|
แชร์ไอเดียและ exp เท่าที่พอมีมา ขออนุญาตเสนอหน้าออกความเห็น แยกตอบตามข้อเลยละกัน 1. องค์ประกอบที่ต้องทราบ ลิขสิทธิ์คุ้มครองเฉพาะในฐานะผู้จัดจำหน่าย หรือ ให้สิทธิในการดูแลพิทักษ์ผลประโยชน์ของลิขสิทธิ์ใน ผลิตภัณฑ์รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ภายใต้ brand เดียวกัน, เทรนด์แฟชั่นรวมไปถึง collection ต่างๆ ที่เคยมีจำหน่ายในปีก่อนๆ, ดีไซน์สวยงาม ตามเทรนด์ หรือ ล้ำหน้า แตกต่างและดูดี, ประโยชน์ใช้สอยไม่มากหรือน้อยจนเกินงาม, องค์ประกอบอื่นๆ ที่สามาถนำไปปรับใช้ในการสร้างค่านิยมโดยใช้ Marketing และ PR (รวมถึงการตลาดในเชิง propaganda ด้วย เนื่องจากสินค้าแฟชั่น จำต้องสร้างโอกาสทางการตลาดเองด้วย)
2. ราคาขายปลีกในต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องเป็นราคาเดียวกับที่ขายในประเทศ อาจจะแพงกว่าได้ เนื่องจากเป็นสินค้านำเข้า (ถ้ามีคนยอมเสียค่าตั๋วเครื่องบินไปซื้อเอง หรือ จะยอมซื้อโดยเสียค่าขนส่ง+ภาษีที่ผู้ขายในต่างประเทศยัดเยียดให้ ก็ตามใจเขาเถอะ) โครงสร้างราคาที่คุณต้องเอามาคำนวณจริงๆ คือ ราคาต้นทุน (รวม VAT บ้านเขาและพยายามเจรจาให้ Net โดยรวม ค่าขนส่งแล้ว + ภาษีศุลกากรขาเข้า + VATบ้านเรา + ค่าขนส่งขาเข้า + ค่าใช้จ่ายบริหาร (Management, Stock, MK, PR, Store) + Profit (คำนวณไว้รองรับ ค่าเสียโอกาสในกรณีมีของค้าง stock และต้องทำการ clearance) + Margin ซึ่งแบ่งเป็นสำหรับ Wholesale Price (Distributor, Dealer) และ Retail Price หรือ ภาษาบ้านๆ ราคาขายส่ง ตัวแทนจำหน่าย>ยี่ปั๊ว>ซาปั๊ว การกำหนดราคาขายปลีก ควรเป็นหน้าที่ของผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเพราะจะทำให้สามารถควบคุมกลไกราคาตลาดได้ ไม่ว่าจะปรับราคาขึ้นหรือลง ตามอัตราแลกเปลี่ยน หรือ กระแสเทรนด์ใหม่ที่ต้องทำให้ลดราคา ... อื่นๆ อีกมากมาย
3. สัดส่วน % ของกำไรต้องวางไว้ในโครงสร้างราคาที่ผมตอบไปในข้อ 2 นั่นแหละครับ กรณีที่คุณเปิด sale channel ผ่าน Shelf ของห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะต้องเสียค่า % นั่นเป็นกรณีหนึ่ง ซึ่งต้องทำใจยอมรับกำไรที่น้อยหน่อยแต่ Brand คุณจะไปได้ ซึ่งก็มีอีกวิธีหนึ่งคือเปิด Store เป็นของ Brand ตัวเองไปเลย อาจจะไม่ต้องกระจายไปทุกห้างด้วยตนเอง (อันนี้มีวิธีหลากหลาย ครับ แต่ต้องใช้งานส่วน MK กับ PR ช่วย)
4. อย่างที่บอกไปในข้อ 1 ครับ ต้องดูว่าทางต้นสังกัด เขาให้ลิขสิทธิ์คุ้มครองเฉพาะในฐานะผู้จัดจำหน่าย หรือ ให้สิทธิในการดูแลพิทักษ์ผลประโยชน์ของลิขสิทธิ์ใน ผลิตภัณฑ์รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ภายใต้ brand เดียวกัน ซึ่งในกรณีหลังคุณต้องเป็นฝ่ายแจ้งความประสงค์ให้เขาทราบเอง และ ในส่วนของการดูแลลิขสิทธิ์ รวมถึงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า จำเป็นต้องมีเอกสารประกอบ (หลายใบเลยล่ะ) เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งในภาษาของเจ้าของสิทธิ์ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย งานในส่วนนี้ คุณคงต้องใช้บุคลากร Licensee Management เข้ามาดูแล หรือไปจ้างพวกทนายมือปืนรับจ้างมารับช่วงงานส่วนนี้ไป (กรณีเรียกใช้บริการ พวกทนายรับจ้าง มักจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร แต่ผมรับรองได้ว่า Brand ของคุณจะเป็นที่รังเกียจและหวาดผวาของพ่อค้าแม่ค้า รายย่อยอย่างแรง รวมถึงค่าปรับที่จัดเก็บจากการจับกุมก็ไม่มีเหลือมาถึงมือคุณแน่ๆ เพราะค่าใช้จ่ายเบี้ยใบ้รายทางมันเยอะ ซึ่งคุณอาจมองว่าน่าจะเป็นข้อดี แต่ต้องไม่ลืมว่า คุณยังไม่ได้สร้าง Brand ในประเทศ และผมเชื่อว่า Brand นี้เองก็ยังเป็นที่รู้จักเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น) ผมแนะนำให้จัดจ้างคนมาทำ Licensee management จะดีที่สุด ส่วนงานด้านกฏหมาย คุณก็ใช้บริษัทบัญชีที่คุณไว้ใจ ให้ดูแลให้
5. ถ้ามีงบประมาณมากพอก็โอเคเลยครับ จัดงานเปิดตัว Grand Opening ซะหรูๆ หน่อย แต่ผมแนะนำให้วางแผน MK และ PR รวมถึง Media Plan ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าไหม คุณจะได้ประเมินได้ว่าต้องวางงบประมาณเพื่ออะไร เท่าไหร่ หรือ จะลองวางรูปแบบงาน MK และ PR โดยวางจุดคุ้มทุนของงบประมาณในเชิงประหยัดก็คงต้องทำในหลายๆ ส่วนทั้ง CO-Marketing, CO-Event, CO-Activity, CO-Partner, CO-Advertising (อันนี้ยากสุดแต่ถ้าทำได้ คุ้ม), Build up Marketing & PR Solution รวมไปถึงการทำงานในเชิงสร้างกระแสค่านิยม
6. การบริหารจัดการเรื่องภาษี จะเกี่ยวพันกับงานด้านบัญชีครับ การที่คุณมีค่าใช้จ่ายมากมาย ตั้งแต่กระบวนการบริหาร การจัดซื้อ การนำเข้า แผนงาน MK และ PR รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น การจัดซื้อเครื่องใช้สำนักงาน การเลี้ยงลูกค้า (งบ entertain) จัดซื้อยานพาหนะขนส่ง ภาษีจัดจ้าง (ภาษีหัก ณ ที่จ่าย) ฯลฯ ซึ่งในกรณีนี้ แนะนำให้คุณจัดจ้างบริษัทบัญชีดูแลจะเป็นการดีที่สุดครับ เพราะสุดท้ายคุณต้องมีการส่งงบการเงินโดยผู้ตรวจบัญชีรายปีอยู่แล้ว รวมถึงในกรณีที่ต้องทำบัญชีและงบประมาณรายเดือน ส่ง VAT รายเดือน Claim ภาษีคืนรายปี
รวมๆ ก็ประมาณนี้ล่ะครับ
จากคุณ |
:
Valard
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ม.ค. 54 19:35:04
|
|
|
|
|