาน ก็ได้  ...ผมว่า ต้องเเก้ที่การศึกษาก่อนครับ จากคุณ : dokaki (dokaki) เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 15:01:37

ความคิดเห็นที่ 12 เฉื่อย ขาดความกระตือรือร้น ไม่เอาจริงเอาจัง เห็นแก่พวกพ้อง เกรงใจ แค่ย่างก้าวแรกที่เข้าสนามบินสุวรรณภูมิก็เห็นความแตกต่าง ในการทำงานของเจ้าหน้าที่เมืองไทยกับต่างประเทศได้แล้วค่ะ จากคุณ : amir เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 15:21:19 A:202.133.139.18 X: TicketID:156084

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านเฉพาะหัวข้อค่ะ (น้ำยาวเกินไป) นิสัยที่มีเยอะมากในคนไทย ทำให้องค์กรและประเทศไม่พัฒนา คือ 1. คนที่ไม่มีปัญหาเลย เพราะไม่เคยทำงานเลย โครตขี้เกียจ รักสบาย 2. คนที่นำปัญหามาให้ ทำงานได้แค่ตามคำสั่ง พอติดปัญหาก็นำเอาปัญหามาบอก ไม่คิดหาทางออก ไม่กระตือรือล้นหาวิธีทำให้งานสำเร็จ ส่วนน้อยในสังคมที่จะเป็นแบบนี้ 3 และ 4 ซึ่งน่าจะทำให้องค์กรพัฒนาได้ค่ะ 3. คนที่นำปัญหามาบอก นำวิธีการแก้ไขและทางเลือกมารายงาน เพื่อร่วมตัดสินใจและร่วมกันแก้ไขปัญหา 4. คนที่นำปัญหามารายงาน และรายงานว่าปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ไขไปถึงไหนแล้ว จากคุณ : richly @ money เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 16:17:56

ความคิดเห็นที่ 14 1 ผมว่าคุณต้องแยกให้ิออกก่อนว่า การมองผลลัพท์ก่อนมันดีมั้ย จริงๆแล้วจะทำอะไรให้สำเร็จต้องมองผลลัพท์ก่อน ส่วนวิธีการเป็นสิ่งที่เลือก เช่น เรียนปริญญาตรี ไม่มีใครมานั่งถามหรอกว่าระหว่างเรียนต้องสอบกี่ครั้ง ทำวิทยานิพนธ์กี่เล่ม อาจารย์กี่คน โต๊ะสูงไปมั้ย มองว่าจบแล้วได้อะไรก่อน แล้ววิธีการคือการเลือก วิธีมีหลายวิธี ไอ้ข้อ 1 เนี่ย จริงๆแล้วคนไทยรักสบาย คิดง่ายๆ(แถวบ้านเรียกคิดสั้น) ไม่งั้นข่าวหน้า 1 จะมีแต่เรื่องปัญญาอ่อนเหรอครับ ไม่ว่าจะมองวิธีการหรือผลลัพท์มันอยู่ที่เราเลือกที่จะทำแบบสบายๆ ครูสอนการขายผมบอกว่า จริงๆแล้วคนไทยนะชอบซื้อ(ชาติอื่นก็ด้วย) แต่เขารังเกียจวิธีการขาย ดังนั้น ไปทำวิธีการขายที่ไม่น่ารังเกียจ แล้วเขาจะซื้อ ส่วนข้อ 2 สังเกตมั้ยครับว่าทำไมคนไทยมักจะโบ้ยว่าใครเลวกว่ากัน เพราะเป็นวัฒนธรรมสังคมที่ปูมาเพื่อเป็น ขี้แพ้ และมีทัศนคติลบ แก้ยาก เพราะต้องแก้ทั้งระบบ ใครที่ไม่มีข้อนี้ ส่วนใหญ่จะรวยและประสบความสำเร็จมีความสุข จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 16:19:48

ความคิดเห็นที่ 15 คุณเคยวิเคราะห์หรือเปล่าว่า จริงๆ แล้วนิสัยตำหนิคนอื่น กับ นิสัย ขี้อิจฉา มันมาจากรากเหง้าอันเดียวกัน  และไม่ใช่ความผิดของคนไทยกลุ่มใหญ่ที่มีนิสัยแบบนี้   ถ้าเราวิเคราะห์รู้สาเหตุ  เราก็แก้ไขมันได้ครับ ผมเคยนั่งวิเคราะห์  ผมพบว่า  นิสัยขี้อิจฉา และไม่ลงมือทำอะไร แต่เฝ้าตำหนิคนอื่นที่เขาทำ  เฝ้าจับผิดสิ่งที่คนอื่นทำนั้น  มาจากพฤติกรรมการเลี้ยงดูของคนไทยครับ คนไทยเราจะมีพฤติกรรมการเลี้ยงดูลูกหลานอย่างนึง ที่สอนๆ กันมา คือ  อย่าไปชมมัน เดี๋ยวมันเหลิง  เดี๋ยวมันได้ใจ    มีอะไรให้ตำหนิ  เด็กมันจะได้หลาบจำ สรุปคือ  เด็กไทยถูกเลี้ยงดูมาโดยการใช้แรงตำหนิด้านลบ (คำติ คำดุว่า ตำหนิติติง)  ไม่ได้มีการสร้างแรงจูงใจให้ทำด้านบวก (คำชม) ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กไทย เมื่อโดนดุ โดนตำหนิติติงในช่วงแรกๆ ก็พยายามปรับตัว เลิกทำในสิ่งที่โดนผู้ใหญ่ตำหนิ (ตรงนี้มีประเด็นเล็กๆอีกอันคือ การตำหนินั้น ไม่ต้องอธิบายเหตุผล ขอให้เป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ต้องเชื่อ เพราะเราเป็นสังคมอำนาจนิยม ไม่ใช่เหตุผลนิยม  สอนกันมาว่า เด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ แทนที่จะสอนให้รู้จักคิดใช้เหตุใช้ผล) เด็กก็พยายามไม่ทำในสิ่งที่ผิดตามที่โดนดุว่า ผลที่ตามมา  ถ้าหากยังอยู่กับคนเลี้ยงดูที่ตำหนิไม่เลิก  ระเบียบจัด อะไรก็ตำหนิ อะไรก็ตำหนิ  ไม่เคยมีคำชมเชยออกจากปาก สุดท้ายก็คือ เด็กก็ปรับตัวให้ดีขึ้นอีกไม่ไหว  เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ด้อยค่า สิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กจะรู้สึกว่าปรับตัวให้ดีขึ้นอีกไม่ไหว และแสวงหา ทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดี นั่นก็คือ  การจับผิดคนอื่น  เพื่อให้รู้สึกว่าคนอื่นไม่ดี  ฉันดี ทั้งหมดเป็นปฏิกิริยาทั่วไปทางจิตวิทยา และถือว่าปกติ เพราะพฤติกรรมการเลี้ยงดู หล่อหลอมให้เด็กไปเป็นอย่างนั้น เมื่อเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รู้สึกว่าถูกจับผิดเสมอ ถูกตำหนิเสมอ สุดท้าย เด็กก็จะไม่พยายามทำอะไร เพราะกลัวโดนตำหนิ  แต่หันไปจับผิดคนอื่น   ในขณะเดียวกัน  ความรู้สึกลึกๆที่อยากทำอะไรบ้าง  ที่ยังอยู่ในใจ  ก็ทำให้พฤติกรรมหันไปรู้สึกอิจฉาคนอื่น ที่ "ลงมือทำ" แล้วทำได้ดี  ร่ำรวย   <ทางแก้ไข> ผมเขียนเรื่องนี้มาหลายหนในเวบ  ผมหวังว่าจะมีคนไทยส่วนหนึ่งได้อ่าน และเข้าใจได้ว่า พฤติกรรมการเลี้ยงดูของคนไทยส่วนใหญ่นั้นไม่ถูกต้อง การเลี้ยงดูเด็ก  ต้องใส่แรงจูงใจเข้าไปทั้งสองด้าน ทำเลวต้องตำหนิ  ทำดีต้องชมเชย   เลิกความคิดบ้าๆ ที่บอกว่า ต้องตำหนิอย่างเดียว ห้ามชม เดี๋ยวมันจะเหลิงได้แล้วครับ คนทำดีต้องให้กำลังใจกัน (สังเกตุสังคมญี่ปุ่น  ฝรั่ง มีการให้กำลังใจกันสูงกว่าของไทยมาก  ของไทย จะมีคนนึงทำ  อีก 10 คนไม่ทำ นั่งรอดูว่าไอ้คน 1 ที่ทำจะทำพลาดตรงไหน แล้วสมน้ำหน้ามัน  ทั้งหมดด้วยเหตุผลที่ผมบอกเบื้องต้น) ผมจึงอยากขอให้ทุกท่านที่มีโอกาสได้อ่านข้อความที่ผมเขียนนี้  ถ้าหากมีบุตรหลานในปกครอง  ท่านสามารถสร้างคนไทยรุ่นใหม่ได้ด้วยตัวคุณเอง ด้วยการปรับการเลี้ยงดู  ต้องใช้แรงผลักดันทั้งสองด้าน ทั้งคำติ และคำชม ให้สมดุลย์กัน (ซึ่งคงยากหน่อยในช่วงแรก ถ้าคุณเป็นเหมือนคนไทยคนอื่นๆที่โตมากับคำตำหนิ การจะมาให้ชมคนอื่น มันฝืนเหมือนกัน แต่ถ้าเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการสื่อ  ก็น่าจะทำได้บ้าง) เด็กที่ขาดการติติง ตำหนิเมื่อทำผิด จะไม่รู้อะไรถูกผิด  โตไปจะกลายเป็นเด็กที่เขาเรียกว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน ทำอะไรไม่เกรงใจคนอื่น  แต่พวกนี้ จะกล้าทำอะไรใหม่  ไม่ค่อยกลัวนั่นกลัวนี่ เด็กที่ขาดการชมเชย เจอแต่คำดุ  การเลี้ยงดูแบบระเบียบจัด  จะกลายเป็นเด็กมีความมั่นใจต่ำ  ไม่กล้าทำอะไร  นั่งจับผิดคนอื่น  ขี้อิจฉา มาสร้างสมดุลย์ในการเลี้ยงดูบุตรหลานของท่าน เพื่อสร้างทรัพยากรที่มีคุณภาพให้ประเทศเราในภายหน้าเถิดครับ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 53 21:11:55 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 53 21:09:16 จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 19:35:37

ความคิดเห็นที่ 16 โดนหลายข้อเลย รู้ได้ไง ไม่เคยบอกใครเลย จากคุณ : prisont เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 19:57:33

ความคิดเห็นที่ 17 มันต้องอย่างนี้สิครับคุณป้อม พูดปัญหาเสร็จ ต้องพูดทางแก้ด้วยครับ เยี่ยมมากๆ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 22:44:51

ความคิดเห็นที่ 18 บอกสั้นๆว่าข้อ2.และ3.มันมีทุกชาติ ส่วนข้อ1.นั่นทำให้ชาติอื่นเจริญ จากคุณ : Schweissnaht เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 22:48:47

ความคิดเห็นที่ 19 คนไทยเราต้องฝึกระบบความคิดแบบนี้ให้ได้ จากคุณ : สงกาดรุณ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 00:49:33

ความคิดเห็นที่ 20 เฉลยเรื่องร้านแว่นหน่อยคับ สงสัยมานานแหละ จากคุณ : TalkingTalk เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 01:01:55

ความคิดเห็นที่ 21 ทุกข้อที่ว่ามานั้น มีทางแก้โดยการปฎิวัติทางวัฒนธรรม เอาแบบถอนรากทิ้งไปเลยนะ จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 01:20:54

ความคิดเห็นที่ 22 มุมมองผมผมมองว่ามันธรรมดานะ ตราบใดที่คนยังมีกิเลส ข้อที่ว่ามาทั้งหมดมันก็ตามมา แต่ผมก็เชื่อว่าหากเราได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง ปัญหาเหล่านี้ก็จะเบาบางลง และผมก็ยังเชื่ออีกว่า ถ้าปัญหาแนวนี้หมดลงเราก็จะมีปัญหาใหม่ๆเข้ามาอยู่ดี เพราะไม่มีอะไรเลยที่มันจะทะลุปรุโปร่งจนกระทั่งไม่มีปัญหา เรื่องการแก้ผมไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ เพราะมันต้องคิดยาวๆและทำเป็นระบบ ให้โพสก็ยาวเกิน ให้พูดไปเรื่อยก้เหนื่อยเกิน ถ้าพูดแล้วไม่มีคนทำ ตอนนี้ผมกับเพื่อนก็เลยเริ่มวางโครงการระยะยาวกันแล้ว แม้ว่าจะทำได้ไม่มาก แต่เราก็เชื่อว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ทว่าเราก็พยายามสร้างผู้นำที่จะทำการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกับเรา ผมเชื่อว่ามันน่าจะทำให้ประเทศนี้พัฒนาไปได้ในทางที่ควรมากขึ้น แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี ถึงตอนนี้มีกระทู้นี้ เอาปัญหามาวิเคราะห์แยกแยะแล้ว มีสมมติฐานแล้ว อย่าลืมสร้างให้มันเกิดขึ้นจริงด้วยนะครับ นี่เป็นสิ่งดีๆที่ผมไม่อยากเห็นว่าเป็นแค่การวางแผนบนกระดาษ ตอบคห20กับจขกทหน่อย จริงๆมีหลายเรื่อง แต่ผมพิมพ์ช้าอ่ะครับ ขอตอบเรื่องนี้ก่อนละกัน ร้านแว่นเป็นอะไรที่กำไรดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ต้องเน้นเยอะๆครับว่ามากจริงๆ เอาแค่ตัวกรอบนี่ก็ ขายอันทิ้งสิบอันยังได้เลย(สำหรับบางรุ่น) อย่างแว่นผมเนี่ย(ที่ใส่ตอนนี้เลย) ผมซื้อมาเป็นแว่นจีนทำเลียนยี่ห้อดังของฝรั่ง ผมซื้อมาอันละ700บาทถ้วน พอให้รุ่นพี่ไปเช็คราคาในห้างมา อัันละ 4000กว่าบาทครับ ลองคิดดูละกันว่าเค้าขายผม700บาทเนี่ยต้นทุนคงไม่ถึง500แต่พอไปอีกร้านเข่นกำไรไปเกือบสิบเท่า (ขายกรอบอันเดียวปิดร้านนอนเล่นยังได้เลยนั่น) แล้วแว่นแบบไทเทเนียมที่มันงอๆได้ เอาว่าขายกันแบบถูกๆเลย 3000 บาท ขอโทษครับ ไปโรงเกลือแบบเดียวกันเลยเพื่อนผมได้มา500บาท นี่ยังไม่รวมแว่นที่ซื้อกันแบบ1000-2000บาทนะครับ แว่นแบบนั้นถ้าซื้อนอกร้านแว่น จะเหลืออันละ100-200บาทเอง แต่ถ้าไปเหมาโหลที่คลองถมอันละไม่ถึง50บาท ที่บอกว่าร้านแว่นไม่มีคนเข้า ร้านแว่นนะครับไม่ใช่เซเวน ร้านแบบนี้คนเ้ข้าไปนี่ซื้อแทบจะร้อยละร้อย แล้วซื้อทีก็สองสามพันอย่างต่ำ วันนึงเค้าเปิดร้านสมมติว่า10.00-20.00 เอาว่าสิบชมต่อวัน ลูกค้าเข้าสองชมต่อคนเลยเอ้า (คือคนเข้าน่ะมีถ้าเราไปนั่งเฝ้าร้านไว้ แต่ส่วนใหญ่เราเดินผ่านๆ เราไม่เห็นคนพลุกพล่านเหมือนเซเวนหรอกครับ) ตีว่าลูกค้าเข้าวันละห้าคน ซื้อคนละสามพัน หักกำไรแบบคิดว่าเค้าไม่เอามากนะ กำไรต่อลูกค้าคนละพันห้าก็พอ สรุปวันเดียวกำไรไปแล้ว 7500 บาทคูณ30วันเข้าไป45000บาทเข้าไปแล้ว นี่ผมคำนวณแบบน้อยๆแล้วนะครับ บางคนซื้อกรอบก็เลยสามพันไปแล้ว แล้วกำไรมันไม่ใช่เท่าเดียวอยู่แล้ว ไหนจะถ้าคนเข้ามากกว่าห้าต่อวันอีก ผมเคยถามรุ่นน้องที่ทำร้านแว่นกับนาฬิกา เค้าบอกว่าช่วงดีๆขายได้วันละเป็นแสน ช่วงนี้แย่ๆก็สามสี่หมื่น แล้วลองคิดกำไรกลับมาสิครับ ว่าร้านเล็กๆแค่นั้นยังกำไรไปเท่าไหร่ เคยแซวเค้าไปว่ากำไรหลายสิบเปอเลยนะเนี่ย เค้าหันมาทำหน้างงๆแล้วบอกว่า "หลายร้อยตะหากพี่" แล้วร้านพวกสาขามีระบบสต็อกที่ดีกว่า มีร้านมากกว่าลดค่าโสหุ้ยไปได้อีก ผมยังแอบคิดอีกว่าทำเลที่เค้ามีคือตามตลาดและแหล่งชุมชน ถ้าเค้าซื้อห้องไว้เลยนะ เค้าจะกำไรที่ดินอีกเท่าไหร่ เท่าที่ผมรู้จักคนขายแว่น คนซื้อแว่น ผู้จัดการร้านแว่น คุยกับคนกลุ่มนี้ทีไร อยากเปิดร้านแว่นเองทุกทีไป และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมไม่ซื้อกรอบร้านแว่นเลย ซื้อข้างนอกไปเองทุกครั้ง (@_@) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 07:00:46

ความคิดเห็นที่ 23 ดีครับเปนกระทู้ที่ดี แต่อยากบอกว่ายังมีอีกหลายอย่างน่ะครับ เช่น วินัย วินัยการใช้ชีวิตและวินัยการเงิน เห็นได้ว่าคนไทยเป็นหนี้เยอะมาก จากการเห็นของสวยงามในห้างสรรพสินค้าแล้วก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ ใช้เงินเกินเลย วินัยการใช้ชีวิต เคยไปเมืองนอก ไกด์ถามว่า นัดเวลาเมืองนอก หรือเวลาเมืองไทยคะ หมายความว่าถ้าของไทยนี่มันต้องเลทเพิ่มเข้าไปอีก แล้วแบบนี้คุณจะทำธุรกิจกับต่างบ้านต่างเมืองเค้าได้อย่างไรกันนี่ ยังมีอีกเยอะ แต่ส่วนใหญ่ที่สำคัญนะ คนไทยชอบพูด แต่ไม่ลงมือทำอ่ะ เคยไปประชุมสัมมนาปัญหาโน้นนี้ หลายงานมาก เหมือนไปฟังเค้าเล่า ฟังเค้าบ่น หรือไปรับฟังเฉย ๆ แต่สุดท่ายปัญหายังคงอยู่อ่ะครับ แล้วจะประชุมเพื่อ...... จากคุณ : mix_more เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 09:09:33

ความคิดเห็นที่ 24 ข้อแรกผมเหนด้วยนะ แต่ข้อสอง สาม เฉยๆ สำหรับผม ผมมองว่าคนไทยไม่มีจิตสาธารณะครับ เรามักจะเอาเปรียบสังคมเมื่อเรามีโอกาส ทำให้บ้านเมืองไม่สามารถพัฒนาได้ จากคุณ : งุ๊งงิ๊งนุ๊งนิ๊ง เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 11:33:34

ความคิดเห็นที่ 25 สงสัยกระทู้ ทำไมต้อง คนไทย ครับ คนทั่วไปได้ไหม หรือ3นิสัยนี้ ในประเทศ ลาว อินโด ศรีลังกา เปรู เฮติ อูกันดา เค้าไม่มีแบบนี้กัน แล้วไอ้นิสัยที่ชอบพูดว่า "คนไทยแย่อย่างนู้น คนไทยไม่ดีอย่างนี้ " ก็น่าจะเป็นนิสัยหนึ่งที่ทำให้คนไทยไม่พัฒนาเหมือนกันหรือเปล่า??? อันนี้เป็นวิทยาศาสตร์นะครับ มันเป็นกฎของแรงดึงดูด ไม่ได้ว่าเจ้าของกระทู้นะครับ แค่แย้ง 1 อย่าเหมารวม 2 อย่าดูถูกตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบมาก มันจะดึงดูดสิ่งที่เป็นลบเข้ามาในชีวิต จากคุณ : typeV เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 12:06:12

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่สนวิธีการ สนแต่ผลลัพธ์ ทำให้องค์กรและประเทศไม่พัฒนา บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรและประเทศพัฒนา นะครับ ยกตัวอย่างเช่น "เอาน่า ไฟแดงแป๊บเดียว ยังพอผ่าๆไปทัน ไม่เป็นไรๆ " ## ผลลัพธ์คือไม่เสียเวลา ## มันก็ถูกต้องของคุณแล้ว ถ้าคุณไปเน้นที่ไม่เสียเวลา แต่ถ้าคุณเน้นผลลัพธ์เรื่องความปลอดภัย แน่น่อนมันคือสิ่งที่ผิด ใันอยู่ที่ว่าคุรตั้งผลลัพธ์ อย่างไรมากกว่า จากคุณ : npn เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 13:26:52

ความคิดเห็นที่ 27 เป็นมุมมองจากคนชาติไหนครับ? ของเราเองหรือว่าชาติอื่น? แล้วบทความนี้ หมายถึงคนไทยกลุ่มไหน? 1.ไืทยแ้ท้ 2.ไทยจีน 3.ไทยลาว 4.ไทยเขมร 5.ไทยมอญ 6.ไทยญวน 7.ไทยแขก 8.etc จากคุณ : head of a nail (headofanail) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 16:32:13

ความคิดเห็นที่ 28 15 ใช่เลย.... แต่..ถ้าอะไรที่เค้าติมากๆเราจะทำ อะไรที่เค้าไม่ติเราจะเฉยๆ ใครดีมาก็ดีครับใครติมา กวน..กลับ ๕๕๕ แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 53 20:32:39 จากคุณ : cadenza เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 20:29:00

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นด้วยคับ อยากให้ส่งเสริมโอกาสให้ไปถึงคนจนมากขึ้น การศึกษา ภาษาอังกฤษ วิธีทำการค้า ไม่ใช่ให้แต่ละครน้ำเน่ากับพวกเขาโดยบอกว่ามันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด จากคุณ : pot เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 21:00:54 A:125.27.38.211 X: TicketID:287065

ความคิดเห็นที่ 30 สมัยเรียนจำได้ ตอนทำข้อสอบคณิตศาสตร์ ผมก็มีวิธีการทำที่แตกต่างออกไป ผลลัพธ์ได้เหมือนกันทุกประการ แต่วิธีการของผม สั้น กระชับ มีที่มาที่ไปชัดเจน แต่ตกครับ 555  สรุป มันเป็นสูตรต้องท่องจำ คนไทยถูกสอนให้ท่องจำครับ ไม่ได้ถูกสอนให้คิดเป็น จากคุณ : oker เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 22:41:25

ความคิดเห็นที่ 31 ประเทศจะพัฒนาได้ต้องเอาพวกโกงกินบ้านเมืองทั้งนักการเมืองและ อื่นๆๆๆ ที่ไม่สามารถเอามาพูดได้ไปตายให้หมดแล้วร่างกฎหมายประชาชนประชาทัณฑ์พวกโกงกินได้หากมีหลักฐานชัดเจนครับ แต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะไม่ว่าที่ไหนๆก็จะมีผู้นำเลวๆที่โง่น้อยกว่าคนส่วนใหญ่หน่อยมาจูงจมูกหลอกแดร๊กไปเรื่อยๆอยู่ร่ำไป จากคุณ : Windows X เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 53 04:04:44

ความคิดเห็นที่ 32 ขี้เชลีย ประจบสอพลอ  อีกอย่างครับ เห็นได้ดี มาหลายคนแระ จากคุณ : SuperunknowN เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 53 07:55:44

ความคิดเห็นที่ 33 เพิ่ม ไม่มีความรับผิดชอบ ด้วยครับ จากคุณ : isunsunsun (QuickSun) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 53 12:50:04

ความคิดเห็นที่ 34 บางเรื่องก็ขำขำ นะครับ โดยเฉพาะ วินนิ่ง  ผมเป็นบ่อย จากคุณ : chavas เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 03:12:39

ความคิดเห็นที่ 35 คนที่ไม่เข้ากลุ่มนินทาหรือคนที่ไม่จับผิดใคร ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพียงอย่างเดียว ถือว่าบกพร่องด้านมนุษยสัมพันธ์อย่างร้ายแรง และจะถูกจ้องจับผิดหรือถูกแอนตี้เสียเอง เคยอ่านเจอที่ไหนสักแห่ง เขาแนะนำว่า "อย่าทำตัวดีเกินไป" จริงหรือไม่ ลองใช้วิจารณญาณดูนะคะ ไม่เกี่ยวกับเนื้อหากระทู้โดยตรง แต่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมการทำงานของคนไทยได้เป็นอย่างดี และถือเป็นอุปสรรคในการพัฒนาองค์กรอยู่เหมือนกัน (ความเห็นส่วนตัว) บุญรักษาค่ะ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 53 14:23:33 จากคุณ : wanalee เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 14:08:19

ความคิดเห็นที่ 36 #35  มาจากสุนทรภู่ครับ  น่าจะมาจากเรื่องพระอภัยมณี 'ทำตัวดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย  ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน' จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 01:33:22

ความคิดเห็นที่ 37 โชคดีจังเราไม่ค่อยว่าคนไทยกันเองเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เราจะด่าฝรั่งมากกว่า ทำไมมันยังโง้นว่ะ ทำไมมันยังงี้หว่า ยิ่งพวกละตินอเมริกานี่ โหยไม่อยากจะพูด ยืนต่อคิวอยู่ดีไอคนข้างหน้าเราดันจองคิดให้เพื่อนอีกสองคน ดู้มันทำ น่าเกลียดจริง ๆ คนทีใหนก็มีนิสัยดีไม่ดีต่างกันไป ถ้าเรารู้จุดอ่อนของเราก็มาปรับปรุงกันเถอะ พูดแต่จุดไม่ดี จุดดี ๆ ของคนไทยก็มีเยอะนะค่ะ อย่าว่าแต่คนไทยเลยที่ชอบพูดแต่ด้านที่ไม่ดี คนเกาหลีจริง ๆ แล้วคนในประเทศเค้าแรงกว่าเรานะค่ะ จากคุณ : รั่วนิดหน่อยพอเป็นกระสัย (คนห่างบ้าน) เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 53 10:55:55