วันนี้เราต้องไปทำธุระที่ตึกที่ทำงานเก่าย่านอนุสาวรีย์......... 8 ปีแล้วสินะ กับการตัดสินใจของเราในวันนั้น........ ตอนที่เราเปิดประตูตึกเข้าไป ความทรงจำเก่าๆก็ย้อนกลับเข้ามา ทางซ้ายเป็น ร้านกาแฟสดที่ พึ่งเปิดก่อนที่เราออกจากงานไม่นาน ส่วนทางขวาเป็นร้านขายขนม 3 ถุงร้อย เดินไปอีกหน่อย ก็เจอร้านขายเสื้อผ้า ถัดไปอีกนิด ก็จะเจอร้านขายเครื่องเขียนจุกจิก...... 8 ปี...... แต่ทำไมใต้ตึกนี้ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ราวกับหยุดเวลาไว้อย่างไงอย่างงั้น.......
เราทำธุระใต้ตึกเสร็จแล้วก็ตัดสินใจกลับไปเยี่ยมเพื่อนๆที่ทำงานเดิม เราเดินไปที่ลิฟต์ แล้วกดชั้น 14...... กลิ่นในลิฟต์ยังเป็นกลิ่นเดิมอยู่เลย....... ลิฟต์ก็ยังช้าอยู่เหมือนเดิม......... พอประตูลิฟต์เปิดออกมา เราก็เดินไปที่หน้าบริษัท...... ไฟปิดมืดไปหมด คงเป็นเพราะพนักงานพักเที่ยงลงไปกินข้าวกัน
แย่จัง เราคิด....... ตอนกำลังจะเดินออกไป เราก็เห็นเงาไหวๆของน้องหนิงอยู่ในห้อง เราเลยโบกมือเรียก
น้องหนิงเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ที่เข้ามาทำงานตั้งแต่อายุ 16 ก่อนที่เราจะลาออก น้องบอกว่า น้องกำลังจะไปสมัครเรียน กศน. เพราะน้องไม่อยากเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ตลอดชีวิต......... น้องหนิงเปิดประตูให้เราเข้าห้องไป เราเข้าไปเจอพี่วาด ทอมปากหวาน พนักงานส่งเอกสารที่ชอบจีบสาวทุกคนในออฟฟิต
พี่วาดดีใจที่เจอเรา เดินเข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบ ตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน....... เราถามถึงเพื่อนเราคนอื่นๆ..... พี่วาดบอกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกับเราสองสามคนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแล้ว และเพื่อนเราอีกหลายคนที่ลาออกไปหลังจากเราไม่นาน.........
ระหว่างที่คุยกัน เราก็มองไปรอบๆห้อง...... 8 ปีแล้วที่เราจากไป....... แม้โต๊ะทำงานจะจัดวางต่างไปเล็กน้อย แต่คอมพิวเตอร์เครื่องเก่า 4 เครื่องก็ยังอยู่เหมือนเดิม เอกสารก็ยังวางกองเกลื่อนพื้นเหมือนเดิม เครื่องตอกบัตรก็ยังวางอยู่ที่เดิม........ เรามองไปตรงห้องทำงานเก่าของเรา ความทรงจำเก่าๆมากมายก็ย้อนเข้ามา...... โต๊ะตัวนั้นที่เรานั่งทำงานเฮฮากับเพื่อนๆ มุมห้องตรงนั้น ที่เรานั่งแอบเจ้านายกินขนมกับเพื่อนๆ โซฟาคู่นั้น ที่เราเอามาใช้แทนเตียงตอนที่เราต้องค้างที่ออฟฟิต....... ปีกว่าๆ ที่เราใช้เวลา 6 วันต่อสัปดาห์ในห้องเล็กๆห้องนี้.....
คุยไปซักพัก พี่วาดก็ถามว่า แล้วเราล่ะเป็นไงบ้าง ไปยังไงมายังไง..... เราบอกว่า หลังจากที่หนูออกจากที่นี่ หนูก็ไปทำงานบริษัทญี่ปุ่นอยู่แถวศาลาแดง(ด้วยเงินเดือน+คอมมิชชั่นที่มากกว่ากันเกือบ 1 เท่าตัว) ต่อจากนั้นหนูก็ออกจากที่ทำงานไปเรียนต่อที่เมกา แล้วตอนนี้หนูมีธุรกิจเล็กๆอยู่ที่โน่น ตอนนี้ก็ไปๆกลับๆค่ะ
แล้วน้องหนิงก็พูดแทรกขึ้นมาว่า โห ดีจังเลยพี่.......
อ้าว แล้วเห็นหนิงบอกพี่ว่า หนิงจะไปเรียน กศน.ไม่ใช่หรอ
ก็อยากไปเรียนเหมือนกันล่ะพี่ แต่หนิงผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนตอนนี้หนิงมีลูกแล้ว คงไปไม่ได้แล้วล่ะพี่...... แต่จะว่าไป ทำงานที่นี่ก็สบายใจดีนะคะ
หลังจากนั้นเราก็ขอตัวกลับบ้าน ระหว่างทางที่เดินออกจากตึก เราเห็นพนักงานใส่เครื่องแบบออฟฟิตหลายคนเดินกลับขึ้นไปทำงาน มองแล้วเราก็ย้อนนึกไปถึงวันที่เราตัดสินใจออกจากออฟฟิตนี้
วันนั้นคนรอบข้างเราหลายคนห้ามไม่ให้เราออกจากงาน...... เพราะเราเป็นเด็กไม่เก่ง เรียนเกือบๆ 5 ปี จบมาด้วยเกรด 2.0x กว่าจะได้งานนี้แม่ต้องไปฝากแล้วฝากอีก...... แถมงานนี้ก็มั่นคง เพื่อนร่วมงานดี หัวหน้าดี งานสนุก ดีหมดทุกอย่าง แต่เราก็เลือกที่จะหางานใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะเราต้องการความก้าวหน้า(แม้คุณสมบัติเราจะไม่ค่อยดีก็ตาม).......
หลังจากนั้น ชีวิตเราก็เปลี่ยนอีกหลายครั้ง.... บางครั้งก็เป็นการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง แต่เราก็สามารถพลิกกลับให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดีได้...... เพราะตอนนั้น เราไม่รู้จักกับคำว่า 'กลัว'
วันนั้น เราไม่มีอะไรจะเสีย เราถึงกล้าที่จะตัดสินใจบ้าๆบางอย่าง เช่นออกไปเสี่ยงโชคที่อเมริกา....... ใครจะรู้ ว่าลูกบ้าของเราในวันนั้น ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขอย่างวันนี้
การเปลี่ยนแปลง..... เป็นอะไรก็ตามที่ฟังแล้วน่ากลัว....... แต่บางทีการย่ำอยู่กับที่นั้นก็น่ากลัวกว่า........
จากคุณ |
:
i love tofu
|
เขียนเมื่อ |
:
25 มี.ค. 54 11:18:21
|
|
|
|