 |
ผมไม่มีอะไรจะแนะนำมากมาย แต่มีประสบการณ์และแง่คิดจากตัวผมมาฝากก็แล้วกันนะครับ
ผมเรียนจบ เพียงแค่ ม.6 กศน. เพื่อนๆผมที่เรียนมันธยมต้นมาด้วยกัน หลายๆคน จบ ป.ตรี ขึ้นไป
ปัจจุบัน ผมทำธุรกิจส่วนตัว มีรายได้ 5-6หมื่น เป็นอย่างต่ำ เพื่อนๆที่เรียนจบ ป.ตรี เป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไป (รายได้เท่าไหร่ ก็ลองเดาๆดูนะครับ)
ตอนช่วงแรกๆที่ผมมาทำธุรกิจส่วนตัวตรงนี้ ผมเริ่มจาก ไปเช่าเวลาสถานีวิทยุชุมชน จัดรายการเพลง เหนื่อยครับ จัดรายการเอง หาลูกค้า(สปอนเซอร์)เอง ทำสปอตโฆษณาเอง พูดง่ายๆว่า ทำทุกอย่างด้วยตัวเองทุกๆๆๆๆๆด้าน เรียนมาน้อย บริหารจัดการก็ไม่เป็น หาลูกค้าก็ไม่เก่ง แต่ก็โอเค เอาตัวรอดมาได้ ในขณะที่เพื่อน ได้เข้าทำงานตามบริษัทต่างๆ มีเงินเดือนแน่นอน มีวันหยุด มีหน้าที่การงานเฉพาะด้าน
ต่อมา ผมเริ่มอยู่ตัว เริ่มเข้าใจการทำงานด้านนี้มากขึ้น เริ่มสบายๆในการทำงาน,การหาลูกค้าล่ะ ในขณะที่เพื่อน ก็ยังทำงานเหมือนเดิม
ต่อมา ผมเริ่มขยับขยาย จากวิทยุชุมน ผมเริ่มหันมาทำ Radio instore (คือทำรายการเฉพาะร้านต่างๆ) ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ทางด้านการหาลูกค้า แต่ก็พอหาได้ ทำได้ ผมเริ่มมีลูกน้อง ในขณะที่เพื่อนก็ยังทำงานเหมือนเดิม (อาจจะมีเงินเดือนเพิ่ม หรือบางคนเริ่มเปลี่ยนงาน ก็ว่ากันไป)
ต่อมา จนถึงปัจจุบัน ผมทำงาน เดือนละไม่ถึง10วัน (ใน10วันนั้นคือ ทำงานจริงๆจังๆทั้งวัน) ติดต่อหาลูกค้าเพิ่มเติมบ้างประปราย มีคนติดต่อจ้างทำสปอตโฆษณาบ้างประปราย ทุกวันนี้มีรายได้ 5-6หมื่นบาท/เดือน ดั่งที่กล่้าวไปข้างต้น (หักต้นทุนซื้อของเพียงไม่กี่พัน.. นอกนั้นเป็นค่าแรง+กำไร) และตอนนี้เริ่มจะขยับขยายตนเอง ริเริ่มทำงานด้านอื่นๆเพิ่มเติม ขยายกิจการไปสาขาด้านอื่น(เกี่ยวกับอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ..เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ผลิต..เป็นต้นน้ำ..กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นครับ เริ่มไปได้หน่อยนึงล่ะ ตอนนี้กำลังมองหาตัวแทนจำหน่ายอยู่ครับ) ในขณะนี้ เพื่อนก็ยังทำงานออฟฟิศเหมือนเดิม (เงินเดือนเท่าไหร่แล้วไม่รู้ คุณลองคำนวนดูเอาเอง)
ทั้งหมดนี้ผมมองว่า เนื่องจากผมวุฒิน้อย เกเรไม่เรียน แต่พอกลับเนื้อกลับตัวได้ กลับมาเริ่มต้นมันเป็นศูนย์ ไม่มีทุนชีวิต ต้องปากกัดตรีนถีบ ทำงานตั้งแต่เด็กเสิร์ฟวันละ100 มองหาช่องทางทำมาหากิน อย่างไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง เพราะ ไม่มีอะไรจะเสีย ทำให้ผมสู้ สู้ และก็สู้ (และอีกอย่าง สู้อย่างล้มไม่ได้ เพราะถ้าล้มผมไม่มีฟูกมารองรับ นึกถึงสำนวน "สู้แบบหมาจนตรอก"ออกไหม นั่นแหล่ะ ผมสู้แบบนั้น) ไม่กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะ เดิมทีก็ไม่มีอะไรที่เริ่มต้นมาก่อน (งงม่ะ)(ถ้า งง ก็อ่านประโยคนี้ซ้ำหลายๆรอบนะ) ไม่กลัวเหนื่อย เพราะ เหนื่อยกว่านี้ก็เคยมาแล้ว ที่สำคัญ ไม่มีใบปริญญามาค้ำคอ ไม่มีศักดิ์ศรีของการศึกษามาเป็นอุปสรรคในการลุยงาน อะไำรที่ไม่รู้ ผมก็พร้อมเรียนรู้ รับฟังคนอื่น และพิจารณา อะไรที่จะเป็นการพัฒนาตนเองและกิจการ ผมจะเปิดรับ และพิจารณา และที่สำคัญ เมื่อผมพิจารณาว่าคุ้มค่า,ทำได้ ผมก็จะลงมือทำทันที (ถ้าไม่มีการพัฒนา ยกตัวอย่างคนเปิดร้านอาหารตามสั่ง ..กี่เดือนกี่ปีก็อยู่ตรงนั้นแหล่ะ ถ้าไม่มีการพัฒนา)
ในขณะปัจจุบันนี้ที่เพื่อนก็ยังทำงานเดิมบ้าง หลายๆคนก็เปลี่ยนงานบ้าง เปลี่ยนบริษัทบ้าง เรื่องรายได้ก็ว่ากันไป นานๆทีเป็นปี นัดเพื่อนรวมกลุ่มเจอะเจอสังสรรค์กัน ผมขับรถใหม่ป้ายแดง เพื่อน(คนนั้น)นั่งรถเมล์ ใช่..เพื่อนผมเขาอาจจะมีความสุขในแบบของเขา ซึ่งผมก็ยินดีด้วย และก็ไม่เคยซ้ำเติมเพื่อนที่ยังย่ำอยู่กับที่ ผมคอยเชียร์ทุกๆคน ที่มีความคิดริเริ่มที่อยากจะทำธุรกิจเป็นของตนเอง แต่ก็เตือนอยู่ตลอดว่า "ช่วงเริ่มต้นน่ะ เหนื่อยนะ อาจจะเหนื่อยจนถึงขั้นท้อ ถ้าท้อเมื่อไหร่โทรหาเรานะ เราจะเป็นกำลังใจและจะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะ"
เอาล่ะ คุณ จขกท.ครับ อย่างที่ผมบอกไว้ในประโยคแรก ผมไม่มีอะไรจะแนะนำ ผมเพียงมาเล่าประสบการณ์ และมุมมองของผม ให้คุณได้อ่านเท่านั้น
ที่เหลือ ก็ขึ้นอยู่กับคุณจะพิจารณาแล้วล่ะ
จากคุณ |
:
aumpaump12
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ธ.ค. 53 02:28:18
|
|
|
|
 |