ความคิดเห็นที่ 1 การทำงานจริงๆไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาสักเท่าไหร่ แต่ภาษาอังกฤษได้ใช้แน่ๆ เรื่องงานฝึกกันไม่ยาก อย่างที่ทำงานผม คนที่จบ ABAC จะต่อโทนอกซะส่วนใหญ่ ภาษาอังกฤษแข็งโป้ก จากคุณ : WangYu เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 14:42:41

ความคิดเห็นที่ 2 ล่อเป้าเต็มๆ เลยล่ะ ... เอาว่า ทุกคนรักสถาบันการศึกษาของตัวเองครับ การที่ใครจะพูดถึงสถาบันการศึกษาไหนในทางที่ดี จนอาจจะรู้สึกเหมือนการยกยอ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรไม่ใช่หรือ สังคมหรือคนรอบตัวน้องเขาอาจจะชมสถาบันการศึกษาหนึ่งเป็นพิเศษ แต่สังคมอื่นๆ ที่คุณยังเข้าไม่ถึงล่ะครับ เขาก็อาจจะพูดถึงสถาบันการศึกษาอื่นในลักษณะเดียวกัน ผมว่าสิ่งที่คุณเข้ามาตั้งกระทู้แบบนี้ โดยที่บอกว่าตัวเองเรียนอยู่ ม.5 ก็พอจะเข้าใจนะ คุณน่าจะคิดได้เองบ้างว่า สมาชิกในบอร์ดสีลม น่าจะมีคนที่เรียนจบจากหลากหลายสถาบัน และส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน หรือ อาจจะอยู่ในวัยตั้งต้นชีวิตที่เป็นอิสระจากหน้าที่การงานรายเดือน และ ผมก็ไม่เคยเห็นว่า สมาชิกท่านไหน แสดงออกแบบชัดเจนในเรื่องสถาบันเลยซักคน เอาว่า อย่าหาว่าคนแก่พูดมาก เรื่องมากเลยนะ ขอซักหน่อยก็แล้วกัน การมี connection ที่ดี, การมีโอกาสในหน้าที่การงาน, การมีโอกาสทางสังคม, การมีโอกาสได้รับโอกาสจากการแข่งขัน ทั้งในด้านการงานและชีวิต จริงอยู่ส่วนหนึ่งมาจากสังคมที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษา แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่ตัวบุคคลนะครับ คนเรามีสังคมของตัวเอง ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมในแต่ละวัย และโอกาสที่คุณฉกฉวยเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าคุณไม่ดิ้นรนไขว่คว้าหาโอกาส คุณก็จะแค่ปล่อยให้ชีวิตของตัวเองไหลไปตามกระแสเวลาของตัวคุณเอง สิ่งต่างๆ ที่คุณมองว่าคนอื่นเหนือกว่า ได้เปรียบกว่า มันก็จะล่องลอยอยู่ในอากาศอยู่อย่างนั้น และคุณก็จะได้แต่รำพันว่า "ทำไมๆ" ต่อไป คนเราถ้าวิ่งเข้าใส่สิ่งที่ตัวเราเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาส ต่อให้วิ่งชนแล้วเจ็บตัวเหมือนวิ่งชนกำแพง ถ้าลุกขึ้นแล้ว ไขว่คว้ามันต่อไป อาจจะเหนื่อย จะท้อ แต่เราไม่ตายนี่ครับ ในเมื่อคนเราเกิดมา "มี" ไม่เท่ากัน ตราบเท่าที่คุณยังมีลมหายใจ ชีวิตมันก็ต้องอยู่ต่อไป การสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐ อัตราการแข่งขัน 1 ต่อเท่าไหร่ครับ ไม่แปลกหรอกนะครับถ้าจะมีคนที่มีศักยภาพด้านการเรียนสูงๆ แต่ไม่สามารถสอบผ่านเข้าไปได้ แต่เป้าหมายสุดท้ายของการเรียนระดับอุดมศึกษาให้จบ คือ อะไร คุณถามตัวเองหรือยัง มันวัดกันแค่ที่ใครเรียนเก่งกว่าหรืออย่างไร เรื่องค่าเล่าเรียน ผมอิจฉาน้องๆ สมัยนี้ด้วยซ้ำ ที่ค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนกู้ยืมรัฐบาลได้ จากคุณ : Valard เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 15:19:37

ความคิดเห็นที่ 3 เท่าที่ผมเห็น...... ไม่เทพ หรอกครับ . . แต่เป็น นางฟ้า อ่ะ จากคุณ : นักการตลก สีหวาน (Dr. Will) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 15:20:34

ความคิดเห็นที่ 4 มีตัง !!! จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 15:39:17 A:124.122.173.38 X: TicketID:210955

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่เห็น คนจบตรี ต่อโท เมืองนอกยูทอป มีเด็ก ABAC ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ถ้าสาย Enginering and science ที่ไปต่อยูทอป  ทั้ง MIT,Berkeley,Caltech,git,UTA อะไรประมาณนี้ จะเป็นเด็กจาก จุฬา เกษตร ลาดกระบัง ซะมากกว่ามาก ถ้าสาย Business นี่ มธ. กับ จุฬา เข้ายูทอปได้เยอะนะ ทอปนี่คือ Kellogg,Harvards,Wharton ไรพวกนี้ ไม่นับออสเตเลีย เพราะยูทอปของ ออส เข้าง่ายก่า ยูทอป อเมริกาเยอะ แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 53 15:50:34 แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 53 15:47:18 จากคุณ : mm_takky เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 15:44:42

ความคิดเห็นที่ 6 เราก็เรียนเอแบคอยู่ คิดว่าเด็กที่นี่ไม่ได้เทพไปกว่าที่อื่นเท่าไหร่ มีในทุก ๆ ระดับ เด็กที่เทพ ๆ ส่วนมากจะเป็นพวกเด็กทุน คือเรียนเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เด็กกลาง ๆ จะเป็นพวกมีกิจการที่บ้าน พวกนี้บางทีก็ต่อโท หรือไม่ก็ทำงานที่บ้านต่อ เด็กไม่ค่อยเก่งมาก หรือคนที่เอนท์ไม่ติด มักจะอยู่เอแบคได้ไม่นาน ถ้าไม่เรียนพิเศษหรือฟิตจริงๆ แล้วแต่คนจะคิดนะ เราว่าทุกมหาลัยก็มีเด็กหลายๆแบบ  : ) จากคุณ : hmeaw_nb เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 16:05:10

ความคิดเห็นที่ 7 คนเข้าที่นี่มันก็มีหลายแบบ - เอ็นไม่ติดแล้วเข้ามา - เข้ามาแบบทุนเรียนดี - สอบเข้ามาเอง - ไปเรียนนอกมาแล้วต่อ U นอกไม่ได้เลยกลับมา มันก็มีทุกแบบแหละครับ แต่ส่วนมากจะมีฐานะระดับนึง หลักสูตรมันก็มาจากหนังสือที่เค้าๆใช้กันในมหาลัยรัฐเนี่ยแหละครับ แต่จะเก่งไม่เก่งมันก็อยู่ที่คนเรียนเอง แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 53 16:08:46 จากคุณ : photography เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 16:07:39

ความคิดเห็นที่ 9 11 จากคุณ : 11 เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 16:19:12 A:125.26.192.145 X: TicketID:162993

ความคิดเห็นที่ 10 ในมุมมองของผมซึ่งจบจากเอแบค จะบอกว่าทำไมคนทั่วไปถึงมองว่าเอแบคดี เท่าที่คิดได้ตอนนี้นะ 1. มีฐานะ ยังไงก้ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีพอสมควร พ่อแม่สนับสนุน เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กเอแบคจะมีความสามารถนอกเหนือจากการเรียนก็ไม่แปลก อยากได้อะไรอยากทำอะไรก็ได้ทำ 2. ต่อโท ทั้งไทยหรือต่างประเทศก็ต้องมีชื่อเด็กเอแบคอยู่เยอะ เพราะมีเงินไง คนที่ไม่มีเงินแต่หัวธรรมดา จะต่อโทมันก็ลำบากนะ เชื่อผมเหอะ หลายๆคนทำงานมาหลายปี ยังไม่มีปัญญาเก็บเงินไปจ่ายค่าเทอมเรียนโทเลย ต้องแบมือขอเงินที่บ้านตามสไตล์คนไทย 3. ที่บ้านมีเงินให้ลงทุน หรือไม่ก็มีกิจการดีๆรอไว้อยู่แล้ว การจะเป็นคนมีฐานะ ผู้คนนายคน มีเงินใช้สบายๆ มันไม่ได้ยากเลยสำหรับเด็กเอแบค สรุปคือ คอนเนคชั่นที่ผมได้จากเอแบคเนี่ย ถือว่ามีค่ามากสุดๆ ถ้าเทียบกับที่อื่นก็อาจจะมีคนมีฐานะมีหน้ามีตาพอๆกัน แต่ถ้าเทียบอัตราส่วนแล้ว เอแบคมีมากกว่าไงครับ (อย่างที่จขกทบอก ไม่นับ จุฬา มธ นะครับ อันนี้สุดยอดของคอนเนคชั่นเลยแหละ) ทีนี้มาลองดูคุณสมบัติบ้าง เด็กเอแบค เป็นคนที่เอนท์ไม่ติดจริงหรอ? ตอบว่าจริงส่วนนึงครับ แต่อย่าลืมว่า คนหลายๆคนตรงเข้าเอแบคเลย โดยที่ไม่ได้เอนท์ หรือเอนท์ติดแต่ได้คณะไม่น่าสนใจ ผมเองก็เข้าเอแบคโดยตรงโดนที่ไม่ได้สนใจที่จะเอนท์ เพราะต้องการเรียนบริหารอยู่แล้ว ส่วนเด็กที่โง่จริงๆ เรียนไปปีแรกเค้าก็รู้ตัวแล้วล่ะครับว่าเรียนไม่ได้ เพื่อนผมหายไปเกินครึ่งห้องครับ แล้วเด็กที่ตัดสินใจจะเรียนที่นี่ ถ้าไม่มีภาษาในหัว ไม่มั่นใจเลย ไม่มีทางมาเรียนหรอกครับ อย่างน้อยๆก็ต้องมั่นใจและตั้งใจว่าจะเรียนก่อนเลย คนที่ไม่กล้าก็ต้องไปเรียนที่ ม.เอกชนที่อื่น มีเงินหน่อยก็ไปเรียน ม.ไฮโซที่อื่นแทน บางที่ค่าเทอมน้อยกว่าเอแบคไม่เท่าไหร่หรอก บางที่ก็เยอะกว่า (ผมเอาเฉพาะคณะดังๆของเอแบคนะ อย่างบริหารหรือศิลปศาสตร์) ทัศนคติก็สำคัญนะครับ ต่อให้คุณเอนท์ไม่ติด แต่ถ้าคุณจะเข้าเอแบค คุณต้องคิดหนัก ไม่งั้นจะกลายเป้นเสียเงินเสียเวลา ต้องไปซิ่วไปเรียนที่อื่น ถ้าเป็นคุณ คุณอยากได้ใครมาทำงาน? คนที่กล้าสู้ของที่ยากหน่อย กับ คนที่เลือกตัวเลือกธรรมดาๆ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว สุดท้ายนี้อยากบอกเลยว่า ที่ผมได้งานดีๆ หางานง่ายๆนี่ เพราะชื่อมหาลัยครับ จบมา ยื่นใบสมัครไปเลย เค้าเห็นว่าจบจากเอแบคก็เรียนสัมภาษณ์แล้วครับ ถือว่าเค้าเปิดโอกาสให้เด็กเอแบคมากกว่า ส่วนจะได้งานหรือไม่นั้น อยู่ที่ตัวเอง จากคุณ : CoollyCat เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 17:07:58

ความคิดเห็นที่ 11 ผม อยากจะบอกให้ จขกท ได้ทราบข้อมูลบางอย่างที่เป็นเรื่องจริง ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างในวงการวิศวกรรมเท่านั้นนะครับ คุณเคยเห็น คนที่จบวิศวะฯจาก ม.เอกชน เข้าไปทำงานที่บริษัทน้ำมันเหล่านี้หรือไม่(ผมว่าน้อยมาก ไม่ถึง 5%) เช่น ปตท สผ, Chevron, Thai-oil, Schlamberger, Weatherford คุณเคยเห็น คนที่จบวิศวะฯจาก ม.เอกชน ไปเรียนที่  MIT,Stanford University, University of Cambridge, Imperial College London,University of California, Berkeley แล้วทำงานต่อด้านวิชาการ เช่น อาจารย์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ (ผมไม่ค่อยเห็นผลงานของกลุ่มคนเหล่านี้ในแวดวงมากนัก) คุณเคยเห็น คนที่จบวิศวะฯจาก ม.เอกชน ได้ทุน "อานันทมหิดล" บ้างหรือไม่ครับ ที่ผมกล่าวมานั้นเพราะผมเห็นอย่างที่ว่ามานั้นจริงๆครับ (ถ้า จขกท มีข้อมูลไม่ตรงกับผมก็สามารถแย้งมาได้เลยน่ะครับ)และผมเคยได้ร่วมงานกับกลับกลุ่มเหล่านี้แล้ว พบว่าส่วนใหญ่ วิชาการยังไม่ค่อยจะได้ครับถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่ม ม.รัฐ (ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ...) ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กลุ่ม ราชมงคล, ราชภัฏ "เพราะฉะนั้นถ้าใครมีความเห็นที่ว่า เรียน ม.รัฐ กับ ม.เอกชน จบมาก็เหมือนกัน ผมขอเถียงหัวชนฝาเลยครับ" จากคุณ : ดร.ขรัวเฒ่า เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 17:27:16

ความคิดเห็นที่ 12 มันก็แล้วแต่คณะนะ อย่างเอแบค พวกวิศวะ จบปีหนึ่งประมาณ สิบคนยี่สิบคน จะให้ไปติดม.ท็อปในปริมาณมาก ๆ ได้ไง - - อย่างม.รัฐอาจจะไปต่อได้เยอะก็จริง แต่ถามหน่อยเหอะ ไปได้หมดหรอ ? เทียบกับอัตราเฉลี่ย เราว่าฐานเงินเดือนเอแบคได้เยอะกว่าบางม.นะ รุ่นพี่ที่รู้จัก ๆ ส่วนมากก็ไปทำงานกับบริษัทต่างชาติกันหมด จากคุณ : hmeaw_nb เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 17:43:01

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 11 จ้าาา จากคุณ : โลกนี้สดใส หัวใจสีชมพู เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 17:45:08

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องยอมรับว่าจบแต่ละที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ในสายตาของสังคมอะนะ อยากให้สังคมมาโฟกัสตรงที่ เอาความรู้ความสามารถที่ได้มา ประยุกต์เข้ากับงานและสังคม มาพัฒนาองค์กร สังคม และประเทศชาติจะดีกว่าไหม? อย่างที่ทำงานเรายอมรับเลยว่ามีจบตั้งแต่ดร. ยันจบป.ตรีทั่วไป จบตั้งแต่มหาวิทยาลัยชื่อดังทั้งไทยและเมืองนอก ปะปนกันไป รวมถึงกลุ่มราชภัฎด้วย ผมว่าบางคนราชภัฎเค้าก็ทำงานเก่ง คือรับผิดชอบงานที่ตัวเองทำให้มันดีที่สุด ผมก็มองข้ามตรงที่ว่าเขาจบราชภัฎแล้ว ปล.ส่วนตัวผมก็จบม.ไม่ดังหรอกนะ ไม่รู้จะแชร์ไรมาก ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับกระทู้ด้วยหรือเปล่า55 ไปละเฟี้ยวววว จากคุณ : Badromance เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 18:09:36

ความคิดเห็นที่ 16 ผมขอยืนยันครับ เพื่อนที่ทำงานผม และคนที่ผมรู้จักที่จบจาก ABAC เก่งทุกคนครับ นิสัยดีด้วย จากคุณ : timemaxs เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 19:03:00

ความคิดเห็นที่ 17 มีเพื่อนเราบางคนเก่งวิชาการมากๆ แบบ ทอป ของห้องสายวิทย์ เข้าเอแบค เพราะได้ทุนก็มีนะ  เด็กเอแบคบางคนที่เก่งวิชาการจริงๆแบบเทียบเท่าคนเรียน ม.รัฐเราว่าก็มีนะ แต่อาจจะแค่บางส่วน ส่วนโดยรวม ในแง่ของวิชาการก็คงด้อยกว่าม.รัฐเหมือนคห 11 บอกแหละค่ะ แต่เอาจริงๆ งานทุกอย่างมันใช้แต่วิชาการหนักๆอย่างเดียวเหรอ  ก็เห็นมีแต่สายอาจารย์มหาลัย หรือนักวิจัยบ.ใหญ่มากๆ (เมืองไทยมีไม่กี่บ.ที่มีเงินระดับจ้างนักวิจัยจบโทจบเอกเมืองนอก และมีแลปวิจัยใหญ่ๆเอง) ซึ่งคนจบม.ดังๆ ยูดังๆ เค้าก็คงมุ่งไปทางนั้น น้องยังเด็ก คงแค่มอง destination ถึงแค่ จบตรีแล้ว เข้ายูอะไรได้  หรือแค่ จบยูอะไรมา แล้วมาเริ่มงานเป็นอาจารย์ เป็นนักวิจัย  โห มันเริ่ด ใช่ แต่ถ้ามอง destination คือการทำงานในระยะยาว หรือแม้กระทั่งภาพรวมของประเทศ  ประเทศเรา หรือประเทศไหนๆ ก็คงไม่ต้องการแค่นักวิชาการ ธุรกิจอื่นๆส่วนใหญ่ มันไม่ต้องใช้วิชาการขนาดนั้น  เราต้องการคนปฏิบัติมากกว่า   คนเก่งวิชาการ ใช่ว่าจะปฏิบัติงานเก่ง    คนจบเอกชนหลายๆคน ทำงานดีกว่า ถึกกว่า คนจบม.ดังๆนะ ไม่เรื่องมาก ไม่เกี่ยงงานด้วย อันนี้เรื่องจริง ฉะนั้น กะลังจะบอกว่า อย่าไปมองว่าคนเก่งวิชาการ เข้ายูนั้นยูนี้ได้ มันเริ่ดมากไปหมด   เริ่ดในแง่วิชาการ ความเก่งล่ะใช่ ยอมรับ   แต่เริ่ดกว่าทุกด้าน มันคงไม่ใช่ คนเก่งวิชาการ ก็เหมาะกับงานประเภทนึง  คนไม่เก่งวิชาการ ก็เหมาะกับงานอีกประเภท  เปรียบเทียบกันไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร จากคุณ : Queen of hearts เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 19:04:51

ความคิดเห็นที่ 18 ABAC คล้ายๆ กับรามอยู่อย่าง คือเข้าง่าย แต่จบยาก ไม่ได้ปล่อยเด็กจบมั่วซั่ว เพราะฉะนั้นถ้าจบ ABAC 4 ปีก็ถือว่ามีภาษีดีระดับหนึ่ง จุดขายอีกเรื่องก็คือเรื่องภาษา และสังคมเพราะคนจะเรียน ABAC ต้องรวยด้วย เพราะฉะนั้นเรื่อง Connection ก็จะค่อนข้างดีเพราะแทบทุกคนเป็นเด็กมีฐานะ จากคุณ : Roby เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 19:19:32

ความคิดเห็นที่ 19 เด็ก ABAC อย่างอื่นขั้นเทพเปล่าไม่รู้ แต่ภาษาอังกฤษขั้นเทพแน่ เพื่อนแต่ละคนที่จบ ABAC ว่าไม่ค่อยได้ภาษาแล้วนะ เจอฝรั่งที่ไหร่ พูดได้ตอบคล่องไม่ต้องคิดนาน พี่เราก็จบ ABAC ไปเรียนต่างปท โดยไม่ต้องปูพื้นฐานภาษาก่อนเลย ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้เรายังอยากเรียน ABAC เลย จากคุณ : คุณหนูไม่ไฮโซ เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 19:22:01 A:58.11.48.190 X: TicketID:293115

ความคิดเห็นที่ 20 แค่จะบอกว่าคนที่เรียนม.เอกชนจะว่าเอ็นไม่ติดแล้วมาเข้าจะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่นะคะ   เพื่อนเราคนนึงเรียนเก่งมาก  แต่ที่ได้มาเรียนม.เอกชนเพราะเอ็นท์ไม่ติดคณะที่เลือกเป็นอันดับ 1 น่ะค่ะ ส่วนที่2  ติดแต่ก็ไม่เอา มันก็เลยมาเรียนเอกชนแทน จากคุณ : Konba_naruK เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 19:40:37

ความคิดเห็นที่ 21 ขอตอบในฐานะคนที่คุ้นเคยกับเอแบคเป็นอย่างดี และก็มีเพื่อนเรียนเอแบคเยอะนะครับ ขอตอบเป็นข้อ ๆ ตามที่ จขกท. เอ่ยยย มาก็แล้วกัน 1. เด็กเอแบคไมจำเป็นต้องเอนท์ไม่ติดอย่างเดียวถึงมาเรียน แต่พ่อแม่ อยากให้ลูกได้ภาษา หรือเด็กเรียนอัสสัมฯ กันมา ก็ต่อมหาลัยเครือเดียวกัน เพราะสังคมดูดี เพื่อนเยอะ คอนเน็คชั่นดี บางคนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อยู่ รร อัสสัม ก็เป็นเพื่อนกันมาจนจบ ป.ตรี 2. ถ้าถามว่าเด็กเอบคเก่งเทพหรือไม่ ตอบในฐานะที่คุ้นเคย สำหรับผมคื "ไม่" เอแบคก็เหมือนมหาลัยเอกชนทั่วไปที่เป็นมหาลัยเอกชนระดับท๊อป ที่หลักสูตรอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกับมหาลัยอื่น ไม่ใช่ว่าเก่งเทพ ถ้าเก่งเทพจริง คงไม่ต้องมาเรียนหรอก แค่คุณเป็นอัจฉริยะสร้างอะไรมาสักอย่างแล้วรวย นั่นแหละคือ "เทพ" เอแบคไม่ได้ "เทพ" แต่ที่คนมองว่าเทพคือ ที่นี่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่จริง ๆ แล้วผมมองว่าที่นี่เด่นแค่ภาษา วิชาการก็เหมือนมหาลัยทั่วไป 3. ถ้าพูดถึงโดยรวมความเป็นเอแบค ผมมองว่าเด็กที่นี่มีคุณภาพที่ดีมาก ๆ เช่นแต่งตัวดี หน้าตาดี (หล่อ สวย) การวางตัว รู้จักกาละเทศะ เข้าสังคมเก่ง ผู้หญิงที่นี่มักสวย แต่ถ้าผู้ชายมักไม่หล่อ แต่ถ้าหล่อ ก็หล่อแบบ "เทพ" ฝากไปถึง คห. 8 สาเหตุที่นักเรียน นักศึกษาซิ่วจากเอแบค ไปเรียนมหาลัยอื่นนั้น คงไม่ใช่เพราะว่าเอแบคยากเทพมั้งครับ จากที่ผมซาวด์เสียงเพื่อนที่ซิ่วไปเรียน ม.กรุงเทพบ้าง หอการค้าบ้าง มันมีปัจจัยหลายอย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเอแบคยากเทพ แล้วคนซิ่วเรียนไม่ไหว จากการที่ได้พูดคุยมีหลายแบบครับ 1. เรียนเอแบคแล้วเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเดี้ยนไม่แข็ง เลยไปเรียน ม.กรุงเทพ หรือหอการค้า อันนี้เราต้องยอมรับในตัวบุคคลเป็นรายไปว่า เค้าไม่เก่งภาษาจริง ๆ เพราะเอแบคมันเรียนไม่เหมือนชาวบ้าน คือมันเรียนเป็นภาษาอังกฤษไง ถ้าเอแบคเรียนเป็นภาษาไทย มันคงไม่ซิ่วไปที่อื่นหรอก 2. เรียนเอแบคแล้วไม่ชอบอาจารย์แขก อินเดีย พม่า ฟิลิปปินส์ ฟังไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ชอบสังคมการเรียนที่มีอาจารย์แบบนี้ (เคสนี้ผมเห็นเยอะมากกว่าเคสแรก) ถ้ามาเรียนมหาลัยเอกชนที่เป็นอินเตอร์อื่น เช่น ม.กรุงเทพอินเตอร์ มันเรียนกะอาจารย์ฝรั่งเพียว ๆ นักศึกษาแฮปปี้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองจ่ายค่าเทอมแล้วคุ้ม ไม่มีพม่า แขก ฟิลิปปินส์ให้กวนสมอง นี่คือสาเหตุอีกประการหนึ่งที่เด็กเอแบคชอบซิ่วไปมหาลัยอื่น 3. มหาลัยที่คุณยกมามีมหาลัยผมอยู่ในนั้น ม.กรุงเทพ คุณเชื่อรึเปล่าว่า ม.กรุงเทพก่อนเข้าไปเรียนมันต้องมีสอบเข้าด้วย? เด็กที่สอบเข้าไม่ได้ในแต่ละปี ยังมีเยอะกว่าเด็กเอแบคที่ภาษาห่วยแตก แต่สอบเข้าไปเรียนเอแบคได้เยอะก็แล้วกัน 4. ที่ทำงานผมมีเด็กเอแบค 2 คน แต่ละคนภาษาไม่ได้เรื่องเลยสักคน คือเค้าพอพูดได้บ้าง อะไรบ้าง แต่พูดไม่ถูก พูดไม่ชัด และการใช้ภาษายังมีการคิดคำเป็นภาษาไทยอยู่ ทำงานมาหลายที่ยังไม่เจอเด็กเอแบคที่ภาษาถือว่าเทพสักคน แต่ที่ไม่เคยเห็นนี่ ไม่ได้บอกว่าจะไม่มีนะ แต่ที่ผมเจอ ยังไม่มี 5. รุ่นน้องผมที่เรียนเอแบค บอกกับผมเองว่า สาเหตุที่เด็กเอแบคจบเกิน 4 ปีนั้น สาเหตุไม่ใช่อะไรเลยครับ ไม่ใช่ว่ามันยากไปกว่ามหาลัยอื่น ไม่ใช่ว่ามันเทพกว่าที่อื่น แต่ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะ (เด็กเอแบคทราบดี อย่าโกหกตัวเอง) การลงทะเบียนเอแบคสู้มหาลัยอื่นไม่ได้ เน็ตล่มตลอด มีข้อผิดพลาดเยอะมาก เวลาจะลงวิชานี้ ก็เด้ง ลงไม่ได้บ้าง กฎการลงทะเบียนบังคับให้ลงแบบนี้บ้างอะไรบ้าง แถมถ้าเด็กไม่ผ่านวิชา pre ก็ไปปิดกั้นเด็กไม่ให้ลงวิชาอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยกับวิชา pre แปลกเหมือนกัน หรือพอจะเรียนวิชานี้ แต่วิชา pre ดันไม่เปิดในเทอมนั้น คือรุ่นน้องที่ทำงานที่เรียนเอแบคบอกมากะปากว่า การลงทะเบียนที่เอแบคห่วยแตกจริง ๆ ปัญหาเยอะแยะมากมาย แต่ไม่ใช่ว่ามันยากเทพ แล้วคนมันจบช้า เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าเพิ่งยกยอมหาลัยตัวเองว่าดีกว่าชาวบ้าน กรุณาพูดให้เป็นกลางด้วย รถตู้ของ ม.กรุงเทพ หรือรถโคท ม.กรุงเทพมันมีมาตั้งแต่มีมะโว้แระ อีกอย่างอย่าเข้าใจผิดว่ามันไปรอรับเด็กซิ่วเอแบค ปัญญาอ่อนรึเปล่า คิดมาได้ ผมก็เคยเห็นรถหอการค้าเยอะมาก แถวหน้าราม คือมันมีเด็กหอการค้าอยู่ตามจุดเยอะ เด็กแถวรามมันมาเรียนหอการค้าเยอะ มันเลยมีรถตู้ เพราะผมก็เคยนั่งรถหอการค้า เพราะเพื่อนที่เรียนหอการค้าจับให้นั่งไปกะมัน ไปเล่นบอลด้วยกัน ส่วนรถตู้ หรือรถโคท ของ ม.กรุงเทพ เค้ามีมาเป็นชาติแล้ว มีมาก่อนเอแบคอีก วิ่งระหว่างรังสิตกะกล้วยน้ำไท แถวนนท์ก็มี แถวพระประแดงก็มี ไปไหนก็เจอ เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิด แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 53 20:04:19 จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 19:56:01

ความคิดเห็นที่ 22 ผมทำงานกับ เด็กเอแบค จุรา มธ etc. เด็กเอแบค อ่อน ครับ ยืนยันได้ จากคุณ : Black Database เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 20:03:27

ความคิดเห็นที่ 23 ภาษาสำคัญผมว่าคนที่เรียนเอแบคมองถึงสิ่งนี้มากกว่าอย่างน้อยจบมาก็อยากให้ใครที่รับสมัครงานมองว่าเขาภาษาโอเคและตัวเราก็รู้สึกมั่นใจระดับหนึ่งด้วยไม่งั้นไม่จบมาได้ แต่ถ้ามองถึงการลงทุนแล้ว ถ้ามีเงินทุ่มให้ลูกอีกหน่อยผมคงส่งไป รัฐ อินเตอร์ มากกว่าครับสำหรับสายวิทย์ แค่นั้นเอง ถือเป็นตัวเลือกที่ดีระดับกลางๆสำหรับเอแบค(ก็ดีที่สุดที่จะเลือกเรียนภาษาสำหรับเอกชนละครับ ค่าเทอมไม่ได้แพงนะครับลองดูกันดีๆ เทียบกับสภาพแวดล้อมการเรียนแล้ว จะแพงที่ค่าบำรุงต่อเทอมละ 12000 หรือ 16000 บาทลืม หน่วยกิจถือว่าพอๆกับเอกชนทั่วๆไป ภาคภาษาไทยด้วยซ้ำกับบรรยากาศมหาลัยถือว่าถูกมากครับไปลองที่บางนาดูครับ) หรือ ดีมากสำหรับเด็กเก่าอัสสัมชั่น จากคุณ : bncstep เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 20:08:36

ความคิดเห็นที่ 24 เจ้าของกระทู้อยู่ ม5 อยู่เลย ตั้งคำถามอย่างนี้เป็นการหาข้อมูลเพื่ออนาคตของตัวเอง ดีมากค่ะ แต่อย่าไปอคติกับสถาบันเลย เราไม่ชอบเราก็ไม่ต้องเข้าไปเรียน ก็แค่นั้นค่ะ เป็นธรรมดาของเด็กเรียนเก่ง และเด็กเรียนทั่วไป อยากเอ็นท์เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐเป็นอันดับแรก ดังนั้นมหาวิทยาลัยของรัฐ (ไม่รวมราชภัฎ...ขอโทษค่ะ ที่ละไว้ ไม่วิจารณ์ค่ะ ไม่ใช่ตกชั้น) จึงเป็นที่รวมของคนเก่งระดับหนึ่งที่แข่งกันเข้ามา ขณะที่เอกชนจะเป็นกลุ่มที่พลาดจากการเอ็นท์ และกลุ่มไม่ง้อการเอ็นท์ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม จุดนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มของความแตกต่าง อีกอย่างบรรดาอาจารย์ของมหาวิทยาลัยของรัฐจะเป็นอาจารย์ที่ทำงานประจำ เป็นอาชีพอาจารย์ ประสบการณ์ทั้งการถ่ายทอดความรู้ และองความรู้ของอาจารย์เองก็เป็นเฉพาะทางมืออาชีพจริงๆ ขณะที่อาจารย์เอกชนก็เหมือนพนักงานเอกชน มีวนเข้าวนออก วิชาการอาจจะด้อยกว่าของรัฐ แน่นอนค่ะการปลูกฝังเรื่องการทำงานในสังคมระหว่างมหาวิทยาลัยของรัฐกับของเอกชนก็จะต่างกัน จะเห็นว่าทัศนคติในการทำงาน และสไตล์การทำงานจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้มาถึงคำถามว่า ABAC เป็นเทพมั้ย คำว่าว่าเทพ แปลว่าสุดยอด แต่สุดยอดด้านไหนล่ะ วิชาการตัดไปเลยค่ะ เพราะว่ารู้ๆกันอยู่ว่าสุดยอดวิชาการอยู่ที่ไหนบ้าง ไม่ใช่ ABAC แน่นอน สุดยอดด้านภาษา ไม่ใช่ค่ะ เพราะเท่าที่เห็นตอนนี้รุ่นใหม่ๆ ภาษาเท่าเทียมกันเกือบทุกสถาบัน เด็กรุ่นใหม่เก่งภาษาจริงๆ ถ้ารุ่นเก่า มีเพื่อนสนิทจบ ABAC บริหาร ทำงานร่วมกันภาษาดีค่ะ แต่ไม่ได้เด่นไปกว่าคนอื่น ที่จบ ม เชียงใหม่ ม.สงขลา และจบ US (อันนี้เปรียบเทียบที่ทำงานเดียวกันเท่านั้น) เวลาหางานสำหรับเด็กจบใหม่เหรอ คนจบ ABAC อาจจะถูกคาดหวังว่าคุณต้องได้ภาษาแน่นอน แต่อย่างที่บอกเดี๋ยวนี้เอกชนเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่เก่งภาษาเท่าเทียมกัน จากคุณ : non เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 20:13:06 A:1.46.111.171 X: TicketID:292130

ความคิดเห็นที่ 25 ภาษานะใช่เลยครับต้องเทพไม่งั้นแย่ๆ จากคุณ : ชายเซอร์ๆ เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 20:37:38

ความคิดเห็นที่ 26 พยายามเอ็นเข้า ม ดังๆของรัฐไว้เถอะครับ รับรองได้คอนเนคชั่นดีๆแน่ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากที่อื่น แม้แต่เอแบคก็เถอะครับ สู้ไม่ได้หรอก จากคุณ : benbizkit เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 20:57:56

ความคิดเห็นที่ 27 ขอแก้ ความคิดเห็นที่ 21ค่ะ เรื่องการลงทะเบียนเรียนทำให้จบช้า จริงๆแล้วระบบมันอัพเดต real-time ค่ะ เหมือนเล่นหุ้นเลย ฮาๆ เด็กส่วนใหญ่ที่จบช้า แล้วโทษเรื่องระบบการลงทะเบียนเป็นเพราะว่าติดเพื่อนค่ะ ต้องลงให้เหมือนเพื่อนมากที่สุด แต่ถ้าเราลงตามใจเรา เขามีให้ลงอยู่แล้วค่ะ แต่อาจไม่ชอบเพราะไม่ได้เรียนกับเพื่อน ไม่ได้เรียนกับอาจารย์ใจดี ไม่ก็เวลาเรียน เช้าไป เย็นไป ไรพวกนี้ ส่วนสังคมก็เหมือนม.เอกชนทั่วๆไปแหละค่ะ มีหลายกลุ่ม ทั้งเด็กเที่ยว เด็กเรียน แต่ที่แน่ๆ เด็กที่จบเอแบค ไม่ว่าภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่ง พม่า ญี่ปุ่น อินเดีย ชาติไหนก็ตาม ฟังออกหมด เพราะเจอตอนเรียนมาแล้ว ฮาๆ ฝรั่งแท้ๆหัวเหลืองๆนะหรอ ได้เรียนเฉพาะวิชาภาษา ไม่ก็วิชาสูงๆเท่านั้นแหละค่า ส่วนค่าเรียน เอเบคค่าเทอมถูกสุดละค่ะ สำหรับหลักสูตรอินเตอร์ ลองเทียบกับจุฬาอินเตอร์หรือSI ดูสิค่ะ สรุป เรียนที่ไหนก็เหมือนกันค่ะ อยู่ที่ตัวเรามากกว่าว่าจะตักตวงความรู้จากสถาบันนั้นๆได้มากแค่ไหน แล้วพัฒนาตัวเองได้แค่ไหนค่ะ จากคุณ : baby bookworm เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 21:36:06

ความคิดเห็นที่ 28 จะดราม่าใหมนะ  ? จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 21:41:52

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าถามเฉพาะเด็กเอแบคน่ะ  ในที่ทำงานที่ทำอยู่ ถือว่าสอบผ่านนะ จากคุณ : harvardวิทยาคม เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 22:11:44

ความคิดเห็นที่ 30 อันนี้ขอตอบเป็นข้อๆ ละกัน สอนมาเกือบ 10 ปีละ 1. เด็กเอแบค ถ้าจบได้ ไม่เทพวิชาการเหมือน ม.รัฐ  แต่ปล่อยจบยากมาก เพราะวัฒนธรรมองค์กร ไม่เหมือน ม. อื่น อ. ตัดตามคะแนนเป๊ะ และใช้เครื่องคำนวณ เกรด ดังนั้นบางคนที่คะแนนปริ่มๆ C พอสอบ Final อาจจจะได้ F ก้อได้ ไม่แปลก 2. Connection ของ เอแบค จะเหมาะกับการทำธุรกิจ หรือการทำงานมากกว่า เรื่องสมัครงาน จนถึงป่านนี้ ยังไม่เห็นว่า เอแบค เข้าไปยึด บ.มหาชน ที่ไหนได้ เลย เหมือนบางที่ที่เป็น ม. อื่น (ไม่ระบุว่าเหมือนที่ไหน กลัว  Drama) 3. เด็กธรรมดา ไม่เท่าไหร่ ไอ้ที่เก่ง ก้อเทพ มาก จะมีปรากฏให้เห็นว่า บางวิชาตกกระจาย แต่มี 5% แรกพวกได้เกือบเต็ม 4. เอแบค มันก้อมีโกงระบบเหมือน เช่นการเรียนติวเตอร์คือไม่ต้องเก่ง ภาษาอังกฤษก้อเรียนรู้เรื่องได้เพราะจ้างคนติวเป็นภาษาไทย อันนี้ บ. ไหนรับไป ถือว่าซวย เพราะได้ของก็อปทำเหมือน วิธีสังเกตุ ดูง่ายๆ คือให้ถามว่า วิชาปี 4 ที่ชื่อยากๆ น่ะเค้าทำอะไรกันบ้าง Term Project ทำอะไรมา รับรอง หงายหมด เพราะตอนเรียนมันให้เพื่อนทำตลอด 5. เด็กจบช้า ไม่แปลกเพราะ 80 % เค้าไม่เรียนตาม Study Plan ตกมั่ง ตามเพื่อนมั่ง เพราะระบบ มันคำนวณไว้แล้วว่าใครต้องเรียนวิชาอะไรเท่าไหร่ เวลาสอบเป็นอย่างนี้ๆๆ แต่เอาเข้าจริง 'เละ' ทุกเทอม 6. ค่าเทอมถูกกว่า ม. เอกชน หรือ ม.รัฐแผนก อินเตอร์หลายที่นะคร้าบ 7. อ. ฝรั่ง ถ้าหนุ่มๆ หรือสาวๆ หน่อย Grammar กับ ภาษาวิชาการอ่อน สู้ อ. อินเดียเก๋าๆ ไม่ได้ แต่การออกเสียงดีกว่า แต่ถ้าอังกฤษตามหลัก วิชาการ อ.อินเดียเจ๋งสุด 8. ค่าเฉลี่ยเด็กจบใหม่ ม.รัฐดังๆ น่าจะเก่งกว่าครับ แต่ถ้าวัดกันตัวๆ อีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 22:40:27

ความคิดเห็นที่ 31 ขอตอบในฐานะที่เรียนจบจากเอแบค ๕๕๕ เป็นมหา'ลัยที่ เข้าง่าย ออกง่าย จบยาก สาเหตุจบยากก็คล้ายที่ คห.บนๆบอกไว้เรื่องการลงทะเบียน กับติดวิชาบางตัวทำให้ไปต่อตัวอื่นไม่ได้ บางคนติด eng เรียนซ้ำแล้วซ้ำแล้วไม่ up level สะที แล้วที่ถามมีแต่คนเอนท์ไม่ติดมาเข้าใช่ม่ะ ขอตอบว่าไม่เลย เราเองเป็นคนที่ไม่ได้เอนท์ ๕๕๕ แต่ที่บ้านให้เข้า แล้วเราก็เเฮปปี้เพราะมีเพื่อนจาก รร เก่ามาเยอะมาก พวกเรียนไม่เก่งเห็นก็มีเยอะ  เรียนเก่งภาษาดีขั้นเทพก็มีเยอะ  เรียนกลางๆพอเรื่อยๆแบบเราก็มีเยอะ มีคนรู้จักย้ายไปเรียน buic ก็บอกว่าง่ายกว่าเอแบค บางคนรู้จักที่เอแบคบอกว่าย้ายมาจาก muic เขาก็บอกว่าเอแบคสบายกว่า ๕๕๕ ส่วนเรื่องคอนเนคชั่น เด็กส่วนใหญ่ที่เรียนมักมาจากครอบครัวที่มีกิจการ มันก็เลยมีคอนเนคชั่นไงง่ายๆ คุณน้องก็ตั้งใจเรียนแล้วเอนท์ให้ติดคณะ/มหา'ลัย ที่ชอบๆแล้วกันนะจ๊ะ จากคุณ : Judy & Mary เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 22:49:51

ความคิดเห็นที่ 32 ปูเสื้อรอ จะจบที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า คนไทยชอบดูถูกคนไทย จากคุณ : Glamosic เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 22:54:04

ความคิดเห็นที่ 33 ผมไม่สนว่ามหาลัยไหน แนะนำให้น้องดูหลักสูตรการเรียนการสอนดีกว่า เราชอบมั้ย สนใจอยากเรียนมั้ย ดูสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเราที่สุด ถ้าเราได้เรียนในคณะที่ชอบที่ใช่ อะไรดีๆจะตามมาเอง จบที่ไหนก็มีเพื่อนต่างมหาลัยได้ถ้าเรามีความสามารถ ผมคบเพื่อนร่วมงานทั้งในและต่างองค์กรยังจำไม่ได้เลยครับว่าใครจบที่ไหน ผมจบ ม.เอกชนที่ยังไม่คนกล่าวถึง ณ ที่นี้ ผมทำงานอาจารย์หมอดังๆยังชวนผมกินข้าวเที่ยงเลยครับ ไม่ยักถามว่าผมจบมหาลัยไหน คนอื่นผมไม่รู้ แต่สำหรับผมมันไม่เกี่ยวเลยจริงๆครับ มันอยู่ที่ตัวเราจริงๆ ปล.คนรวยๆและมีอำนาจมากมายในบ้านนี้เมืองนี้ จบ ป.4 มีเต็มเมืองเลยครับ จากคุณ : kitjavut เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 23:29:23

ความคิดเห็นที่ 34 จบ ABAC มาสิบปีแล้ว ทำงานเจอบริษัทที่รับ ABAC เหมือนกัน เจ้านายพอใจระดับนึง เพราะถือว่าทำงานได้ แต่เรื่อง Connection สู้ รัฐไม่ได้หรอก เรื่องจริง คนละโยชน์เลย ABAC ระบบ Senior-Junior ยังไม่ฝังราก แต่ผมภูมิใจที่จบ ABAC ทำให้ผมมีวันนี้ไม่น้อยหน้าใคร ผม BBA marketing จากคุณ : mr.isolated เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 00:09:05

ความคิดเห็นที่ 35 พี่จบจาก ม.รัฐ ต่างจังหวัด พี่ว่ายังไงพี่ก็มีดีเหมือนคนอื่นละ (วะ) อย่างน้อยก็สอบเอ็นท์ติด (ไม่ได้มาม่า แต่นี่เป็นความภาคภูมิใจส่วนตัว) ภาษาอังกฤษพี่ก็ไม่ได้เทพและพี่ก็มั่นใจเลยนะว่านักศึกษาไทยส่วนใหญ่ ภาษาอังกฤษก็อยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางต่ำ โฮะๆๆ เป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด เพื่อนพี่ที่เรียน ABAC คนนึงก็นิสัยดีมากซึ่งมันคงดีมาตั้งแต่เกิด  แต่อีกคนก็เป็นเด็ก เ(ก) รียน เทพ เหมือนกันค่ะ ซึ่งพี่ก็เข้าใจว่าคงเป็นมาตั้งแต่เกิด พี่เชื่อว่าทุกสังคมมันก็มีทั้งคนเก่งมากและเก่งน้อยรวมกันอยู่ อีกอย่างก็อยู่ที่สื่อช่วยกันประโคมข่าวด้วย ถ้าพี่เป็นผู้บริหารทีวีซักช่อง พี่จะประโคมข่าวแต่สถาบันพี่ เอาให้ติดหูเข้าไว้ เอาแต่แง่ดีเข้าไว้ พูดทุกวันๆ คนฟังก็คงซึมเข้าหัวไปเอง พอฟังบ่อยๆ คนเราก็จะเชื่อไปเองว่ามันดีจริง เจ๋งจริง ฮ่าๆ แต่ที่สำคัญที่สุด พี่ว่าเรียนไปเหอะ จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราเป็นที่ตั้ง แต่พี่ก็ว่าเรียนที่ ABAC ก็ไม่ได้เก่งเทพอะไรมากมายหรอก คงปนๆ กันไปแหล่ะค่ะ  ^^ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 03:07:23

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าพูดถึงสภาพแวดล้อม ภาษามันเป็นสิ่งที่ อาศัยความคุ้นเคยด้วย ถ้าคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษา Eng เยอะๆ ถ้า IQ อยู่ในระดับมาตรฐานเดี่ยวก็ใช้เป็นครับ ไม่ว่าจะที่ไหน ถ้าอยากเรียนเอาภาษา ผมว่าเอาจริงๆไปเรียนนอกดีกว่าครับ จากคุณ : Fatalbringer เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 07:34:38

ความคิดเห็นที่ 37 ผมเห็นข้อดี abac คือ 1.สาวสวย+รวย 2.ภาษาได้ เหลือแต่พ่อตาตาย แม่ยายโง่เท่านั้นก็จะครบละ จากคุณ : Final~Lab เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 08:40:59

ความคิดเห็นที่ 38 ABAC ภาษาสุดยอด มีอาจารย์ต่างชาติด้วย จบมาภาษาคงดีกว่า ม.รัฐ หลายแห่งอยู่ครับ จากคุณ : kanester เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 10:39:55

ความคิดเห็นที่ 39 แน่นอนครับว่าค่าเฉลี่ยเด็กเก่ง ม.รัฐ สูงกว่า เอแบคแน่นอน จบ ม.6 มหาลัยรัฐก็มีโควต้าดึงเด็กเก่งไปเยอะ เด็กเหนือ ก็มีโควต้าในพื้นที่โควต้าไป มช. เด็กใต้ ก็ดึงเด็กเก่งในพื้นที่ไป ม.สงขลาฯ กรุงเทพ ก็จุฬา เกษตร ธรรมศาสตร์ อีกรอบนึงก็เป็น admission กลางอีก โดยส่วนใหญ่เด็กเก่งมุ่งไปที่ ม.เหล่านี้ ต้องยอมรับว่าพื้นฐานเด็กเหล่านี้ขยัน เก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจารย์ม.รัฐ ก็มีคุณภาพมาก ทั้งงานวิจัย การยอมรับในนาชาติ รางวัลต่างๆมากมาย ภาษาก็ไม่ได้ด้อยนะครับ จุฬา ธรรมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ม.สงขลา เกษตร ต้องยอมรับว่าบุคคลากรเค้ามีความสามารถจริงๆ มีเคสให้นักศึกษาเรียนรู้เยอะ เรียนยาก จบยากกว่า ม.เอกชนแน่นอน คอนเนคชั่นได้เยอะเลย แต่ถามว่าจบเอเบคก็มีนะครับเด็กเก่ง เพียบพร้อม แต่ไม่ได้เยอะเหมือน ม.รัฐข้างต้น ต้องพูดจริงๆว่าสังคม ม.รัฐข้างต้น กับ ม.เอกชน ต่างกันมาก จากคุณ : แอน เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 12:01:46 A:124.120.216.223 X: TicketID:230163

ความคิดเห็นที่ 40 อันนี้คนรู้จักที่เรียนบอกมา(หลายคน)ว่า เอแบคจบยากมาก เอะอะก็แจกเอฟเยอะมาก ดังนั้นเด็กเอเบคจึงเรียนพิเศษกันเยอะมากๆ เพราะเรียนในห้องไม่พอ กลัวติดเอฟ ถ้าแจกเอฟก็หมายถึงต้องลงเรียนใหม่ = มหาลัยรวย (เค้าบอกมานะ) จากคุณ : อะจึ๋ยเคี้ยก เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 12:41:55

ความคิดเห็นที่ 41 แจก F เยอะมันแปลว่าไรหละ วิชามันยาก อ่านให้ตายก็ทำไม่ได้ หรือว่าขาดความตั้งใจ ความรู้ไม่พอ? จากคุณ : Che_Eng เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 12:48:16

ความคิดเห็นที่ 42 จุดต่างเดียวของ ABAC กับ ม.รัฐ คือเรื่องภาษา และการวางตัวครับ ^^ ที่บอกกันว่า ABAC ภาษีดีกว่า คืองานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ดังนั้น ระหว่างเกียรตินิยม ม.รัฐบาล แต่ภาษาไม่ได้เลย กับระดับพื้น ๆ ABAC แต่ภาษาค่อนข้างแน่น ถ้าเนื้องานต้องใช้ภาษา ต้องติดต่อสื่อสาร ก็นั่นแหระครับ คำตอบ จากคุณ : เค้าเปล่านะ เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 13:48:03

ความคิดเห็นที่ 43 d จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 14:26:36

ความคิดเห็นที่ 44 ABAC มีจุดเด่นจุดด้อยครับ ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นหลักมากกว่า จากคุณ : sangobza เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 19:50:51

ความคิดเห็นที่ 45 ความคิดเห็นที่ 40 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน อันนี้คนรู้จักที่เรียนบอกมา(หลายคน)ว่า เอแบคจบยากมาก เอะอะก็แจกเอฟเยอะมาก ดังนั้นเด็กเอเบคจึงเรียนพิเศษกันเยอะมากๆ เพราะเรียนในห้องไม่พอ กลัวติดเอฟ ถ้าแจกเอฟก็หมายถึงต้องลงเรียนใหม่ = มหาลัยรวย (เค้าบอกมานะ) จากคุณ : อะจึ๋ยเคี้ยก [Bloggang] เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 12:41:55 [แก้ไข] อันนี้เป็น ทฤษฎีสมคบคิดนะครับ ม. จะรวยขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อค่าเทอมเด็กรุ่นใหม่มันแพงกว่า เด็กรุ่นเก่า ถ้ายังงั้นควรจะปล่อยเกรด ให้รีบๆ จบไป แล้วเอาเด็กใหม่ๆ มาเรียนสิ ค่าเทอมเยอะกว่าอีก จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 20:30:05

ความคิดเห็นที่ 46 เห็นกระทู้แล้วนึกถึงอดีตกิ๊กเอแบคปี 1 สาวสวยคนนั้น ^^ จากคุณ : อืม ให้มันได้ยังงี้สิ เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 20:37:35

ความคิดเห็นที่ 47 เรียนจบเอแบคแล้ว ต้องเป็นคนดีด้วย การศึกษาเป็นเครื่องชี้ทาง เป็นอนาคตของชาติ เป็นคนดีของสังคม จบสถาบันไหนก็เหมือนกันหมด จากคุณ : panrada (PANRADA) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 22:03:44

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าเก่งคงไม่เข้าเอแบค แต่รวยนะเกินค่อน ที่เหลือส่วนน้อยเลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะหามาจ่าค่าหน่วยได้ จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 22:42:21 A:183.89.175.57 X: TicketID:296951

ความคิดเห็นที่ 49 อ่านเจอ เลยเอามาให้ดู มีสาระดี นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2545 Assumption University ต้นแบบ Business School ของไทย โดย สมศักดิ์ ดำรงสุนทรชัย กว่า 24 ปีบนตำแหน่งอธิการบดี ภราดาประทีป ม.โกมลมาศ ได้แสดงความเป็นนักการศึกษา และนักบริหาร ที่มีความสามารถในการเชื่อมโยงผสมผสาน และมีพลังมากที่สุดคนหนึ่งในคณะเซนต์คาเบรียล ซึ่งรูปธรรมความสำเร็จที่ชัดเจนในเรื่องนี้กำลังตั้งเด่นตระหง่าน อยู่ภายในวิทยาเขตบางนา ของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (AU) ที่มีพื้นที่กว่า 360 ไร่ แม้ว่าความโดดเด่นของสถานศึกษาแต่ละแห่งในสังคมไทยจะได้รับการกำหนดนิยาม โดยพิจารณาจากความเก่าแก่ในการก่อตั้งหรือสถาปนา จนเป็นเหตุให้ผู้คนจำนวนไม่น้อย เชื่อถือในค่านิยมที่จะส่งบุตรหลานให้เข้าเป็นสมาชิกของสถาบันอุดมศึกษา อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหา วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยเหตุที่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐทั้งสี่แห่งต่างมีความเป็นมา และอุดมไปด้วย เกียรติประวัติที่เนิ่นนาน ซึ่งเกิดขึ้นควบคู่กับความพยายามในการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย และมีระบบที่ดำเนินต่อเนื่องตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แต่ภายใต้บริบทดังกล่าว หากพิจารณาจากปรัชญาพื้นฐานในการก่อตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในห้วงเวลา นั้น ก็จะพบว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความพยายาม ส่วนหนึ่งของรัฐไทย ที่จะรักษาสถานภาพและความมั่นคงที่มีอยู่เดิมเอาไว้ โดยหวังว่าสถานศึกษาเหล่านี้จะเป็นกลไกในการผลิตบุคลากรเพื่อมาสนอง งานราชการด้านต่างๆ ในอนาคต และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับกับเทคนิควิทยาการ ที่พรั่งพรูหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยภายหลังการเปิดประเทศ อันสืบเนื่องมาจากการลงนามในสนธิสัญญาบาวริ่ง ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1855 ด้วย กระนั้นก็ดี กระบวนการทำให้ทันสมัย Modernization ที่รัฐไทยดำเนินการในห้วงขณะนั้น ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง การเกิดขึ้นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ.1917 โดยมีเข็มมุ่งอยู่ ที่การผลิตบุคลากรมารับใช้งานของรัฐจากรากฐานของโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการ พลเรือนที่มีมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1899 อาจเป็นภาพที่ขัดกันกับการสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ในปี ค.ศ.1934 ที่มีเป้าหมายเพื่อเป็นตลาดวิชารองรับกับระบอบการปกครองใหม่ที่เปิดกว้างสู่ ประชาชนรากหญ้ามากขึ้นแต่สถาบันทั้งสองแห่งนี้ต่างมีเป้าประสงค์เบื้องปลายไม่แตกต่างกันมากนัก โดยยังยึดอยู่กับการได้มาซึ่งบุคลากรเพื่อสนองกลไกอำนาจการปกครอง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนั้นด้วย ขณะที่ในปี ค.ศ.1943 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมุ่งหมายจะนำวิชาการสมัยใหม่มารับใช้พื้นฐานสังคมเกษตรกรรมของชาติ ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ แม้ว่าความพยายามในการจัดการศึกษาด้านการเกษตรอย่างเป็นระบบจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1904 แล้วก็ตาม และในทำนองเดียวกับมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1969 จากการรวบรวมสถาบันการศึกษาทางการแพทย์ชั้นสูงหลายแห่งเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเป็นแหล่งผลิตบุคลากรด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ทั้งที่โรงเรียนการแพทย์แห่งแรกของไทยใน โรงพยาบาลศิริราช มีประวัติการก่อเกิดมา ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1890 ล้วนเป็นประจักษ์พยานในกรณีดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ห้วงเวลาของการเปิดประเทศเพื่อรับเอาวิทยาการจากโลกตะวันตกที่ดำเนินมาตลอดเวลานั้น ได้เปิดช่องทางใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น พร้อมๆ กับการเดินทางเข้ามาประกอบธุรกิจการค้าของบริษัทข้ามชาติ และตัวแทนการค้าโพ้นทะเลซึ่งล้วนแต่เป็นชาวต่างประเทศเกิดขึ้นและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็ดี business school ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรองรับพัฒนาการดังกล่าว กลับมิได้ถูกสร้างขึ้นหรือบางทีกรณีดังกล่าวอาจจะอยู่ไกลออกไปจากความคิดคำนึงของรัฐไทย การเกิดขึ้นของแผนกพาณิชยการ ในโรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ที่เริ่มต้นจากวิชาพิมพ์ดีด ในปี ค.ศ.1912 หรือเมื่อ 90 ปี ที่แล้ว โดยผลจากการริเริ่มของภราดา Hubert ก่อนที่จะขยายตัวแยกออกมาเป็นโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ (Assumption Commercial College : ACC) ในปี ค.ศ.1930 และได้รับการรับรองฐานะอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1938 โดยมีภราดา Rogatien Marie (1886-1965) ภราดาชาวฝรั่งเศสในคณะเซนต์คาเบรียล เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มและดำเนินการอย่างแข็งขัน จน ACC กลายเป็นต้นแบบของวิทยาลัยธุรกิจและพาณิชยการในชั้นต่อมา ภราดา Rogatien เดินทางมายังประเทศไทยตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1910 ได้ริเริ่มที่จะเปิดสอนวิชาชวเลข (shorthand) และสานงานต่อจากภราดา Hubert Cousin (1890-1974) ในการสอนวิชาพิมพ์ดีดให้กับนักเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญในฐานะที่เป็นวิชา พิเศษ พร้อมกับแนวความคิดที่จะฝึกนักเรียนเหล่านี้ ให้มีทักษะสำหรับการเข้าร่วมงานในบริษัทตัวแทนการค้าจากยุโรป สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานและธุรกิจการค้าที่ขยายตัวอย่างมาก และมิได้มีเพียงกลุ่มอำนาจและคนชั้นสูงยึดกุมไว้เท่านั้น สิ่งที่ภราดา Hubert และภราดา Rogatien ดำเนินการในห้วงขณะนั้น เกิดขึ้นควบคู่กับสถานการณ์สำคัญในระดับโลกไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเริ่มขึ้นและต่อเนื่องระหว่างปี ค.ศ.1914-1918 การเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัสเซียสู่ระบอบคอมมิว นิสต์ ในปี ค.ศ.1917 รวมถึงวิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วงปี ค.ศ.1930 (Great Depression) และสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี ค.ศ.1939-1945 ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพสะท้อนของความ พยายามในการช่วงชิงทรัพยากรในพื้นที่ต่างๆ ของโลก จากผลของความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการผลิต และความจำเริญของวิศวกรรมด้านการขนส่ง ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้ง มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1760 ซึ่งเป็นผลให้เกิดชนชั้นใหม่ๆ ในสังคมยุโรปอย่างกว้างขวางด้วย ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ.1932 ก็เป็น repercussion จากผลของสถานการณ์ระดับโลก และเป็นจุดเริ่มของชนชั้นใหม่ๆ ในสังคมไทย ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วโดยที่กลไกรัฐดูเหมือนจะไม่สามารถปรับตัวรับและสนองตอบต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดีพอ ความสำเร็จของอัสสัมชัญพาณิชยการ (ACC) ในฐานะ business school ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมดังกล่าว สามารถประเมินได้จากจำนวนของผู้สำเร็จการศึกษาจาก ACC ที่เข้าทำงานในบริษัทการค้าจากต่างประเทศอย่างหลากหลาย และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน กระทั่งมีการจองตัวก่อนจะสำเร็จการศึกษาด้วยซ้ำ ภายใต้ข้อกำหนดของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการศึกษาของไทย ในขณะนั้น หลักสูตรพาณิชยการ 3 ปีของ ACC ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างมาก เป็นเพียงหลักสูตรที่ได้รับการอนุญาตให้เปิดการเรียนการสอน แต่วุฒิการศึกษาที่ได้รับไม่สามารถนำไปต่อยอด เพื่อศึกษาในระดับอุดมศึกษาภายใต้ระบบมหาวิทยาลัยได้ และนั่นอาจเป็นเหตุให้ ACC ต้องแสวงหาหนทางใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมในการจัดการศึกษาของไทยเรื่อยมา ความพยายามของ ACC ในการไปให้ไกลกว่ากรอบกำหนดของภาค รัฐ เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งที่ภราดา Rogatien ติดต่อขอใช้สถานที่ภายในสถานทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย เพื่อทำการสอบข้อเขียนก่อนที่หอการค้าลอนดอน (London Chamber of Commerce) ในอังกฤษ จะเป็นผู้ตรวจให้คะแนนเพื่อ รับรองผลการศึกษานักเรียน ACC ในปี ค.ศ.1939 แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ ACC น่าจะอยู่ที่ความพยายามในการ สอนหลักสูตรอุดมศึกษา 4 ปีภายใต้ชื่อ Assumption School of Business : ASB เพื่อรองรับกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ในช่วงปี ค.ศ.1969 โดยหลักสูตรปริญญาตรี บริหารธุรกิจ (Bachelor of Business Administration : BBA) ที่ ASB เปิดสอนนั้น เป็นหลักสูตรที่ได้รับความร่วมมือทางวิชาการจาก University of Santa Clara ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นการริเริ่มที่จะเปิดวิทยาลัยธุรกิจในลักษณะของสถาบันอุดมศึกษา ที่ไม่สามารถผ่านเงื่อนไขตามข้อกำหนดของกฎหมายไทยได้อีกครั้ง และทำให้นักศึกษา ASB สองรุ่นแรกไม่สามารถรับปริญญาบัตรในฐานะผู้สำเร็จการศึกษาชั้นอุดมศึกษาได้ หากเป็นเพียงประกาศนียบัตรรับรองว่าผ่านหลักสูตรเท่านั้น ภายใต้เงื่อนเวลาดังกล่าว สถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยในระยะบุกเบิกก็อยู่ในช่วงของการลงหลักปักฐาน เป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับสังคมการศึกษาไทยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิทยาลัยกรุงเทพ (1965) วิทยาลัยการพาณิชย์ (1965) ธุรกิจบัณฑิตย์ (1968) ศรีปทุม (1970) และโดยกฎหมายที่อนุญาตให้เอกชนสามารถเปิดสถานศึกษาในหลักสูตรอุดมศึกษาได้ใน ช่วงปี ค.ศ.1970-1971 นี้เอง ที่ทำให้สถานศึกษาเอกชนในรูปของวิทยาลัยเกิดขึ้นอย่างมากมายต่อมา วิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ (Assumption Business Administration College : ABAC) ซึ่งก็คือหน่ออ่อนที่งอกเงยขึ้นมาจาก ACC และ ASB ที่ได้รับการยอมรับในมิติของความแข็งแกร่งทางวิชาการโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และเปลี่ยนผ่านประสบการณ์ ความร่วมมือกับสถาบันต่างประเทศมาก่อนหน้านี้ จึงได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงปี ค.ศ.1972 นี้ และเป็นปฐมบทของปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในสังคมไทย รวมถึงการเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติแห่งแรกของไทยด้วย ที่มาจาก http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=3657 จากคุณ : AnShan Liaoning เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 00:29:30 A:110.168.111.197 X: TicketID:195043

ความคิดเห็นที่ 50 . . . จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ลูกน้องผมในจำนวน 6 คน มี abac 2คน จุฬา 1 คน มธ. 1 คน ลาดกระบัง 1 คน ศิลปากร 1 คน เรียงตามลำดับความเก่ง 1.ลาดกระบัง 2.มธ. 3.เอแบค 1 4.ศิลปากร 5.จุฬา 6.เอแบค 2 อันนี้นับเฉพาะลูกน้องในกลุ่มที่ผมต้องดูแลนะครับ ที่อื่นไม่รู้ รู้แต่เด็กเอแบค ภาษาดีจริงๆครับ แต่ผมว่าข้อเสียคือ ความพยายามน้อยไปหน่อย ติดเล่นซะเยอะ กิจกรรมนอกเวลางานเยอะแยะไปหมด บางครั้งมีผลต่องานครับ จากคุณ : เจ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 02:09:36 A:124.120.207.76 X: TicketID:299019

ความคิดเห็นที่ 51 เข้ามาดู ... จากคุณ : D_YONG เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 10:53:21

ความคิดเห็นที่ 52 เรียนที่ไหนก็เหมือนกันแหล่ะ มันอยู่ที่ว่า เรียนแล้ว เอาไปใช้เป็นหรือเปล่า ไม่ใช่คืนกลับไปให้อาจารย์หมด จากคุณ : เอ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 13:59:27 A:202.91.23.5 X: TicketID:249526

ความคิดเห็นที่ 53 มาเป็น ลูกพ่อขุนรามคำแหง แบบพี่ดีมะ ชีวิตมีรสชาติดีนะ ไม่ขยันก็ไม่จบ ฮิฮิ คนจบรามได้เป็นเจ้านาย คนจบ ม.ดังๆมีเยอะไป ( ดูอย่าง คุณต๋อย ไตรภพ นั่นไง ) อยู่ที่ตัวเราเองครับ แต่เรื่องของเรื่อง พี่ไม่ค่อยสนคอนเน็คชั่น อะไรเท่าไร เดี๋ยวมันก็มาเองเวลาทำงาน แต่ที่สนคือ... เรียน ราม มา 4 ปี ครึ่ง  หมดค่าเีรียนไป ยังไม่ถึงครึ่งเทอม ของ abac เลยง่า หน่วยกิตละ 25 บาท ( ตอนนี้อาจจะขึ้นแล้วอ่ะนะแต่ก็คงโคตรถูกอยู่ดี  ) ส่วนเงินที่เหลือ อีกหลายแสน เอาไปอัดเรียนภาษา ระดับพวก wallstreet ได้สบายๆ สุดท้าย จบ ป.ตรี เหมือนกัน ได้ ภาษา เหมือนกันนา อันนี้ผมคิดแบบง่ายๆตามสไตล์น่ะครับ ผิดพลาดยังไงขออภัย จากคุณ : M.D.Luffy เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:44:02

ความคิดเห็นที่ 54 เด็กเอแบคส่วนใหญ่ไม่จำเป็นว่าต้องเอนไม่ติดนะคะ แต่เป็นเพราะว่าเอแบคเค้ามี positioning และ imageที่แน่นอน คือเน้นบริหาร และ เรียนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ส่วนใหญ่เด็กที่มาเรียนจะมีเงิน และที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัว เพราะส่วนใหญ่ ที่เข้ามาเอแบคก็เพราะเีรียนเกี่ยวกับการ บริหารนิ่คะ ใครอยากเข้าก็เข้าไป พี่จบเอแบคมาค่ะน้อง มันก็มีทั้งเก่ง ไม่เก่งคละกันไป แต่ถ้าถามว่า connection ที่นี่แรงมั้ย เอาตรงๆเลยนะ ก็แรงในระดับนึง ถ้าน้องเจ๋งพอ เพราะอาจารย์ที่นี่ส่วนใหญ่จะรู้จักกับเจ้าของธุรกิจดังๆหลายคนอยู่ เค้าก็จะแนะนำเด็กให้กับบริษัทเหล่านั้นค่ะ หรือไม่ก็บางที เด็กเอแบคกำลังจะเรียนจบต้องทำโปรเจคสุดท้าย ซึ่งก็มี หลายบริษัทเค้าหา เคสมาให้ทำ แล้วก็ต้องรายงานหน้าห้อง แล้วคนของบริษัทเค้ามาฟัง บางทีถ้าเรา พรีเซ้นดี แล้วเค้าชอบ เค้าก็จะติดต่ออาจารย์ ให้ติดต่อเด็กคนนั้นไปทำงานด้วยค่ะ อันนี้คือ connection ที่มีในเอแบค ส่วนเรียนง่ายจบยากนี่ ก็อย่างที่หลายๆคนให้ความเห็นไป พี่เรียน เอแบค จบ 3 ปีครึ่ง ก็ว่าไม่ยากนะ อยู่ที่เราตั้งใจเรียนรึเปล่า มันก็เป็นทุกมหาลัย อยู่ที่ความประพฤติของตัวเองมากกว่า ส่วนเกรด อาจารย์เค้าก็ให้ไปตามความสามารถ พยายามมาก งานดี เกรดก็เยอะ เป็นเรื่องปกติ   ส่วนถ้าจะอ้างเพราะระบบนี่หยุดเลย อันนี้ข้ออ้างชัดๆ ถึงแม้ว่าระบบมันจะโง่เง่าเต่า:-)แค่ไหนก็ตาม ถ้ามีความพยายามจะเรียน อะไรๆก็เรียนได้ เข้าไปขอ add อาจารย์ในคลาสส่วนใหญ่ อาจาย์มักจะให้ค่ะ ส่วน pre-requisite นี่ก็เค้าบอกอยู่แล้วว่าถ้าจะเรียนนี่ต้องเรียนวิชานี้ก่อน ก็ควรจะเรียนให้จบไป อย่าข้ามขั้น มหาลัยที่ไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นนิคะ ตอนพี่จบมา ไปสมัครบริษัทไหนๆ ไม่เห็นต้องอ้างคนรู้จักเลย แล้วก็ได้นะ ของแบบนี้อยู่ที่ความสามารถของตัวเองค่ะ ของแบบนี้ อย่าโทษมหาลัยถ้ารู้สึกน้อยใจก็ทำตัวให้มันดีๆ ขยันเรียน ตั้งใจเรียนให้มากๆ ใฝ่ศึกษา หาความรู้ อะไรจะเกิดมัน ก็เพราะตัวเอง ถ้าเกิดชีวิตน้องจะพัง จะ fail จะล้มเหลว จะอะไรก็ตาม มันก็เพราะตัวเอง จำไว้นะคะ จากคุณ : Yu!eZ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 18:04:55

ความคิดเห็นที่ 55 จุฬาเก่ง จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 20:22:55 A:124.120.99.185 X: TicketID:245074

ความคิดเห็นที่ 56 ลูกค้าพี่หลายๆ บริษัท อยากได้เด็ก ABAC นะจ๊ะ ภาษาเค้าดีค่ะส่วนมากที่เจอ จากคุณ : ~Northlady~ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 22:42:48

ความคิดเห็นที่ 57 Abac ไม่เทพครับ ยืนยันและมหาวิทยาลัยอื่นๆไม่เทพด้วยเช่นกัน ท้ายๆ กระทู้เริ่มจะเกี่ยวกับการทำงานในสายอาชีพ แต่ destination จริงๆ ของแต่ละคนก็คือเงินครับ เงินก็ได้มาจากประสบการณ์ เรื่องภาษา ผมนอนยันตีลังกายันเลยว่าเรียนที่ไหนก็เป็นใช้ได้ครับ แค่กล้าพูดออกมาก็พอ ประเด็นเทพนี้ผมยกให้นิดนึง ถ้าเป้นเรื่อง "วิชาการ" มหาวิทยาลัยรัฐ จะเป็นส่วนมากที่จะมีบทบาทที่จะเป็นเทพในส่วนนี่มากกว่าเพราะระบบ การศึกษาและคณาจารย์ค่อนข้างเข้มข้นกว่าทั้งด้านการสอบหรือ ตัวเด็กที่มีความทะเยอทะยานสูงในทุกๆรุ่นที่ผ่าน ทำให้มันเป็นของแถมเล็กๆ จากสถาบันเหล่านี้ (ผลิตแต่เทพวิชาการ) แต่ถ้าในประเด็นตลาดงานละ มุมมองมันจะกลับกัน ก็คือ ไม่มี มหาวิทยาลัยไหนเทพเลย มันอยู่ที่ประสบการณ์ล้วน และเงินทุน และกล้าตัดสินใจ ป้าผมจบราชฎัชทั้งตรีและโทเงินเดือน แสนครับเพราะ "ประสบการณืทำงานหลายปี" แม่คนรู้จักผมเงินเดือน สามล้าน ครับจบแค่ ปวส แต่มี"เงินทุนที่เกิดจาก ความกล้าตัดสินใจ" เป็นเจ้าของกิจการด้วยตัวเอง ในมุมมองเก่งเนี้ย เก่งอะไร เก่งเรียน หรือเก่งทำงาน เก่งเรียนไม่มีประโยชน์ มันจะมีประโยชน์ถ้าคุณรักงานวิชาการ เงินเดือนปรับแล้วสูงสุด 60+ สุงสุด ระบบแ่ท่งรัฐบาล นอกนั้น จะเป็นสอนพิเศษอะไรก็แล้วแต่ แต่อายุงานก็มากเหมือนกัน !! เก่งทำงานมีประโยชน์ มันจะถีบตัวเองด้วยให้เรียนภาษาเองโดย อัตโนมัติถ้าคุณยังรักงานนั้นอยู่จริงๆแล้วจะ promotion ตัวเองขึ้นมา ในอีกระดับนึง มามองในมุมมองที่ว่าเด็ก นศ. ไหนเทพวิชาการจริงๆ ผมว่าเรามองภาพรวมสถาบันมากไป เราต้องมองจำนวนมากกว่า ผมเชื่อว่า ทุกสถาบันมี โคตรเทพอยู่ ซักคนหนึ่ง เป็นอย่างน้อย ซึ่งแน่นอนพอว่าวัดกันแล้ว มันมีความรู้พอๆกันนั้นแหละ แต่มันอยู่ที่ว่าโคตรเทพเนี้ยมีกี่คนในสถาบันนั้นๆ ผมคิดว่า ม รัฐ น่าจะมีมากหน่อยเพราะ นศ. ค่อนข้างสอดคล้อง กับพฤติกรรมของคณาจารย์ที่สถาบันของตนเองทั้งแรงกระตุ้น และเกียรติยศอะไรก็ตามแต่ให้สร้างเทพเหล่านี้ออกมาได้มากกว่า สถาบันอื่นๆ ผมเองก็เป็นเด็กทุนครับและเป็นเด็กกลุ่มเดี่ยวกับกลุ่มนี้ซึ่งได้รับการ ยอมรับจากเพื่อนนักศึกษาและคณาจารย์ทุกระดับ และพบปะกับเทพๆ หลายสถาบันก็พบว่ามันก็พอๆกัน แต่มันชิงเหรียญตรงที่ว่า ใครมีประสบการณ์ทำงานมากกว่ากันเท่านั้นเอง ที่เป้นตัววัดความเก่งอย่างแท้จริงสำหรับ นศ.ที่จะเตรียมออกมาสุ่ตลาดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็น งานวิชาการหรือสายงานต่างๆ สรุปก็คือ สถาบันก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ที่ชื่อของมันนะ อยู่ที่ระบบการสอบ การสอน และเกียรติยศของสถาบัน บางสถาบันจัดสอบเอาใจเด็ก multiple choice เกือบทุกวิชามันจึงทำให้ เด็กขาดแรงกระตุ้นที่จะถีบตัวเองให้ทำข้อสอบได้ ข้อเขียนน้อยมาก การสอน สอนแบบ lecturer จริงๆ ตามหนังสือเป๊ะๆ แบบที่เรียกว่า เป็นเครื่องกระจายเสียงจ่ายรายเทอมอย่างนั้นเลย ซึ่งมีการสอนแบบ ไม่ทำให้ นศ. เกิดแรงบรรดาลใจอะไรเลย และสิ่งเหล่านี้มันก็สร้าง connection ให้กับ นศ. ซึ่งมันจะำไปโยงถึงเรื่องเกียรติยศ ที่ นศ. ได้รับจากสถาบันนั้นๆ และเรื่องเกียรติยศก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเช่นกัน ที่ ม เอกชน ส่วนใหญ่ยังไม่คิดถึงเรื่องการสร้างเกียรติยศนี้ ทำไม ม รัฐ connection ดีกว่าก็เพราะเกียรติยศที่สถาบันมีและตัว นศ. ก็เชื่อมั่นในเกียรติยศนั้น ซึ่งทำให้ ม เอกชน ด้อยเรื่อง connection ไป พอสมควร อยากให้ HR ล้างสมองใหม่ มองคนที่ประวบการณื การพูดจา และทักษะ แล้วลบเรื่องสถาบันออกไปเลย กำหนด ไม่ต้องระบุ ว่าจบจากไหน แต่ให้บอกมาเลยว่าคุณทำอะไรได้บ้างหลังจบมาแล้วในสาขาของคุณ มันจะทำให้ปัญหาเรื่อง เทพไม่เทพ เบาบางลงไปได้ (เพราะจะได้มี poll เทียบน้อยลง 555+) จากคุณ : ธ.ธรรมาธิกุล (ธ.ธรรมาธิกุล) เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 23:39:50

ความคิดเห็นที่ 58 เป็นศิษย์เก่า เอแบคเหมือนกัน ทั้งตรี ทั้งโท ถามว่าเรียนที่นี่ต้องเทพเรียนมั๊ย ก็ตอบว่าไม่ ออกจะธรรมดา มีโง่ฉลาดขยันขี้เกียจปนกันไป ถามว่าจบออกมาแล้วเก่งกว่าที่อื่นไหม ก็ตอบว่าไม่ ออกจะธรรมดา มีเก่งมีไม่เก่ง เล่าสนุกๆ ยุคที่ผมเรียนอยู่นั้น นศ.ไม่ค่อยเข้าห้องเรียน หันไปเข้าติวเตอร์แทน แต่ทีจะเรียนติวเตอร์ก็ติดสันดานเดิม เข้าบ้างโดดบ้างมาสายมาสวย โทรศัพท์ มานั่งคุย พอใกล้สอบก็จะมาเค้นติวเตอร์ให้เก็งข้อสอบ ติวเตอร์ก็ฉลาดเปิดคอร์สเร่งรัด รับเงินกันไป  ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเด็กพวกนี้ก็จะแพ้ภัยตัวเอง สอบตกแล้วก็ต้องลาออกไป ที่ผมจะเห็นด้วยว่าเด็กเอแบคเก่งนั้น ผมว่าเก่งในด้านการเอาตัวรอด การใช้ชีวิต พ่อแม่ให้เงินเป็นเงินเดือน ก็ต้องมากันไว้จ่ายค่ามือถือ สังสรรค์ เที่ยว ช้อปปิ้ง เรียนพิเศษ ยุคหลังๆก็จะเกาะกลุ่มกันติวกันเองมากกว่า ประหยัดกว่าและได้เพื่อนด้วย  นศ เอแบคค่อนข้างมีฐานะในเกณฑดี ส่วนหนึ่งมีรถขับ มีของเล่นแพงๆ มีไปหุ้นเปิดร้านทำธุรกิจ จึงมีความเชี่ยวชาญพอประมาณ ในขณะที่ ม. อื่นส่ง นศ. ไปฝึกงานในบริษัท ต่างๆ ซึ่งบริษัทเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็เห็นแก่ตัวให้แต่งาน ถ่ายสำเนา ยกของ จัดเอกสาร เรียกว่ามารับใช้จะดีกว่า บางทีก็สอนงานให้บ้าง ส่วนใหญ่ก็ต้องครูพักลักจำ  คล้ายๆกับ เอแบคเหมือนๆจะเริ่มจากการเป็นเจ้าของธุรกิจ (ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละปัจเจก) แต่ ม. อื่นๆ พยายามให้นศ ไต้เต้าไปตามระบบ   แต่ข้อเสียที่ได้ยินและสัมผัสมาคือ บัญฑิตเอแบคส่วนหนึ่งไม่สู้งาน หนักไม่เอา เบาเหลิง ไม่รู้จักอดทน ไม่เรียนรู้ อยากได้อะไรในช่วงสั้นๆ เก็บอารมณ์ไม่อยู่ อวดฉลาด ขี้ดูถูก ไม่มีความรับผิดชอบ ข้อดีที่ได้ยินและสัมผัสมาเหมือนกันคือ บัญฑิตเอแบคส่วนหนึ่ง อดทน เป็นเลิศ คมในฝัก ความรู้ภาษาแน่นมาก รู้จักแสดงออก นำเสนอได้เป็นเลิศ วางตัวดี แต่งตัวน่านับถือ รู้จักผลิกแพลงไม่ยอมแพ้ มีทักษะเข้าหาผู้ใหญ่ มีวิสัยทัศน์ ซึ่งลักษณะดังกล่าว ไม่ไ้ด้เิกิดจาก มหาวิทยาลัยแต่เพียงส่วนเดียว สังคม การเลี้ยงดู เพื่อนฝูง ครอบครัว ต่างหากที่เป็นส่วนหลักที่จะให้เกลาให้คนๆหนึ่งมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมา   สมัยนี้ นศ ป.ตรี เอแบคย้ายไปเรียนบางนากันหมดแล้ว เคยแวะไปแล้วรู้สึกว่า นศ หญิง แต่งตัวโป๊ แต่งหน้าแต่งตา ถือกระเป๋าฉูดฉาด นั่งรถแพงๆ ได้แต่ภาวนาเอาใช้ช่วย ให้วันหนึ่งได้เรียนรู้จนสามารถจบออกมาได้เป็นคนที่น่านับถือ มีคนสรรเสริญ ในแง่ดี จากคุณ : Gl@ss เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 53 13:00:42

ความคิดเห็นที่ 59 ไม่ได้จบเอแบค แต่รู้มาว่าภาษีเวลาต่อนอกดีกว่ามหาลัยเอกชนอื่นๆแน่นอน โพลเมืองนอกเอแบคคือติดอันดับยูท็อปของไทย ส่วนเรื่องการทำงานน่าจะอยู่ที่คนมากกว่า เรื่องความเรียนเก่งโดยเฉลี่ยเฉลี่ยคงสู่้จุฬาธรรมศาสตร์ไม่ได้ พวกเก่งมากๆน่าจะเป็นนักเรียนทุนเป็นส่วนใหญ่มากกว่า เรื่องคอนเนคชั่นน่าจะมาจากความมีฐานะของนักเรียน ส่วนมากพ่อแม่มีฐานะ หลายคนมีกิจการที่บ้าน คอนเนคชั่นคงประมาณว่าจบมาอาจได้ไปทำบริษัทพ่อเพื่อนอะไรได้ง่าย หรือต่างคนต่างทำการค้า รวยต่อรวย ก็เกื้อกูลผลประโยชน์ให้กัน เรื่องภาษาเด็กเอแบคภาษาไม่ได้ว่าจะดีเลิศหรูทุกคน แต่โดยเฉลี่ยแล้วพอใช้งานได้ เอาเข้าจริงๆเราว่า มหาลัยไม่ได้มีส่วนในการทำให้ภาษาอังกฤษของเด็กนักเรียนดีขึ้นหรือเลวลงมากมายอะไร สำหรับเอแบคน่าจะเป็นเพราะส่วนมากเป็นเด็กฐานะดีอยู่แล้ว ได้เรียนพิเศษ ได้ไปเมืองนอกตอนปิดเทอมบ้างอะไรบ้าง ทำให้ภาษาดีกว่าคนที่ไม่มีโอกาส เพราะภาษาไม่เหมือนวิชาอื่น มานั่งขยันอ่านหนังสืออย่างเดียวเก่งไม่ได้ ต้องมีโอกาสใช้ ซึ่งหมายถึงมีเงินไปเรียนกับฝรั่งหรือไปเมืองนอก มีเงินส่งเรียนอินเตอร์ การเรียนมหาลัยอินเตอร์ไม่ได้ส่งผลให้เก่งภาษาเท่ากับเรียนอินเตอร์ตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นถ้าภาษาอังกฤษอ่อนไปอยู่เอแบคถ้าไม่ขวนขวายก็ใช่ว่าจะเก่งได้ จากคุณ : brt เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 53 23:31:29 A:124.122.115.30 X: TicketID:178919

ความคิดเห็นที่ 60 ชอบน้องเจ้าของกระทู้นะ กล้าตั้งกระทู้ที่ดูเหมือนจะดราม่า แต่อ่านไปอ่านมากลับเป็นการ analytical brainstorm เยอะมาก ดีๆ หนับหนุน คนไทยถ้ามีวัฒนธรรม Environment of Safe to Say นี่จะดีมากเลยนะ จะได้พัฒนาขึ้น ^^ จากคุณ : บ้าแพะ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 53 23:59:00

ความคิดเห็นที่ 61 นั่นซิ ตอนแรกนึกว่าจะเปิดประเด็นล่อเป้าให้เค้าตีกันซะละ เอาเข้าจริงก็ทำให้หลายๆคนได้ข้อคิดเหมือนกัน รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างนี้ไปที่ไหนเรียนที่ไหนก็รุ่งค่ะ ในฐานะที่เป็นอดีตเด็กม.เปิดอย่างรามฯ พี่คิดว่าจะเรียนที่ไหนก็ตาม ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเองเป็นหลักซะ 70 % นะว่าตั้งใจเรียน ใฝ่รู้แค่ไหน ส่วนอีก 30%น่าจะขึ้นอยู่กับหลักสูตร ระบบการเรียนและการตัดเกรด(ปล่อยง่าย--> เด็กไม่ตั้งใจเรียน) เคยดีลกับคนที่จบ ม.ปิดดังๆ ประชุมสายข้ามประเทศ ยังได้ยินเค้าพูดแค่เยสกับโนเลย (บริษัทนี้รับแต่คนจบม.ปิดดังๆเท่านั้น) ไม่ใช่ว่าจะมาดราม่าแยกแยะสถาบันการศึกษา แต่คิดว่าที่เป็นแบบนี้เพราะคนๆนั้นเองขาดการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องมีผลให้ความรู้ที่เคยมีหดหาย จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนได้ว่ามันขึ้นอยู่ที่บุคคลซะมากกว่าสถาบันหรือมหา'ลัย เพราะพี่คิดว่า "คนเราเลือกที่จะทำอะไร หรือจะเก่งแค่ไหนก็ได้ ถ้าตั้งใจจริง" ความตั้งใจคือขุมพลังผลักดันสู่ความสำเร็จ แต่ปัญหาคือเดี๋ยวมันก็มี เดี๋ยวมันก็หด ความรู้ความสามารถก็เลยถดถอยกันได้ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 53 08:43:27 จากคุณ : Lovely Creature เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 53 08:41:36

ความคิดเห็นที่ 62 ในฐานะศิษเก่าเอแบคมันก็มีทั้งเก่งและไม่เก่งเหมือนมหาลัยรัฐและเอกชนอื่นๆที่เป็นมหาวิทยาลัยเปิดทั่วไป คือแค่มีปัจจัยเรื่องเงินก็เข้าเรียนได้เลยนั้นแหละ  แต่สิ่งที่เอแบคให้ไม่เหมือนกับที่อื่นก็คือ "ภาษา" ถ้าเป็นอย่างผมด้วยแล้วตอนเข้า ปี หนึ่ง หรือตอน intensive ด้วยแล้วภาษาอังกฤษถือว่าแย่สุดๆ ผสมประโยคง่ายๆยังไม่สามารถทำได้เลย แต่เนื่องด้วยวัฒนธรรมการสอน สังคม ของที่นี้ที่เป็น อังกฤษเกือบทั้งหมด มันบีบให้เราปรับตัวปรับให้เราต้องถีบตัวเองให้ทำให้ได้ ทำไม่ได้ก็ต้องออกอย่างเดียว ยอมรับว่าหลายครั้งเคยท้อจนอยากลาออกแต่ก็สู้จนจบมาได้  เพราะฉะนั้นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนอื่นดูว่าเป็นมหาลัยที่เรียนยากก็เพราะ ภาษาเนี่ยแหละ  บอกตามตรงตอนเข้าเอแบคมาวันแรกผมไม่เคยรู้สึกภูมิใจเลย มีทัศนคติในแง่ลบมากมาย แต่หลังจากที่ได้เรียนจบมาผมก็รู้สึกว่า   "กูโคตรภูมิใจที่ได้เรียนที่นี้เลยว่ะ" จากคุณ : Milito (tongmine) เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 53 13:10:34

ความคิดเห็นที่ 63 AC  เลือดแดงขาวฮะ สุดท้าย เด็กที่จบมาจะทำงานได้หรือไม่แล้วแต่ตัวบุคคลครับ แต่เท่าที่ผมเจอ อย่าให้ผมเทียบเลยระหว่างเด็ก ม.กรุงเทพ กับ เอแบค เหอๆๆ เจอมากะตัว ^^ จากคุณ : เค้าเปล่านะ เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 53 19:28:04