ผมเป็นนักขาย เมื่อมองการสัมภาษณ์งาน 
ก็มองจากมุมของการซื้อขาย ผู้สัมภาษณ์เป็นผู้ซื้อ 
ส่วนผู้เข้ารับการสัมภาษณ์เป็นผู้ขาย (ตัวเอง)ให้ผู้สัมภาษณ์พิจารณารับเอาไว้
ในฐานะผู้ขาย เราทราบดีอยู่แล้วว่า เราน่ะ...แค่ไหน? 
มีความรู้ ทักษะ หรือว่าทำอะไรเป็นบ้าง ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ เป็นไหม?
ถ้าเป็นสินค้าอยู่ในเกรดไหน น่าจะขายได้สักเท่าไร
ส่วนผู้ซื้อนั้น เขาไม่ทราบชัดเจนหรอกว่า เรา น่ะ สินค้าเกรดไหน
เขาดูเอาคร่าวๆจากใบสมัคร ประวัติการศึกษาและการทำงาน
คิดว่าเราอาจจะใช่ คนที่เขามองหาอยู่ จึง "ขอดูตัว" เป็นๆ
ในเมื่อจะไปสัมภาษณ์อยู่วันนี้ พรุ่งนี้แล้ว 
แก้ไขที่ "เนื้อแท้" ของตัวเราไม่ทันหรอก
(เรื่องนี้ต้องเตรียมมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว)
แต่ครั้นจะไปทำให้ผู้สัมภาษณ์สำคัญผิดไปจากความจริง 
เราก็รู้อยู่ว่า ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี 
ถ้าบังเอิญทำได้สำเร็จ และเราได้งานทำ เพราะเขาเข้าใจผิด
ผมว่า ถ้าเขาโง่ขนาดนั้นบริษัทที่รับเราไปก็ไม่น่าจะ "เจ๋ง" สักเท่าไร แต่น่าจะ "เจ๊ง" เสียมากกว่า
ทีนี้เริ่มต้นจากที่เราเป็นอยู่จริงๆ ทำอย่างไรจะทำให้ เขา เห็นคุณค่าของเราได้
โดยให้ ราคา ค่าตัว ตามที่เราคิดว่าควรจะเป็น
หลักการขายสมัยใหม่ เขาบอกให้เรา "ฟัง" ให้มาก
ตั้งใจฟังให้รู้แน่ชัดว่า เขากำลังถามอะไร
ถ้าจะให้ดี ทวนคำถามและถามกลับไป 
เพื่อให้ทราบวัตถุประสงค์ของคำถามให้ชัด
แล้วค่อยตอบ เพราะการตอบไม่ตรงคำถามนั้น เสียคะแนน
ผมเดาว่า พวกเราคงศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับบริษัทที่เรียกเราสัมภาษณ์ดีอยู่แล้วนะ
ข้อมูลทุกชนิดที่หาได้เกี่ยวกับบริษัท บนอินเทอร์เน็ต เป็น the must ที่เราต้องรู้
เพราะถ้าบริษัท ผมออกจะดัง แต่คุณไม่รู้จัก 
ก็เท่ากับว่าคุณดูถูก ผู้ซื้อ ของคุณตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าเขาไม่น่าสนใจ
หรือคุณไม่เคยสนใจเขามาก่อน การสัมภาษณ์ เลย
และถ้าเขาเป็นบริษัทที่ยังไม่ดัง แต่คุณรู้จักเขาดี เข้าไปอีก
คิดดูก็แล้วกันว่า ตัวเราจะน่าประทับใจสักแค่ไหน?
จะดีกว่าไหม? ถ้าเราจะคาดหมาย คำถาม ที่เขากำลังจะถาม
และเตรียมเอาไว้หลายๆวันก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สิ่งที่คาดว่าอาจจะถูกถาม และอาจเป็นจุดอ่อนของเรา
คำตอบที่เตรียมไว้ ต้องไม่ใช่การโกหกเด็ดขาด
แต่ต้องทำให้ผู้สัมภาษณ์มองเห็นด้านบวกของจุดอ่อนของเราให้ได้
ยกตัวอย่าง บัณฑิตหญิงคนหนึ่ง เคยหยุดเรียนไปหนึ่งปี
ไปคลอดลูกที่เกิดในระหว่างเป็นที่นักศึกษา
คงพอนึกว่านะ ว่า ผู้สัมภาษณ์ควรจะสังเกตเห็น
ประวัติส่วนของการศึกษาที่ไม่่ต่อเนื่องกันของเธอ
เมื่อถูกถามว่า ทำไมจึงหยุดเรียนไป หนึ่งปี
เธอเตรียมการมาแล้วและตอบตามตรงว่า เธอตั้งท้องระหว่างเรียน
และเธอไม่ต้องการจะทำแท้ง จึงขอหยุดเรียนเพื่อไปคลอดและเลี้ยงลูก
เธอบอกว่า การเป็นแม่ในวัยเรียน สอนเธอมากมายเกี่ยวกับ
การเสียสละ ความรับผิดชอบ การทำงานหนัก
เมื่อเธอกลับมาเรียนอีกครั้งหนึ่ง เธอกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว 
ไม่ใช่เด็กนักศึกษาอีกต่อไป 
เธอพร้อมที่จะทำงานก่อนจบการศึกษาเสียด้วยซ้ำไป
คงเดาได้นะว่า บริษัทนั้นรับเธอเข้าทำงานด้วยความประทับใจ
แทนที่จะรู้สึกรังเกียจเธอ
ผู้ซื้ออยากได้คนที่ซื่อสัตย์ และตอบโจทย์ได้ว่า ทำไมจึงควรเป็น คุณ!!