เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของคนทำงานที่ยังไม่มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน ทั้งนี้จะพบว่า คนทำงานใหม่ๆ ที่ทะเยอทะยาน อยากที่จะก้าวหน้า อยากที่จะรับผิดชอบสูงๆ จะมีพฤติกรรมประจบคนที่อยู่สูงกว่าตนเอง ด้วยการพูดจา
ยกย่องชมเชย แต่คนฟังจะรับรู้ ความรู้สึกจากคำพูดได้เลยว่า คำพูดเหล่านั้นมาจากใจ หรือ แต่งเติมเสริมขึ้นเพื่อนำมายกยอปอปั้น คำพูดในการยกยอเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูดีเลย แต่กลับทำให้สื่อความหมายในเชิง
ลบเสียด้วยซ้ำ และ แปลกตรงที่ ถ้าคนกลุ่มนี้ พอขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวหรือเท่ากับคนอื่นๆ ก็จะมีพฤติกรรมตามมาคือ
ยกตนข่มท่าน (ทั้งคนที่ด้อยกว่า หรือ เท่ากัน)
อันนั้นต้องเป็นอย่างนั้น อันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เขาเสนอถูกต้องหมด ถ้าไม่ทำก็โกรธ ก็งอน อ้าว ก็ข้อเสนอ ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ไม่ใช่คำสั่งซะหน่อย เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า... จะสั่งเหมือนเพื่อนร่วมงานเป็นลูกน้อง คำของเขา
ประกาศิต คนอย่างนี้ก็มี ต้องให้เขาไปลองทำตามความคิดของเขาเอง เวลามันเกิดผลอย่างที่คนอื่นเตือน งวดนี้ก็จะเงียบไปสักระยะหนึ่ง... ถ้าเขาเป็นคนพาลไม่นานความเป็นพาลในตัวก็จะเริ่มแสดงออกมาให้เห็นอีก
ฉันเสนออะไรไป เธอต้องทำตามที่ฉันเสนอสิ
ในที่ประชุมก็เช่นกัน คำเสนอในแต่ละเรื่อง ก็เพื่อให้เราทุกคนมีแนวความคิดที่หลากหลายในการแก้ไขปัญหา คำเสนอของใครอาจจะได้นำมาใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเหตุผล ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ เวลานั้น แต่ถ้าคนที่คิดว่า ข้อเสนอของ
ฉันเจ๋งสุดๆ ที่ประชุมต้องทำตามฉันสิ ก็จะเริ่มพูดคุยกับคนข้างๆว่า อันนี้นะ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อธิบายความคิดของตนเองเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนแนวความคิด และ ถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง เมื่อเข้าประชุมทุกครั้งก็จะนำเอาเรื่องที่ยังค้างคาใจ ยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีก
ถ้าเธอเสนออะไร แสดงว่าเธอตัดสินใจเองคนเดียว ต้องให้ทีมงานช่วยกันตัดสินใจซิ...!!!
แต่ถ้าใครเสนออะไรแล้ว หัวหน้างานให้ความสำคัญมากๆ บ่อยๆ ก็เริ่มตีรวน และ มีความคิดในเชิง การตัดสินใจของทีมมันต้องออกมาจากทีม เอาความคิดของทุกคนมารวมกัน การที่ที่ประชุมทำตามคนใดคนหนึ่ง เขากลับว่าเป็น
ความคิดของคนๆเดียว เมื่อเขาทำอะไร สำเร็จสักอย่าง คราวนี้ก็จะกระทบกระเทียบมาเช่น "ถ้าคนๆหนึ่งเก่งอาจจะยกหินได้ใหญ่ แต่ว่าถ้ารวมตัวคนหลายๆคนก็อาจจะยกหินได้ใหญ่กว่า นี่นะงานนี้พวกเราใช้หลักการการร่วมกันทำงาน..." ฟังแล้วก็ตลกดี ได้เห็นเลยว่าเขาคิดอย่างไร เขามองว่า สิ่งที่เขาออกไปแสดงผลงานนั้นเป็นงานของเขา ของคนที่เขาร่วมทำงานด้วย โดยไม่ได้มองเลยว่า งานแต่ละงานนั้นมีงานด้านหลังที่ต้องทำ
งานออกหน้าได้ผลงานก็จะทำ งานหลังฉากไม่มีหน้าไม่มีตาไม่ทำ
ให้ทำงานหลังฉากก็นั่งทำงาน เป็นนาน แต่งานไม่ออก จนต้องให้คนอื่นไปทำ หรือว่า หาเอง หรือไม่ก็ต้องให้เจ้านายสั่งถึงจะมีผลงาน คนแบบนี้มีเยอะ ขอให้ออกหน้า มีชื่อ อย่างนี้เอา แต่ถ้างานใดไม่มีชื่อ ทำงานหนัก ไม่เอา หรือแม้นว่ามีใครถามถึงเพื่อนคนหนึ่งว่า ทำงานใด เมื่อเพื่อนคนนั้นตอบเสร็จ เขาก็จะตอบเพิ่มว่า แผกนนี้ เขาทำงานนั้น ทำงานนี้ด้วยนะ คืองานที่ตนเองรับผิดชอบ (ทำไมถึงกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าตัวเองทำงานเหมือนกัน) ถ้างานหลังฉาก ก็จะบอกว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ
ฉันทำแค่นี้แหละ ใครจะเอาไปทำอะไรต่อก็เอาไป ฉันเข้าใจว่าฉันนั้นมีหน้าที่แค่นี้ ฉันก็ทำแค่นี้... เรื่องอื่น ฉันไม่รู้ ฉันไม่เข้าใจ ไม่มีใครบอกนี่...
แล้วก็ต้องมีคนทำงานเก็บงานของเขาเสมอๆ กว่างานจะออกมาได้ก็ต้องเสียเวลาไปอีกรอบ สงสัยงานจะไม่ถนัด แต่ก็ไม่ยอมปล่อยงานให้คนอื่นๆหรอก งานนี้ฉันรับผิดชอบ ฉันจะทำอย่างนี้ อย่างนั้นก็รับผิดชอบในการหาข้อมูลละกัน
งวดนี้ก็หาแต่ข้อมูล ที่เกี่ยวข้อง ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง จำนวนมากเกินไปให้ตัดทอนก็ไปตัดทอนกันเอาเองละกัน ฉันหาให้แล้ว... ถ้าใครไปเจอคนอย่างนี้ ถ้าเป็นเจ้านายก็คงต้องแจกแจงรายละเอียดให้มากขึ้น เน้นย้ำว่า เขาเข้าใจในหน้าที่ของเขามากน้อยเพียงใด ให้เขาพูด เขียน หน้าที่ของเขาออกมา ไม่อย่างนั้น อาจจะโดนตีรวนตลอด ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานก็คงต้องทำใจ อาจจะโดน โบ๊ยงาน ให้
ยกเอาเรื่องในหนังสือมาคุย มา แสดงตนว่ามีภูมิ มีความรู้ และ หาเรื่องมาต่อว่า
คนบางกลุ่มก็เก่งจัง ชอบอ่านหนังสือ แล้วยกเอาทั้งดุ้นมาคุย มาพูด มากล่าวอ้างว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เวลาจะต่อว่าใครก็เอาเรื่องๆนั้น เรื่องนี้ยกประเด็นขึ้นมาว่ามันต้องแก้ไขอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนเขาอ่านหนังสือ
ให้ฟังเลย ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือที่เขาอ่านมาก่อน คงมองว่าเขาเก่งมากเลย แต่ถ้าใครอ่านหนังสือของเขามาก่อนแล้วแย้ง หรือ บอกว่าหนังสือก็เขียนเหมือนที่เขาพูดเลย ก็จะไม่พอใจ กลุ่มคนพวกนี้มีความคิดว่าคนอื่นโง่กว่าตน อ่าน
หนังสือมาแล้วก็รู้แจ้ง รู้มากขึ้น แต่ไม่ประยุกต์ในสิ่งที่ตนเองอ่านมาเลยว่า เป็นอย่างไร สามารถนำไปใช้ได้อย่างไร คนในสังคมก็มีเยอะที่เป็นอย่างนี้ ซึ่งก็คงต้องเจอะเจอกันบ้างหละ จะบ่อยหรือไม่บ่อยก็ตาม
คนมักโกรธ ก็ยังคงมักโกรธอยู่วันยังค่ำ แต่ที่แปลกคือ โกรธได้ไม่เลือกที่เลือกเวลา คนอยู่ห้องแอร์จะรู้ว่า การเปิดแอร์ในครั้งแรก มันจะไม่เย็นในทันที ต้องรอทิ้งช่วงเวลาอย่างน้อยก็ 5-10 นาที และ ถ้านานกว่านั้น นั่นแสดงว่า แอร์อาจจะมีปัญหา ตั้งค่าความร้อนมากไป ความเย็นน้อยไป หรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่า ช่วงเวลาเปิดเครื่องไม่สามารถที่จะบอกได้เลยว่า มันจะเย็นหรือไม่อย่างไร ถ้าทุกคนในห้องบอกว่าร้อนแล้วไปปรับ เข้าไปปรับกันทุกคนแล้วคิดว่าเมื่อตนเองปรับแล้วมันต้องเย็นขึ้นเลย
อะไรอยู่ตั้งนานแล้วทำไมไม่แก้ไข ผมแก้ไขอยู่แล้วจะมาช่วยทำไม...
ท่าทางว่า อากาศร้อน จะเป็นตัวเร่งปฏิกริยาของความมักโกรธให้ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างดีเลยทีเดียว